คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 822 ข้าว่าท่านเก่งเรื่องชมตัวเอง
ตอนที่ 822 ข้าว่าท่านเก่งเรื่องชมตัวเอง
……….
ฉินหลิวซีกลับไปที่เรือนตนเองและนั่งลง จากนั้นก็ถูกยัดเยียดน้ำแกงโสมชามหนึ่งซึ่งต้มจากรากโสมเดียวกันให้ เดิมที ฉีหวงวางแผนที่จะให้พวกในเรือนได้ดื่มกัน แต่เจ้านายกลับมาแล้ว ก็ต้องให้ความสำคัญกับนางก่อน
“รีบดื่มเข้าไปบำรุงปราณเถิดเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ท่านไม่ควรใช้ปราณแท้เลยจริงๆ” สีหน้าฉีหวงเต็มไปด้วยความสงสารและมีแววตำหนิ “ท่านทำมากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นคนดีแค่ไหนก็ยังไม่ทำอย่างท่าน”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย
“ท่านยังยิ้มออกมาได้อีก” ฉีหวงขึงตาใส่นางด้วยความโกรธ ขณะที่มองดูใบหน้านางที่ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นปีศาจโสมน้อยโผล่ออกมาจากพื้นดินอย่างเงียบๆ นางจึงเดินเข้าไปและเอ่ยว่า “เอามาอีกหนึ่งเส้น”
ปีศาจโสมน้อย “?”
“ถ้าไม่มีคุณหนูก็ไม่มีเจ้า เจ้าเห็นไหมว่านางอ่อนแอแค่ไหน? เอารากเล็กมา ข้าจะทำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมให้นาง กินทั้งโสมและไก่”
ปีศาจโสมน้อย แม้ว่าข้าจะรู้ว่าโสมมีไว้ให้คนกิน แต่ท่านพูดต่อหน้าข้าว่าจะกินข้า ทำไมข้าถึงได้รู้สึกแย่เพียงนี้
ฉินหลิวซีเอ่ย “เอาล่ะ อย่าไปบังคับมันเลย น้ำแกงชามนี้ก็พอแล้ว ตอนนี้ก็เข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถ้ายังดื่มอีก เลือดกำเดาคงไหล”
ปีศาจโสมน้อยได้ฟังแล้วก็ไม่สบายใจ ท่านไม่ยอมให้ข้าให้ แต่ข้าจะให้
มันดึงรากโสมออกมาอย่างมีความสุข แล้วยื่นให้ถึงมือฉีหวง “รับไป อย่าได้เอาข้าไปเปรียบเทียบโสมธรรมดา พวกมันไม่คู่ควร! โสมอื่นๆ กินแล้วเลือดกำเดาไหล กินข้าหรือจะเป็นอย่างนั้น ข้ากลายเป็นปีศาจไปแล้วนะ”
เมื่อเห็นท่าทางภาคภูมิใจของมัน เถิงเจาก็อดทนไว้ไม่เอ่ยอะไร
ถ้าเขาบอกว่า เจ้าถูกหลอกเพราะคำพูดแค่ประโยคเดียว แล้วมันจะร้องไห้หรือไม่
แต่ถ้าปีศาจโสมร้องไห้จะหลั่งน้ำตาหรือไม่นะ สิ่งที่ไหลออกมาก็ควรจะเป็นน้ำโสมมิใช่หรือ แล้วจะเอามาใช้ทำยาได้หรือไม่
ทันใดนั้นปีศาจโสมน้อยก็รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง แย่แล้ว มีเจตนาฆ่า!
เถิงเจานั่งลง จากนั้นก็หันไปมองฉินหลิวซีแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านจะฝืนให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ต่อหรือ”
“อะไรที่เรียกว่าฝืนให้อยู่ต่อ” ฉินหลิวซีถามกลับ
เถิงเจาเม้มริมฝีปาก “โบราณว่า หากท่านยมบาลต้องการให้ใครตายในยามสาม คนผู้นั้นก็อยู่ได้ไม่ถึงยามห้า แต่ข้ารู้ว่า ถ้าท่านอาจารย์ต้องการให้อยู่จริงๆ ก็สามารถต้านทานยมบาลได้”
ยมบาล ไม่ต้องให้เกียรติข้า ข้าไม่ต้องการ!
ฉินหลิวซียิ้ม “เจ้าคิดว่าอาจารย์จะทำหรือ”
เถิงเจาส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ เกิดแก่เจ็บตายเป็นกฎธรรมชาติ อย่าไปยุ่งเรื่องเวรกรรมดีกว่า!”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่แยแส แต่เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าไม่คู่ควร ต่อให้นางคู่ควร แต่การฝืนลิขิตวรรค์จะเป็นผลดีได้อย่างไร
“ดีมาก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเกิดใหม่เปลี่ยนลิขิตสวรรค์ เจาเจา ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะพบเจออะไร ให้จดจำสิ่งนี้ไว้ แม้ว่าคนที่เจ้าต้องการเปลี่ยนชะตากรรมให้คืออาจารย์ ก็อย่าทำ!”
เถิงเจาตกตะลึงทันที และหลุบตาลงเล็กน้อย และเริ่มลูบนิ้ว หากวันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เขาจะฝืนให้อาจารย์เขาอยู่ต่อหรือไม่
ไม่กล้าคิด
ฉินหลิวซีลูบผมเขา “อย่าคิดมาก ไปเรือนโอสถกับอาจารย์ ไปหยิบยาให้พวกเขาต้มกัน ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าอ่อนแอเต็มที ข้าจะลองใช้ยาดีที่สุดยื้อชีวิตนางไว้ จะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวนางเองแล้ว”
เถิงเจาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ทำอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงดวงชะตากรรมของนางก็พอ
อาจารย์และลูกศิษย์เข้าไปในเรือนโอสถด้วยกัน ฉินหลิวซีเอ่ย เถิงเจารับหน้าที่หยิบยา ไม่นานเขาก็หยิบยาครบชุดและส่งไปให้บ่าวรับใช้ของสะใภ้หวังต้ม
ฉินหลิวซีกำลังจะพักผ่อน แต่ฉีหวงกลับบอกว่า ฉินหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ มาด้วยเรื่องอาการของหญิงชรา
หลังจากที่พวกนางถูกนำตัวเข้ามา ฉินหลิวซีก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ฉินหมิงเย่ว์รอสักพัก ก็อดเอ่ยขึ้นมาก่อนไม่ได้ “พี่หญิงใหญ่ ท่านย่าจะดีขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ”
“นางแก่แล้ว”
หัวใจฉินหมิงเย่ว์จมดิ่งลงทันที
ฉินหมิงซินเอ่ย “แม้แต่ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลยหรือ วิชาแพทย์ของท่านยอดเยี่ยมมากมิใช่หรือ”
“ข้าก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่เทพ อย่าทำให้ข้ากลายเป็นเทพ ข้าไม่ได้มีเกียรติขนาดไปนั่งอยู่บนแท่นบูชา” ฉินหลิวซีเหลือบมองนางเบาๆ
คนผู้นี้ยังน่าโมโหเหมือนเดิม!
ฉินหมิงเย่ว์ยืนขึ้นด้วยความสิ้นหวังและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ฉินหมิงซินนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระทืบเท้าแล้วเดินตามหลังไป
พวกฉินอวี่เยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ตามไป แต่ย่อกายคารวะฉินหลิวซี และเอ่ยอย่างจริงใจ “พี่หญิงหลิวซี ก่อนหน้านี้โชคดีที่ได้การทำนายที่ชาญฉลาดและความช่วยเหลือของท่าน พวกเราจึงถอยออกมาจากตระกูลซ่งได้อย่างปลอดภัย ข้าอยากจะขอบคุณท่านมาตลอด แต่ก็ไม่ได้พบ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
ขณะที่เอ่ย ทั้งสองก็คารวะอย่างจริงจัง
“น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว กลับไปเถิด” ฉินหลิวซีโบกมือ
ทั้งสองไม่กล้าอยู่และจากไปอย่างมีความสุข
ญาติผู้พี่ผู้นี้ไม่ใช่คนที่พวกนางจะประจบประแจงได้สุ่มสี่สุ่มหน้า วิธีที่ดีที่สุดในการผูกมิตรกับนางคือการเชื่อฟัง ทำตาม และให้ความเคารพ
…
ยามอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา ฉินหลิวซีก็มาที่เรือนสะใภ้หวัง อนุวั่นก็ออกมาจากห้อง และทักทายเมื่อเห็นนาง
“ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่กลับมาเลย”
ฉินหลิวซีรับคำ พอเห็นว่านางสวมเสื้อผ้าบางๆ จึงเอ่ยว่า “เริ่มหนาวแล้ว ใส่เสื้อผ้าให้มากหน่อย อย่าเน้นที่สวยงามโดยไม่สนใจความอบอุ่น ตอนนี้ในบ้านมีหลายเรื่อง อย่าได้ล้มป่วย จะกลายเป็นตัวถ่วง”
อนุวั่นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าเห็นว่าข้าสวมเสื้อผ้าบางๆ แต่เจ้าไม่รู้ว่ามีบางอย่างพิเศษอยู่ในเสื้อผ้าของข้า เย็บด้วยผ้าฝ้ายบางๆ ชั้นหนึ่ง ทั้งอบอุ่นและสวยงาม ถ้าไม่เชื่อ ก็ดูมือข้า อุ่นนะ”
นางก้าวเข้าไป จับมือฉินหลิวซีและขมวดคิ้ว “มือของเจ้าเย็นกว่าของข้าอีก”
ฉินหลิวซีก้มหน้าลงมองดูมือตนเองที่อยู่ในมือนาง ความอบอุ่นส่งผ่านมาจากฝ่ามือของอีกฝ่าย รู้สึกไม่ชินเล็กน้อย จึงดึงมือออก
“ข้าทำให้เจ้าเหมือนข้าสักชุดดีหรือไม่ ถึงจะบาง แต่ก็ไม่หนาว” อนุวั่นเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ข้าไม่หนาว” ฉินหลิวซีเอ่ย
หลังจากเอ่ยออกไปแล้วก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของนางแข็งกระด้างไม่ค่อยดีนัก เกรงว่าอนุโง่เขลาผู้นี้จะร้องไห้เสียใจ ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยเพิ่มเติม อีกฝ่ายก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
อนุวั่นผู้ไม่คิดอะไรมากดุ “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า ข้ารู้ว่าเจ้าแค่ปากแข็ง แต่จริงๆ แล้ว ไม่ต้องการให้ข้าเหนื่อย ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่จริงๆ ต้องการ ไม่เป็นไร อย่างไรข้าก็ว่างอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง ข้าเก่งเรื่องเสื้อผ้า” คำว่าทำร้ายความรู้สึกไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของนางเลย
ฉินหลิวซี ข้าคิดว่าท่านเก่งเรื่องชมตัวเอง!
อนุวั่นที่คิดว่าตัวเองพูดถูกแล้ว กำลังทำท่าวัดตัวนางพลางพึมพำ “ข้าว่าเจ้าผอมลง เอวเล็กลง แต่หน้าอกแบนลง และก้นก็ไม่งอนเท่าของข้า…”
ฉินหลิวซี “…”
ปกตินางทำผิดบาปหรือ ไม่อย่างนั้นทำไมนางถึงถูกโจมตีเรื่องรูปร่างเล่า
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่” สะใภ้หวังเดินเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เมื่อเห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของฉินหลิวซี นางก็สงสัยและรู้สึกขบขันเล็กน้อย ฝืนทำตัวกระปรี้กระเปร่าและยกยิ้ม
อนุวั่นเอ่ย “ข้าอยากจะทำชุดนวมบางๆ ให้นางสักชุด กำลังวัดขนาดตัว มือของนางยังไม่อุ่นเท่าข้าเลย”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้แม่นมเสิ่นไปเอาผ้ามาให้เจ้า” พอได้ยินอย่างนั้นแล้ว สะใภ้หวังก็ยิ้มและกวักมือเรียกฉินหลิวซี “เราเข้าไปคุยกันหน่อยดีหรือไม่”