คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 856 หลานสาวไม่สนใจชีวิตหรือความตายของท่านพ่อที่ไม่เอาไหน
- Home
- คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 856 หลานสาวไม่สนใจชีวิตหรือความตายของท่านพ่อที่ไม่เอาไหน
ตอนที่ 856 หลานสาวไม่สนใจชีวิตหรือความตายของท่านพ่อที่ไม่เอาไหน
นางฉินผู้เฒ่าเสียชีวิตลงอย่างสงบ
เมื่อนางจากไปแล้ว ในห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ บุตรชายและหลานๆ คุกเข่าอยู่กับพื้น ยกเว้นฉินหลิวซี นางไม่ได้คุกเข่า ยิ่งไม่มีน้ำตาแม้เพียงหยดเดียว
นางมองไป ในเมื่อมาแล้ว รวมไปถึงนางฉินผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างเขา โค้งตัวให้นาง “ขอให้ท่านเดินทางอย่างสุขสงบ”
นางฉินผู้เฒ่ายิ้มและพยักหน้าให้นาง ก่อนมองไปยังบุตรชายและหลานๆ ที่คุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้น หันหลังกลับไปด้วยรอยยิ้ม
ในเมื่อมาแล้ว “ท่าน ข้าน้อยขอลาแล้วขอรับ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “รบกวนแล้ว”
นางเดินออกไปข้างนอก รับก้อนทองหยวนเป่าที่เถิงเจายื่นมาให้แล้วเผามัน บางแท่งตกอยู่ในมือของยมทูต บางแท่งตกอยู่ในมือของนางฉินผู้เฒ่า
เมื่อพวกเขาหายไปในประตูผี ฉินหลิวซีสั่งพ่อบ้านหลี่ เอ่ย “จัดงานศพและแขวนโคมไฟเถิด”
พ่อบ้านหลี่รับคำสั่งแล้วเดินออกไป ให้บุตรชายแขวนโคมไฟขาวที่เตรียมไว้แล้ว จากนั้นเปลี่ยนเป็นชุดไว้ทุกข์ จากนั้นให้บ่าวรับใช้ที่เรียกมาชั่วคราวเริ่มทำงาน เตรียมห้องไว้ทุกข์ จัดการศพ
ในบ้าน หลังจากเสียงร้องไห้รอบหนึ่งผ่านไป สะใภ้หวังมองไปที่ฉินปั๋วกวงและฉินปั๋วชิง เอ่ย “น้องรองน้องสาม พวกเจ้ากลับมาได้ทันเวลา ท่านแม่ไม่นับว่าเสียใจแล้ว ตอนนี้นางไปแล้ว ท่านพ่อและสามียังอยู่ในเมืองหลวง พวกเจ้าต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวชั่วคราว ไปเปลี่ยนชุดไว้ทุกข์ก่อนเถิด จากนั้นแจ้งข่าวการตายออกไป เดี๋ยวคงมีคนทยอยมาเคารพศพ”
ฉินปั๋วชิงลุกขึ้น มองไปยังท่านแม่ที่ปิดตาสนิทแล้ว เช็ดน้ำตา รับผ้าขาวที่ติงหมัวหมัวยื่นมาให้ ปิดหน้านางฉินผู้เฒ่า โค้งคำนับต่อสะใภ้หวัง เอ่ยว่า “สองปีนี้ ลำบากพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง อีกทั้งภรรยา…”
สะใภ้กู้มองไปที่แขนซ้ายว่างเปล่าของเขา น้ำตาไหลลงมา เมื่อได้ยินคำเอ่ยนี้ เงยหน้าขึ้นมา มองเขานิ่ง “สามี”
ทั้งสองรู้สึกดีใจที่ได้พบกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะสม จึงไม่กล้าแสดงออก
“ท่านพ่อ” ฉินหมิงเป่าปราศจากความกังวลนั้น ดึงสองน้องชายเดินไปหยุดตรงหน้าเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักและตื่นเต้นยินดี
เมื่อเห็นลูกๆ ฉินปั๋วชิงก็อดไม่ได้ คุกเข่าลงดึงพวกเขาเข้าสู้อ้อมกอด บุรุษร่างใหญ่คนหนึ่งร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
ทางนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น ฉินปั๋วกวงทางนั้นเป็นพายุฝนที่กำลังมา สะใภ้เซี่ยมองไปยังสะใภ้เฉาที่หน้าซีดและท้องโย้ ดวงตาแทบระเบิด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินนางเรียกฉินปั๋วกวง นางจ้องมองไปที่ท้องของนาง
“ฉินปั๋วกวง สตรีคนนี้คือผู้ใด” สะใภ้เซี่ยถามเสียงแหลม
คนในบ้านสอง ยกเว้นฉินหมิงมู่ มองไปที่สะใภ้เฉาด้วยสายตาสงสัยและไม่อยากจะเชื่อ
สะใภ้เฉายิ้มเบาๆ เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่สาว”
สะใภ้เซี่ยโกรธจัด คำเรียกพี่สาวนี้ทำให้นางขนพอง “ผู้ใดเป็นพี่สาวเจ้า ฉินปั๋วกวงไอ้เต่าแก่[1] ถูกเนรเทศแล้วยังไม่สงบใจยังพาหญิงท้องแก่กลับมาอีก เจ้าทำเช่นนี้กับเราสามแม่ลูกได้อย่างไร เจ้า…”
“น้องสะใภ้รอง” สะใภ้หวังตวาด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ใด เจ้ายังกล้าทำตัวไร้สาระอีกหรือ”
สะใภ้เซี่ยตัวแข็ง มองไปยังนางฉินผู้เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียง หัวใจสั่นสะท้าน มองไปที่สะใภ้เฉาอย่างมาดร้าย ก้มหน้าลงไม่กล้าด่าอีก
เมื่อเห็นว่านางหยุดด่า ฉินปั๋วกวงจึงถอนหายใจเบาๆ
กลุ่มคนเดินออกจากห้อง ถอดเครื่องประดับ เปลี่ยนชุดไว้ทุกข์ ฉินหลิวซีพาอู๋เหวยรวมไปถึงนักพรตเฒ่าและซานหยวนที่มาถึงบ้านตระกูลฉินจัดพิธีกรรมเล็กๆ ทั้งให้สะใภ้หวังและคนอื่นๆ ช่วยสวมชุดสำหรับคนตาย[2] ใส่เหรียญทองแดงในปากนางฉินผู้เฒ่า ปิดหน้าด้วยกระดาษสีเหลือง ทำพิธีเล็กน้อยแล้ววางบนแผ่นไม้ ปิดด้วยผ้าขาว จากนั้นไปร้องไห้ที่ห้องไว้ทุกข์
ส่วนการแจ้งข่าวการตาย ฉินหลิวซีให้พ่อบ้านหลี่ไปบอกครอบครัวที่ใกล้ชิด ส่วนนายท่านฉินและคนอื่นๆ ให้เว่ยเสียที่เป็นยมทูตไปแจ้งข่าวให้ ถือว่าแจ้งข่าวให้พวกเขาได้รับรู้ ยามไปสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ฉินปั๋วหงจะได้เขียนจดหมายแจ้งการตาย ไม่ต้องไปรับตำแหน่งอีก
ส่วนญาติอื่นๆ ส่งจดหมายแจ้งข่าวการตายไป ฉินอิงเหนียงที่อยู่ไกลไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเป็นหลานสาวจากบุตรสาวเชื้อสายหลักของฮูหยินผู้เฒ่า จึงให้สาวใช้ที่เดิมทีช่วยทำงานทั่วไปไปแจ้งข่าวการตาย
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อย
เมื่อได้ทราบข่าวการจากไปของนางฉินผู้เฒ่า ผู้คนในเมืองหลีต่างทยอยกันมาเคารพศพ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ต่างพากันเดินทางมายังตระกูลฉิน ด้วยเหตุที่ตระกูลนี้ได้รับการฟื้นฟูเกียรติยศ คนเหล่านี้ต่างมุ่งมาสร้างความสัมพันธ์เพื่อตีสนิทกับครอบครัวข้าราชการ
และในยามนี้ ฉินปั๋วหงและฉินหยวนซานที่เกือบจะถึงเมืองหลวงกำลังพักผ่อนในศาลาพักม้า ทันใดนั้นพลันเห็นเว่ยเสียปรากฏตัวขึ้นมา
สองพ่อลูกต่างรู้สึกไม่สบายใจ มีลางสังหรณ์ไม่ดี
“นางฉินผู้เฒ่าเสียชีวิตเมื่อวันที่ห้าเดือนสิบสอง เสียชีวิตอย่างสงบ ไม่มีความเสียใจ ฉินหลิวซีให้ข้ามาแจ้งข่าวแก่พวกเจ้า ควรทำสิ่งใดก็ทำ” เว่ยเซียมองทั้งสองเอ่ยอย่างเย็นชา
ฉินหยวนซานตกใจ จากนั้นกระบอกตาแดงก่ำ น้ำตาเริ่มไหลทะลัก
ภรรยาเสียชีวิตก่อนเขาจริงๆ คนชราสองคนก่อนตายยังไม่ได้พบหน้าแม้เพียงครั้ง น่าเศร้ายิ่งแล้ว
ฉินปั๋วหงคุกเข่าหันหน้าไปทางเมืองหลี ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
ฉินหยวนซานสูดจมูก เอ่ย “เราเดินทางต่อไปเถิด เจ้าจะเขียนจดหมายแจ้งการตายแล้วรีบกลับเมืองหลีทันที ควรไว้อาลัยก็ไว้อาลัย ในช่วงไม่กี่ปีนี้ ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ให้ดี”
ฉินปั๋วหงพยักหน้า
ทั้งสองไม่กล้าพักอีก ดื่มน้ำแกงโสมร้อนสองจิบ แล้วเดินทางต่อไปยังเมืองหลวง
ครอบครัวฉินในเมืองหลีตั้งศพมาสามวัน บ้านรองทะเลาะกันแล้วสามวัน หากฉินหลิวซีไม่ให้ฉินหมิงฉุนและเถิงเจาทำการแสดงกับฉินปั๋วกวงให้เห็น บอกว่านางฉินผู้เฒ่าเสียชีวิตเร็วเพียงนี้ ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสะใภ้เซี่ย ถูกฉินปั๋วกวงขู่เอาไว้ นางก็จะยังคงก่อกวนต่อไป
หลังจากตั้งศพเจ็ดวัน ก็นำศพลงโลงเตรียมฝัง
ฉินปั๋วชิงเอ่ยถามฉินหลิวซี “บิดาของเจ้าคงจะรีบกลับมา จะรอหรือไม่”
ฉินหลิวซีสีหน้าเรียบเฉย เอ่ย “แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว เก็บศพไว้ได้นานสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ปีนี้หนาวเกินไป การเฝ้าศพนานๆ คนคงจะล้มป่วยกันหมด อีกอย่างถึงจะรอให้เขากลับมา แต่เมื่อโลงศพถูกปิดไปแล้ว คนจากไปนานเพียงนี้ เขากล้าดูสิถึงจะแปลก”
อย่าว่าแต่รอให้เนิ่นนานเลย เพียงแค่ไม่กี่วันนี้ ศพก็เริ่มมีรอยเลือดออกแล้ว ใครเล่าจะกล้ามอง
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “ใกล้จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ไม่มีฤกษ์ให้จัดพิธีศพ รีบจัดพิธีฝังเถิด หากเขากลับมา ก็เพียงไปกราบที่หน้าหลุมศพของฮูหยินผู้เฒ่า หรือสร้างกระท่อมเฝ้าหลุมศพสักกี่ปี ก็ถือว่าได้ทำตามความกตัญญูของลูกที่มีต่อมารดาแล้ว”
ฉินปั๋วชิง “…”
เรื่องความใจเด็ดคงไม่มีใครเทียบกับหลานสาวผู้นี้ได้ สร้างกระท่อมเฝ้าหลุมศพ ต้องลำบากเพียงใดกัน นางไม่สนใจชีวิตของบิดาเลยสักนิด
ฉินปั๋วหงที่กำลังเดินทางกลับ กอดอกไว้แน่น ปีนี้มันหนาวจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้น ก็จัดพิธีศพเถิด” ส่วนพี่ใหญ่ ถึงเวลานั้นจะคุกเข่ากราบสามครั้งก้าวเก้าครั้งก็ทำไป นับว่าเป็นลูกกตัญญูเช่นกัน
ทุกคนที่ได้ยินคำนี้ ลูกหลานรุ่นเล็ก ต่างเงยหน้ามองฉินหลิวซี ตั้งแต่ท่านย่าจากไปก็เฝ้าศพมาตลอด แต่นางไม่เคยหลั่งน้ำตาสักหยด แม้กระทั่งกระบอกตาก็ไม่เคยแดง
แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยสิ่งใด เพราะสิบวันที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีชีวิตยืดมาได้ ก็ด้วยฝีมือของนางที่ใช้เข็มทองรักษาไว้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางมีความสามารถในการเรียกวิญญาณ หากเผลอทำให้นางโกรธ นางอาจจะเรียกวิญญาณท่านย่ามาหาทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้
ทุกคนรู้จักที่จะอยู่อย่างสงบ ฉินหลิวซีพอใจมาก ยังสวดมนต์บทหนึ่งเพื่อส่งวิญญาณด้วยตนเอง จากนั้นก็จัดพิธีศพและนำศพไปฝังในสุสานของตระกูล
[1] เป็นคำสแลงในภาษาจีนที่ถือว่าหยาบคายและมีความหมายในเชิงลบอย่างมาก มักใช้เป็นคำด่าเพื่อดูถูกคนอื่น ในบริบทของการด่ามักจะสื่อถึงการเป็นคนไม่ซื่อสัตย์หรือคนที่ไม่ดี คำนี้เป็นการดูถูกเชิงตำหนิที่รุนแรง
[2] เป็นชุดที่มีความสำคัญและถูกเตรียมอย่างพิถีพิถันเพื่อเป็นการแสดงถึงความเคารพและการส่งวิญญาณผู้เสียชีวิตไปสู่ปรโลก