คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 860 ความโชคดีและโชคร้าย
ตอนที่ 860 ความโชคดีและโชคร้าย
ขวดเลี้ยงวิญญาณเป็นของวิเศษที่ฉินหลิวซีหลอมขึ้นเอง ด้านในมีดวงวิญญาณหรือไม่ นางมองปราดเดียวก็รู้แล้ว
ตั้งแต่ตามหลานโย่วกลับมาได้ เพราะวิญญาณของเขายังไม่มั่นคงจึงต้องใส่ไว้ในขวดเลี้ยงวิญญาณ หลานซิ่งก็พกขวดนี้ติดตัวตลอด หากไม่อยู่ในที่พักในเมืองก็จะอยู่ในอาราม เพราะอารามสามารถตามนักพรตไปทำพิธีในตอนเช้าได้ ดังนั้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เขาจึงพักอยู่ที่อารามเสมอ ฤดูหนาวที่แล้วยังช่วยงานที่อารามจนกลายเป็นผู้มีจิตศรัทธาขยันขันแข็งของอารามชิงผิง
ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลานโย่วยังอยู่ในขวดเลี้ยงวิญญาณอย่างดี แต่ตอนนี้วิญญาณของเขากลับหายไปแล้ว
เดิมหลานซิ่งก็ร้อนใจอยู่แล้ว ได้ยินฉินหลิวซีเอ่ยถามเช่นนี้ หยุดตั้งสติ เอ่ย “ใช่ หลังจากทำพิธีเช้า ข้าช่วยนักพรตชิงหย่วนตรวจสอบบัญชีของอาราม เมื่อข้านึกถึงการพูดคุยกับหลานโย่ว เพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้ยินเสียงเขานานแล้ว เขาหายไปแล้ว”
หลานซิ่งเสียงสั่นเล็กน้อย ใบหน้าซีดเผือด เอ่ยถาม “ท่านเจ้าอาวาสน้อย เสี่ยวโย่วเขากลับไปแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าต้องรู้ว่าร่างกายของเขายังมีชีวิตอยู่ในโลกเดิม เช่นนั้นสักวันเขาจะต้องกลับไป ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่ดีสำหรับวิญญาณเร่ร่อน การอยู่ที่นี่นานๆ อาจทำให้เขากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน กระทั่งอาจถูกวิญญาณอื่นที่มีพลังมากกว่ากลืนกิน ได้ไม่คุ้มเสีย”
หลานซิ่งรู้สึกเจ็บปวดในใจ มุมปากยกขึ้น “ข้ารู้”
แต่รู้ก็ส่วนรู้ เพียงคิดว่าเขาไปแล้ว หัวใจของเขารู้สึกเหมือนถูกฉีกขาดเจ็บปวดแทบไม่ไหว
ฉินหลิวซีหยิบขวดเลี้ยงวิญญาณจากมือของเขามาถือไว้ในมือ หลับตาลงเบาๆ ใช้ปลายนิ้วคำนวณ เนิ่นนาน ก่อนที่นางจะลืมตา เอ่ย “ยังไม่กลับไป แต่เขาไปที่อื่น สถานที่นั้นไม่ใช่ที่ที่เขาเต็มใจ ดูเหมือนว่ามีคนเรียกเขาไป”
หลานซิ่งหน้าซีดเผือดกว่าเดิมพลางเอ่ย “เหมือนครั้งที่แล้วหรือ”
“ไม่อาจบอกได้ ก่อนหน้านี้เขาถูกแย่งชิงร่าง ตอนนี้เขาเป็นเพียงวิญญาณ อาจมีคนเรียกเขาไป แต่ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ “เจ้าเองก็อย่าคิดมาก ไม่แน่อาจเป็นเรื่องดี”
หลานซิ่งรู้สึกว่าไม่ได้ถูกปลอบใจ
หลานโย่วเป็นบุคคลจากต่างโลก ไม่มีญาติมิตรและศัตรูใดๆ ในโลกนี้ ผู้ใดจะเรียกเขา มีเพียงผู้ที่มีพลังมหาศาลเท่านั้นที่จะสามารถหาตัวเขาและเรียกวิญญาณของเขาไปได้ ถึงไม่เอ่ยบอกแม้เพียงคำ อย่างไรอีกฝ่ายต้องมีพลังมหาศาลอย่างแน่นอน
หลานซิ่งไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าหลานโย่วไม่ได้ยอมไปเอง เพราะเขารู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดี ไม่มีทางไม่บอกกล่าวแล้วหายไป ต้องเป็นเพราะเขาถูกบังคับไม่อาจควบคุมตนเองได้จึงเป็นเช่นนี้
และมีสิ่งใดที่ทำให้เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้ แน่นอนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องมีพลังมหาศาล
ฉินหลิวซีเห็นหลานซิ่งมีสีหน้าเศร้าหมอง ไม่เอ่ยคำปลอบใจเพิ่มอีก ล้วนเป็นคนฉลาด คนนึกได้ก็ย่อมนึกได้ หลานโย่วคงเจอเรื่องไม่ดี นางเองก็ทำนายได้
โชคดีและโชคร้ายปนกัน
และสภาพวิญญาณของหลานโย่วก็ไม่ค่อยดีนัก
“เจ้าอยู่ที่อาราม ข้าจะออกไปหาดู”
หลานซิ่งทันทีตอบว่า “ข้าจะไปกับท่าน”
ครั้งนี้ฉินหลิวซีแล้ว เอ่ย “การเดินทางนี้อันตราย เจ้าไม่ต้องไปหรอก อีกอย่าง เจ้าเองก็ควรปล่อยมือได้แล้ว”
หลานซิ่งตัวแข็งทื่อ หน้าซีดขาวลงมากหลังจากได้ยินคำนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปจนไร้สีคน
ฉินหลิวซีถอนหายใจและหันหลังกลับเข้าไป
นางสามารถติดตามกลิ่นอายวิญญาณของหลานโย่วไปได้ แต่นางไม่อาจออกไปโดยไม่มีการเตรียมตัว และนางจะต้องพาเถิงเจาไปด้วย
ผ่านปีใหม่ ลูกศิษย์จะอายุเก้าขวบแล้ว ต้องฝึกฝนมากขึ้นเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น คนเราต้องได้เรียนรู้จากการฝึกฝนมากๆ ถึงจะนำความรู้ที่ได้ไปใช้ได้จริง
ในเมื่อจะสอนลูกศิษย์ไปด้วย ของที่ต้องเตรียมก็ต้องเตรียมของให้ครบถ้วน
เมื่อเถิงเจาได้ยินว่าฉินหลิวซีจะพาเขาออกไปก็ดีใจขึ้นมา เห็นวั่งชวนยู่ปากไม่ดีใจนัก จึงเอ่ย “เจ้ายังเด็กอยู่ อาจารย์ไม่พาเจ้าไปเพราะงานนี้อันตราย หากเจ้าไปด้วย อาจจะเกิดอันตรายได้ รอตอนกลับมา ข้าจะพาเจ้าไปซื้อน้ำตาลกระต่ายที่ถนนดีหรือไม่”
“ศิษย์พี่เอ่ยจริงหรือ”
“คำของสุภาพบุรุษหนึ่งคำ ม้าสี่ตัวลากไม่กลับ[1]”
วั่งชวนถึงยิ้มออกมา ถอนหายใจเอ่ย “เมื่อใดข้าจะฉลาดและเก่งเหมือนศิษย์พี่กันนะ”
“อายุมากขึ้นอีกสักหน่อย ตอนนี้เจ้าท่องบทกลอนสำหรับจดจำตำรับยา[2]ได้แล้วมิใช่หรือ ยังจำจุดฝังเข็มทั้งหมดได้แล้วด้วย อาจารย์อาหมิงเยี่ยนยังสู้เจ้าไม่ได้เลย” หาได้ยากที่เถิงเจาจะยกยอนาง
วั่งชวนรู้สึกขวยเขินเล็กน้อย ยิ้มอย่างภาคภูมิใจยืดอก เอ่ย “เป็นเพราะอาจารย์สอนดี ข้าจะเก่งขึ้นอีก”
เถิงเจาบีบจุกผมของนางเบาๆ “เช่นนั้นศิษย์พี่จะรอดู”
ฉินหลิวซีเก็บของเสร็จแล้วเดินออกมาพบทั้งคู่หัวชนกันอยู่ เอ่ย “คุยอะไรกันอยู่”
วั่งชวนลุกขึ้น จับมือของนาง ถูหน้าออดอ้อนกับฝ่ามือของฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านอาจารย์ ข้าจะตั้งใจเรียนให้เก่งเจ้าค่ะ”
“ไม่ขี้เกียจแล้วหรือ” ฉินหลิวซียิ้มเลิกคิ้ว
วั่งชวนหน้าแดง “ข้าเจ็ดขวบแล้ว โตแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปากหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้น เมื่อข้าและศิษย์พี่ของเจ้ากลับมา ข้าต้องเห็นยันต์แคล้วคลาดสามแผ่น”
วั่งชวนร้องอ่า อ้าปากกว้าง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังน่าสงสาร
การเขียนยันต์ ไม่ใช่ทุกคนจะมีพรสวรรค์ขั้นสูง เหมือนอาจารย์ของนางที่เป็นอัจฉริยะสามารถเขียนยันต์ได้อย่างง่ายดาย ศิษย์พี่ของนาง แม้จะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ยังคงดีกว่าอาจารย์อาหลายคนในอารามมาก
ตอนนี้ยันต์ของอารามและร้านเฟยฉังเต๋า ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือศิษย์พี่ แม้กระทั่งยันต์ห้าสายฟ้าก็ยังทำได้ แต่วาดออกมาเพียงแผ่นเดียว ใบหน้าเขาก็ซีดเหมือนคนตาย และใช้เวลาหลายวันกว่าจะฟื้นตัวและไม่กล้าเร่งความสำเร็จอีกแล้ว อย่างไรก็ยังเด็กเกินไป ถ้าผลาญพลังมากเกินไปอาจทำให้พื้นฐานเสียหายได้
อย่างไรก็ตาม การเขียนยันต์ห้าสายฟ้าได้ในวัยนี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว นั่นหมายความว่าเขาได้เข้าใจเคล็ดลับของยันต์ห้าสายฟ้าแล้ว
ในขณะที่วั่งชวนในตอนนี้เขียนได้เพียงยันต์แคล้วคลาดเท่านั้น อย่างอื่นอย่าได้คิดเลย แต่นางอายุยังน้อย เขียนยันต์ให้มีพลังขึ้นมาได้ก็ยังดีกว่าพวกหลอกลวงต้มตุ๋นเหล่านั้น นับว่าร้ายกาจแล้ว เพียงแต่มีปีศาจอย่างศิษย์พี่ของนางอยู่ตรงหน้า ยิ่งทำให้รู้สึกว่านางโง่เขลา
ฉินหลิวซีบีบแก้มของวั่งชวนเบาๆ “ทำตัวดีๆ อย่าหนีไปไหน”
ก่อนฉินหลิวซีจะออกเดินทางเดิน สะใภ้หวังเดินเข้ามาหา กลัวว่าฉินหลิวซีจะไม่กลับมาอีกนาน เรื่องที่นางเอ่ย แน่นอนว่าต้องจัดการแล้ว ดังนั้นจึงมาถามความคิดเห็นของนาง
“ท่านพ่อของเจ้ากำลังทุกข์ใจ กลับเมืองหลวงเช่นนั้น ความหมายของข้าคืออาศัยอยู่ที่บ้านเดิมอีกสักสองสามปี อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ได้อยู่แล้ว งานดูแลเรือนในเมืองหลวงนั้น ให้พวกสะใภ้รองควบคุมแทนก็ไม่ต่างกันนัก แต่สินสมรสของข้า ข้าคงต้องกลับไปตรวจนับและปิดผนึกก่อน แล้วจึงกลับมาอีกครั้ง”
แม้จะได้รับพระกรุณาให้คืนทรัพย์สินของตระกูล แต่ก็ย่อมต้องมีส่วนที่เสียหายไป ไม่อาจกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะได้กำไรจากที่ใดเล่า
แน่นอน แม้สะใภ้หวังจะอยากอยู่ต่อ ก็ไม่อาจละเลยเจตนาของฉินหลิวซี ต้องถามความเห็นของนางก่อน
ยกเว้นฉินปั๋วหงเจ้าตีนหมูใหญ่นี้ ฉินหลิวซียังมีความรู้สึกดีต่อคนอื่นในบ้านใหญ่ จึงเอ่ย “ท่านอยากอยู่ก็อยู่ไปเถิด แต่บ้านรองต้องไล่ออกไป ข้าเบื่อที่จะต้องทนเสียงอึกทึกโวยวายทุกวัน”
สะใภ้หวังได้ยินเช่นนั้นในใจก็รู้สึกยินดี เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ได้ ข้ารู้ว่าจะต้องทำเช่นไรแล้ว”
[1] หมายถึง เมื่อสุภาพบุรุษหรือคนที่มีศีลธรรมเอ่ยหรือให้คำมั่นอะไรไว้แล้ว คำเอ่ยนั้นถือเป็นข้อผูกพันที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือย้อนกลับได้ นี่คือการเน้นถึงความสำคัญของการรักษาคำเอ่ยและความเชื่อถือได้ของคนที่มีศีลธรรม
[2]เป็นบทกลอนหรือเพลงที่ใช้ในการจดจำตำรับยาจีนในแพทย์แผนจีน โดยเนื้อหาของบทกลอนจะประกอบด้วยส่วนประกอบของยาต่างๆ ที่รวมกันเป็นตำรับยาหนึ่งๆ ซึ่งช่วยให้แพทย์หรือผู้เรียนสามารถจำสูตรยาได้ง่ายขึ้น