คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 861 เจ้าทำเช่นนี้จะโดนตีรู้หรือไม่
ตอนที่ 861 เจ้าทำเช่นนี้จะโดนตีรู้หรือไม่
ฉินหลิวซีพาเถิงเจาไล่ตามกลิ่นอายของหลานโย่วไปจนถึงจุดที่มันหายไป นางขมวดคิ้ว นี่คือเทือกเขาที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองจี้ ภูเขาลูกหนึ่งที่ชื่อว่าเขาปทุมทองคำ
ตามตำนาน พระโพธิสัตว์กวนอิมเคยบำเพ็ญตบะอยู่ที่นี่ และเมื่อสำเร็จในการบำเพ็ญตบะ ก็แสดงพลังของท่านด้วยการวาดดอกบัวทองคำบนภูเขาเพื่อบูชาแก่ผู้ศรัทธา ดังนั้นเมื่อมองจากที่สูง ภูเขานี้จึงคล้ายกับดอกบัวทองคำที่ซ้อนกันหลายชั้น และในฤดูใบไม้ร่วงจะมีสีทองอร่ามสวยงามยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ภูเขาแห่งนี้จึงถูกเรียกว่า ‘ภูเขาปทุมทองคำ’ เพราะทัศนียภาพที่สวยงามและการค้นพบแหล่งน้ำพุร้อนในบริเวณนี้ จึงมีบ้านพักน้ำพุร้อนจำนวนมากที่ตั้งอยู่ในบริเวณรอบๆ
เนื่องจากเมืองจี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง หากขี่ม้าเร็ว สามารถถึงที่ได้ในสามหรือสี่วัน ดังนั้นบ้านพักในบริเวณนี้จึงมักเป็นของชนชั้นสูงในเมืองหลวง
ฉินหลิวซีและเถิงเจา ออกมาจากป่าเล็กๆ ตอนนี้ยืนอยู่ที่ทางเข้าสู่เส้นทางที่เชื่อว่าเชื่อมต่อกับถ้ำของพระโพธิสัตว์กวนอิม และนอกจากพวกเขาแล้ว ทางเข้าที่นี่มีคนจำนวนมากล้อมรอบ กำลังพูดคุยกันสียงเบา
เถิงเจายืนข้างฉินหลิวซีและมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น เอ่ยเบาๆ “ท่านอาจารย์ เหล่านี่ล้วนเป็นสหายลัทธิเต๋าหรือ”
แท้จริงแล้วก็ใช่ ฉินหลิวซีเห็นคนรู้จักอยู่ในกลุ่มนั้น
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเจ้าอาวาสอารามจินหวาและศิษย์ของเขาเสวียนชิงจื่อ ทั้งคู่ถูกคนหลายคนล้อมรอบ ดูเหมือนเป็นหัวหน้าฝูงแกะ…อ้อ หัวหน้าฝูงชน
คนเหล่านี้ สวมชุดคลุมหลากสี บางคนผูกผ้ายันต์คาดเอว บางคนถือดาบไม้ท้อ กอดแส้หางม้า มือถือเข็มทิศ
น่าแปลก
นี่เกิดเหตุการณ์ใหญ่แน่
ฉินหลิวซีมองไปที่ผู้คนที่นอกเหนือจากนี้ ล้วนสวมชุดดำใบหน้าดูเคร่งเครียด ยังมีท่าทีเหน็ดเหนื่อย ดวงตาหรี่ลงอย่างอดไม่ได้ หันมองไปทางภูเขาปทุมทองคำ
เหล่าผู้แต่งกายเหมือนองครักษ์นี้ ชัดเจนว่าเป็นคนของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แต่กลับเฝ้าอยู่ที่นี่โดยไม่ไล่ตะเพิดเหล่านักพรต ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ หรือว่ามีบุคคลสำคัญบางท่านประสบเหตุร้ายอยู่ที่นี่กันแน่
เมื่อคิดถึงลมหายใจของหลานโย่วที่หายไปตรงนี้ อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่
เมื่อทั้งสองคนออกมาจากป่า เนื่องจากอายุยังน้อย จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก แต่เป็นกลุ่มองครักษ์นั้นที่มองเห็นพวกเขาเสียก่อน เพราะฉินหลิวซีแต่งตัวในชุดคลุมเต๋า พวกเขาจึงคิดว่ามาเนื่องจากเหตุเดียวกัน จึงไม่ได้เข้ามาสอบถามมากนัก เพียงเหลือบมองพิจารณาพวกเขาเล็กน้อยเท่านั้น
อายุน้อยเกินไป โดยเฉพาะเถิงเจาที่ยังเป็นเด็ก นี่มาเพียงหาผลประโยชน์หรอกหรือ
ในขณะที่กลุ่มสหายลัทธิเต๋ามีคนเห็นพวกเขาศิษย์อาจารย์ ชะงักไปชั่วขณะ เอ่ยถาม “พวกเจ้าก็ได้รับคำเชิญให้มาช่วยตามหาคนหรือ”
อีกคนเห็นพวกเขาก็ยิ้มเยาะ ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “พวกเจ้ามาจากสำนักไหน อาจารย์อยู่ที่ใดหรือ”
จวนเฉิงเอินโหวนี้ส่งคำเชิญไปยังสหายลัทธิเต๋าทั้งหมดในโลกหรืออย่างไร แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรละเลยกระมัง สองคนนี้ยังเป็นเด็กอยู่ จะช่วยอะไรได้ ไม่เป็นภาระให้พวกเขาก็ดีแล้ว
ฉินหลิวซีกะพริบตา “ถามหาอาจารย์ของข้าหรือ”
นางมองไปที่ปรมาจารย์ไท่เฉิงในกลุ่มคน ยื่นปาก “โน่น”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงที่กำลังเพลิดเพลินกับการถูกยกย่อง จู่ๆ พลันรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนมีใครบางคนจับจ้อง รุนแรง
เขามองไปตามทิศทางของสายตานั้น เบิกตาโตขึ้นทันที
ไม่นะ เจ้าเด็กตัวร้ายนี้มาได้อย่างไร
ปรมาจารย์ไท่เฉิงคิดถึงสมบัติที่ถูกขโมยไป ใจเขาก็สะดุด
อดีตไม่สามารถย้อนคืนมาได้ เมื่อย้อนกลับไปก็ใจสลาย เจ็บปวดยิ่งนัก
ฉินหลิวซียกมือขึ้นโบกมือให้ เป็นตาเฒ่าที่น่ารักจริงๆ ดูสิ เห็นข้าแล้วดีใจจนพูดไม่ออกเลย
คนสองคนที่เห็นฉินหลิวซีโบกมือไปทางคนผู้นั้น ทั้งยังเห็นปรมาจารย์ไท่เฉิงมองมาที่นาง จึงเอ่ย “เจ้าเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ไท่เฉิงหรือ”
เขาคู่ควรเป็นอาจารย์ของข้าหรือ
ฉินหลิวซี “ไม่ใช่”
สองคนนั้น ไม่ใช่แล้วไยต้องทำตัวสนิทสนมขนาดนี้
“เรารู้จักกัน”
เสวียนชิงจื่อเห็นฉินหลิวซีแล้วตกใจเล็กน้อย เดินเข้ามา ยกมือประสาน “สหายนักพรตปู้ฉิว”
“สวรรค์ประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เจอกันเพียงหนึ่งปี เสวียนชิงจื่อทำไมผมหงอกขึ้นแล้วเล่า” ฉินหลิวซีมองไปที่ผมสองข้างของเขา เด็กคนนี้เจออะไรมาบ้าง
เสวียนชิงจื่อลูบผมสองข้าง หัวเราะเบาๆ อย่างจนใจ “เขียนยันต์ไม่สำเร็จทำให้เกิดการสะท้อนกลับ”
ความจริงแล้วเพราะมีความท้าทายจากฉินหลิวซี อีกฝ่ายอายุยังน้อย ทว่าเชี่ยวชาญวิชาอาคม ตนนั้นไม่อาจสู้ เขาจึงพยายามบำเพ็ญตบะศึกษาหลายวิชาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา การเขียนยันต์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ความตั้งใจเดิมของเขาคือเขียนยันต์ห้าสายฟ้าหนึ่งแผ่น เพียงนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว ทว่าตบะไม่ถึง พลังไม่เพียงพอ เกิดการสะท้อนกลับทำให้ผมขาวขึ้นมา
ฉินหลิวซีมองเขาด้วยสายตาสงสารพลางเอ่ย “นั่นน่าเสียดายจริงๆ” แล้วหันไปเอ่ยกับเถิงเจา “เห็นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องระวัง พื้นฐานต้องแข็งแรงก่อน อย่าหาทำยันต์ที่ยากเกินไป”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
เสวียนชิงจื่อ “!”
เจ้าทำเช่นนี้จะโดนตีเอาได้รู้หรือไม่
อีกสองคนด้านข้างราวกับเห็นผี คนมาจากที่ใด วาจาคมคายนี้ไม่ต่างจากยาพิษ ไม่เกรงกลัวเลยหรือว่าจะถูกคนจับยัดถุงแล้วโยนออกไป
เพียงแต่ เจ้าเด็กนี้เรียกนางว่าท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ
“เจ้าอายุเพียงเท่าใด รับศิษย์แล้วหรือ” ทั้งสองมองฉินหลิวซีด้วยสายตาไม่เห็นด้วย ตนเองเพิ่งโตมาได้นิดเดียวก็รับลูกศิษย์แล้วอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซียิ้มบาง “เจ้าไม่เข้าใจ การรับลูกศิษย์ต้องรีบ”
เถิงเจา ใช่ ไม่เช่นนั้นจะขัดขวางการพักผ่อนยามแก่ของนาง
ฉินหลิวซีไม่ได้หวังว่าปรมาจารย์ไท่เฉิง เจ้าอาวาสอารามใหญ่ผู้หนึ่งจะมาทักทายนางก่อน นางเดินเข้าไปหา ยิ้มตาหยี “ท่านปรมาจารย์ ไม่ได้เจอกันนาน ท่านดูมีพลังมากขึ้นนะ ดูเหมือนว่าความกังวลของท่านจะหายไป มีความก้าวหน้าไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ มาสนทนาธรรมกันสักหน่อยดีหรือไม่”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองนางด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ใบหน้าราวกับกำลังบอกว่าสนทนาธรรมกับผีน่ะสิ อย่ามาใกล้ข้า
เหล่าผู้คนมองเห็นฉินหลิวซีต่างก็มีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง อายุยังน้อย รูปลักษณ์ที่งดงาม สำนักใดกัน รับศิษย์ต้องเลือกจากหน้าตาด้วยหรือไร
เมื่อเห็นนางทักทายกับปรมาจารย์ไท่เฉิง บรรดาผู้คนก็หันมามองทางเขา เอ่ยถาม “ท่านปรมาจารย์ สหายเต๋าผู้นี้เป็นใครกัน”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงแย้มยิ้มเล็กน้อย “นี่คือศิษย์จากอารามชิงผิง อาจารย์ของนางคือนักพรตชื่อหยวน มีฉายาว่า ปู้ฉิว ยังเป็นเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิงอีกด้วย เยาว์วัยแต่มีความสามารถ สมเป็นผู้สืบทอดของนักพรตชื่อหยวนอย่างแท้จริง”
ในหมู่คนที่มาเยือนนี้ บางคนเป็นคนแก่ เมื่อได้ยินชื่อฉายาของชื่อหยวนและสำนัก ก็อดไม่ได้ที่จะมองฉินหลิวซีด้วยความประหลาดใจ
ทว่าบางคนเป็นเพียงนักพรตอิสระจึงไม่รู้จักนัก แม้จะมองฉินหลิวซีด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับคำชมของปรมาจารย์ไท่เฉิง แถมยังแสดงท่าทีดูแคลน คิดว่าเขาเพียงแต่ยกยอเพราะเป็นคนรู้จักกัน เด็กน้อยเช่นนี้มาที่นี่ หวังจะหาชื่อเสียงหรือหมายจะเกาะติดพวกเราเพื่อหาประโยชน์กระมัง
คนประเภทนี้แหละ ร้ายที่สุด งานการไม่ทำ แต่คอยเก็บเกี่ยวประโยชน์อยู่ร่ำไป
เสวียนชิงจื่อเห็นท่าทางของพวกเขาก็รู้ทันทีว่าในใจพวกเขาคิดอย่างไร ก้มหน้าหัวเราะเยาะในใจอย่างอดไม่ได้ รอดูเถิด อีกไม่นานใบหน้าใครจะเจ็บปวดมากกว่ากัน รู้ๆ กันอยู่แล้ว
“ท่านโหวมาแล้ว” ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมา
ฉินหลิวซีหันไปมอง บุรุษผู้นี้ ดูคุ้นหน้าอยู่บ้าง บิดาเจ้าหมากุ้ยปินซี[1]หรือ
[1] หมายถึงมู่ซี