คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 853 วิญญาณถูกสะกดแล้ว
ตอนที่ 853 วิญญาณถูกสะกดแล้ว
……….
ฉินหลิวซีคิดว่าในเมื่อมาแล้วถึงจะเป็นยมทูตมือใหม่ แต่การดึงวิญญาณน่าจะเป็นเรื่องง่ายและควรจะจัดการได้รวดเร็ว ทว่าความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่นางได้ยินกลับเป็นเสียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากคนไม่ได้เรื่องได้ราว
“ท่าน ช่วยด้วยขอรับ วิญญาณของฮูหยินผู้เฒ่าถูกสะกดไว้ ข้าดึงออกมาไม่ได้ขอรับ”
ฉินหลิวซีหน้าบึ้งตึง “หมายความอย่างไร อะไรที่เรียกว่าวิญญาณถูกสะกดไว้”
ในเมื่อมาแล้วหน้าซีดเผือด เอ่ย “คือว่า คนตระกูลเปี้ยนที่ข้าน้อยบอก ไม่สนใจที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟื้นขึ้นมา แต่กลับบังคับให้นางเข้าโลง และใช้ตะปูตรึงวิญญาณปิดโลงไว้อย่างแน่นหนา”
นั่นหมายความว่า ฮูหยินผู้เฒ่าของนางถูกบังคับฝังทั้งที่ยังมีวิญญาณอยู่ในร่างอย่างนั้นหรือ
รู้ว่าคนฟื้นกลับมา แต่ยังคงปิดโลงด้วยตะปูตรึงวิญญาณ นี่มันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าคนเลยมิใช่หรือ
ใช่แล้ว ฆ่าคน
เกิดมีคนที่ตายชั่วคราวและฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ยังเป็นคนมีชีวิต แต่คนตระกูลเปี้ยนกลับเห็นว่าคนฟื้นแล้ว แต่ยังคงปิดโลง นี่มันมีเลศนัยอะไรอยู่ในใจแน่ๆ
ต่อให้นางฉินผู้เฒ่าจะต้องตาย ฉินหลิวซีก็จะไม่ยอมให้นางจากไปโดยที่ขาดวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิญญาณหนึ่งยังคงอยู่ในร่างของคนอื่นทั้งยังถูกสะกดเอาไว้อีกด้วย
“นำทางข้า”
ในเมื่อมาแล้วบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าลอยไปเร็วก็จริง นี่ลอยไปถึงหมู่บ้านหวงถุนในเขตหลิงเจี้ยน ตระกูลเปี้ยนนี้ถือว่าเป็นเจ้าของที่ดินเล็กๆ ในหมู่บ้าน มีที่นาสามร้อยหมู่ กิจการร้านค้าสองแห่ง ถือว่ามีฐานะพอสมควร
เมื่อฉินหลิวซีมาถึง ตระกูลเปี้ยนกำลังวุ่นวาย เหตุผลก็เพราะฮูหยินผู้เฒ่าฟื้นคืนชีพกะทันหัน ทำให้คนในตระกูลเปี้ยนตกใจกลัวจนบังคับให้ปิดโลง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังขูดโลงเสียงดังจนทุกคนตกใจกลัว งานศพจึงต้องเร่งรีบไม่แม้แต่สยบวิญญาณ เตรียมพาขึ้นเขาไปฝังทันที แต่กลับยกโลงไม่ขึ้น อลหม่านไปหมด
นักพรตสวมเสื้อคลุมเหลืองถือดาบไม้ท้อฟันไปมา แปะยันต์กระจายไปทั่ว ใบหน้าขาวซีด ขาสั่นพับๆ
เกิดความวุ่นวายขึ้น เงินทองไม่ได้หามาง่ายๆ จริงๆ
นักพรตชุดเหลืองเอ่ยเสียงเข้ม “ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีห่วง ไม่ยอมไป”
ผู้นำตระกูลเปี้ยนตกใจหน้าซีดเผือด เอ่ย “เช่นนั้นท่านรีบส่งนางไปเสียสิ”
“วางใจ ข้าใช้ตะปูตรึงวิญญาณปิดโลงไว้แล้ว นางออกมาไม่ได้ เพียงฝังลงไปก็พอ”
“แต่ปัญหาคือตอนนี้ยกโลงไม่ขึ้น” ผู้นำตระกูลเปี้ยนเอ่ยอย่างหงุดหงิด
ฉินหลิวซีเดินเข้ามา มองไปที่ห้องโถงไว้ทุกข์ เอ่ยเสียงเย็นชา “ยกโลงไม่ขึ้นนี่เป็นปัญหาอะไร เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ”
ผู้นำตระกูลเปี้ยนและคนอื่นๆ มองฉินหลิวซีที่ปรากกฏตัวกะทันหัน “เจ้าเป็นผู้ใด เข้ามาได้อย่างไร”
นักพรตชุดเหลืองตกใจตาเหลือกลาน มองไปยังด้านในโถงไว้ทุกข์ ตัวสั่นงันงก
มีบางอย่างเข้ามา อากาศเย็นยะเยือก
เขามองไปที่ฉินหลิวซีอีกครั้ง เห็นเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง มองสำรวจหนึ่งรอบ เป็นคนผู้นี้พาสิ่งใดมาหรือไม่
ฉินหลิวซีมองไปที่โลงศพ รวมถึงฮูหยินผู้เฒ่าผอมแห้งดำคล้ำที่นั่งอยู่บนโลง ได้ยินเสียงขูดในโลง เอ่ย “ท่านหลบไปก่อน”
ผู้ใด เอ่ยกับผู้ใด
แต่เมื่อนางเอ่ยจบ ฉินหลิวซีก็ใช้วิชามือฟาดไปที่ตะปูตรึงวิญญาณ ตีไปที่ฝาโลง
ตุบ ตุบ
เจ็ดตะปูตรึงวิญญาณกระเด็นออกมา ฝาโลงถูกเปิดลอยออกไป
ทุกคนกรีดร้องขึ้นมา
นักพรตชุดเหลืองเกือบฉี่ราด แย่แล้ว เจอเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
“เจ้าอวดดี เจ้าทำอะไรกัน” ผู้นำตระกูลเปี้ยนตะโกนด่า
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เห็นฮูหยินผู้เฒ่าผอมแห้งในโลงลุกขึ้นนั่งแล้ว จึงหันไปเอ่ยกับในเมื่อมาแล้ว “ยังไม่ดึงวิญญาณออกมาอีก”
นักพรตชุดเหลืองได้ยินเช่นนั้น ตาเหลือกมองไป เห็นฮูหยินผู้เฒ่าผิวซีดในโลงกำลังจะลุกขึ้น ทว่าราวกับถูกบางอย่างกดเอาไว้ ล้มกลับลงไปอีกครั้ง เสียงดังปัง ไม่มีความเคลื่อนไหวอีก
ห้องโถงไว้ทุกข์เงียบลงทันที
ทุกคนมองไปยังฉินหลิวซี เมื่อครู่นางเอ่ยถึงการดึงวิญญาณหรือ
ฉินหลิวซีหยิบขวดหยกเลี้ยงวิญญาณจากมือในเมื่อมาแล้วมา นำวิญญาณฮูหยินผู้เฒ่าใส่ลงไป
ในเมื่อมาแล้วอยากเอ่ยบางอย่าง ทว่าไม่กล้าแม้แต่จะออกเสียง
“เจ้า เจ้า…” ผู้นำตระกูลเปี้ยนมองฉินหลิวซีด้วยสายตาราวกับมองปีศาจ ทั้งหวาดกลัวทั้งสงสัย
ฉินหลิวซียิ้มหยัน “พวกเจ้าทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดหิวตายหนาวตาย พวกเจ้านี่มันหมาป่าขาวเลี้ยงไม่เชื่อง ไม่กลัวว่ากลางคืนผีจะมาเคาะประตูหรือ”
ผู้นำตระกูลเปี้ยนและคนอื่นๆ หน้าซีดถอยหลังไปหลายก้าว
เอ่ยถึงตระกูลเปี้ยนนี้ ความจริงช่างน่าสงสารนัก เดิมทีเป็นครอบครัวยากจน แต่นายท่านผู้เฒ่าเปี้ยนเลือกภรรยาดี หลังภรรยาคนแรกให้กำเนิดลูกสองคนให้เขาแล้วพลันตายจากไป ไม่ถึงหนึ่งปีก็แต่งกับหญิงมีอายุผู้หนึ่งนามว่าจงซื่อ จงซื่อผู้นี้เป็นคนตระกูลวั่ง มีฝีมือในการดูแลบ้าน หลังจากแต่งงานก็จัดการตระกูลเปี้ยนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแลลูกเลี้ยงสองคนเหมือนลูกแท้ๆ จนได้รับคำชมจากเพื่อนบ้าน
จงซื่อเป็นคนขยัน มีฝีมือทำอาหารยอดเยี่ยม หลังจากแต่งเข้ามาห้าปี นายท่านเปี้ยนก็เสียชีวิต แต่นางยังไม่จากไปไหน ใช้ฝีมือทำอาหารสร้างฐานะให้สองลูกเลี้ยงแต่งงานมีครอบครัว แต่ว่าเมื่อแก่ตัวลงความลำบากยากเข็ญทั้งหมดนี้กลับไม่ได้รับการดูแลที่ดีตอบแทน
ฮูหยินผู้เฒ่าเปี้ยนที่ต่อสู้มาตลอดชีวิต เมื่อแก่แล้วกลับต้องทนทุกข์อย่างหนัก ทำงานหนักและทนทุกข์เลี้ยงดูครอบครัวและลูกๆ แต่กลับเลี้ยงลูกที่ไม่รู้คุณ ลูกชายและลูกสะใภ้เรียนรู้ฝีมือการทำอาหารจากนาง แต่กลับถูกลูกเลี้ยงและลูกสะใภ้รังเกียจ ส่งนางไปอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม ทนทุกข์ทรมานในวันหิมะตกหนัก ทั้งหนาวทั้งหิว ท้ายที่สุดก็จากไปอย่างเดียวดาย
แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเปี้ยนเองก็ไม่คาดคิดว่านางที่ทำอาหารเลิศรสมาตลอดชีวิต สุดท้ายจะตายเพราะความหิวโหย ผู้ที่นางมองราวกับเป็นลูกแท้ๆ วางแผนชีวิตไว้ให้พวกเขา กลับเป็นเพราะคำเพียงคำเดียวที่ว่า ‘ไม่ใช่ลูกแท้ๆ’ จึงระแวงนาง วางแผนคิดร้ายกับนาง ทำร้ายนาง
ฮูหยินผู้เฒ่าเปี้ยนมีความแค้นใจ เดิมอยากเอาหัวใจดวงนี้ของตนป้อนสุนัขไปแล้ว ไม่อยากเห็นหน้าคนเหล่านี้ แต่บังเอิญวิญญาณนางฉินผู้เฒ่าเข้ามาในร่าง ไม่คิดว่าคนตระกูลเปี้ยนที่เห็นว่านางกลับมา ‘มีชีวิต’ แล้ว ถึงกับเสียสติคิดฝัง ‘นาง’ ทั้งเป็น นั่นไม่เท่ากับสังหาร ‘นาง’ อีกครั้งหรอกหรือ
ตอนนั้นนางโกรธ กดโลงไม่ให้ยกขึ้น จนกระทั่งฉินหลิวซีมาถึง
ฉินหลิวซีมองฮูหยินผู้เฒ่าเปี้ยน เอ่ย “ท่านหนาวและอดตาย ถ้าแจ้งทางการก็อาจถูกลงโทษเพียงข้อหาละเลยดูแล แต่ท่านไม่ต้องเสียใจ บาปที่โลกนี้ไม่ลงโทษ นรกจะลงโทษเอง พวกเขาจะสูญเสียทรัพย์สินและจะประสบเคราะห์กรรมเข้าคุกเข้าตารางในเร็วๆ นี้ ไม่ต้องถึงมือท่านผู้มีบุญ ดังนั้นท่านไปสบายเถิด พวกเขาจะได้รับกรรมเอง”
เมฆครึ้มปกคลุม ศีรษะมีรอยแผลเป็น จมูกยกขึ้น เป็นลักษณะของการสูญเสียทรัพย์สิน อีกทั้งชายหนุ่มข้างๆ มีตาสีดำคล้ำ ดวงตาแดงก่ำ หน้าตาเหมือนลิง เป็นลักษณะของคนติดพนัน จะมีปัญหาต้องเข้าคุกในไม่ช้า
ตระกูลเปี้ยนนี้ จะเจอเคราะห์กรรมหนักแล้ว
“เทียนซือน้อย เจ้าเอ่ยจริงหรือ”
ฉินหลิวซีตอบ “ไม่มีประโยชน์อะไรที่ข้าจะโกหกท่าน ถ้าท่านต้องการจะไป ข้าจะให้เขาพาท่านไป”
ในเมื่อมาแล้ว “?”
จู่ๆ ก็เกิดความคิดน่ากลัวขึ้นมา บรรพบุรุษผู้นี้คงไม่คิดจะให้ต้นหลี่แทนต้นท้อ[1]กระมัง
[1] ให้ต้นหลี่แทนต้นท้อ หมายถึงการเสียสละตัวเองหรือสิ่งหนึ่งเพื่อรักษาอีกสิ่งหนึ่งหรืออีกคนหนึ่งให้คงอยู่ โดยมีความหมายถึงการเสียสละแทนผู้อื่นหรือแทนบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ความเสียหายลดลงหรือเพื่อรักษาความสมดุล