คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 814 คุณชายรองทังที่ตระกูลมีเหมืองแร่...
ตอนที่ 814 คุณชายรองทังที่ตระกูลมีเหมืองแร่…
……….
ท่านหมอซุนล้มลงไปอย่างกะทันหัน ทำเอาเด็กขายยาตกใจแทบแย่ รีบทิ้งทุกอย่างในมือแล้วออกมาจากด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน ผู้ที่มาเพียงแค่เหลือบมอง เห็นว่าใบหน้าของท่านหมอซุนเปลี่ยนเป็นสีเขียว คงจะไม่สามารถรักษาได้แล้ว รีบจากไปในทันที อย่างไรเสียเมืองอู่ก็ไม่ได้มีหมอท่านนี้เพียงท่านเดียว ทางด้านคุณชายสถานการณ์เร่งด่วน
“เอาล่ะ คนไปแล้ว เลิกเสแสร้งได้แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ท่านหมอซุนลุกจากเตียงในทันที เอ่ยกับเด็กขายยาว่า “เจ้าทำงานของเจ้าไป” แล้วเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “พวกเราไปคุยกันที่ห้องโถงด้านหลังดีหรือไม่”
ฉินหลิวซีย่อมไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ
ทั้งสองคนเดินผ่านหลังม่านเข้าไปที่ห้องโถงด้านหลัง
เด็กขายยารู้สึกว่าตัวเองสับสนไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน
ห้องโถงด้านหลังของร้านยาไป่เฉ่าก็มีห้องยาไว้ให้ผู้ป่วยพักเป็นการชั่วคราว เพื่อสะดวกในการให้หมอตรวจรักษาอาการ ฉินหลิวซีถูกพาไปนั่งที่นั่น
ท่านหมอซุนถามว่า “เจ้าบอกมาตามตรง ที่คุณชายเนี่ยผู้นั้นถูกทุบตีเกี่ยวข้องกับเจ้า?”
ฉินหลิวซีกะพริบตา “หมอเฒ่า จะพูดมั่วๆ ไม่ได้ ข้าจะไปมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร อีกอย่างข้าเป็นคนดี ส่วนจอมอันธพาลน้อยผู้นั้น บอกได้เพียงว่าทำเรื่องชั่วมามาก สร้างศัตรูมากมาย เกรงว่าจะมีคนขัดหูขัดตา จึงได้ลงมือทำร้ายเขากระมัง”
ท่านหมอซุนคิดในใจ หากไม่ใช่เพราะเสียงที่เจ้าถ่ายทอดเมื่อครู่นี้ ข้าก็คงไม่เชื่อ
แต่เมื่อนึกถึงความร้ายกาจของอันธพาลน้อยตระกูลเนี่ยในวันปกติ ก็เอ่ยว่า “ตระกูลเนี่ยมีใต้เท้าผู้ว่าการ ใช่ว่าไม่มีรากฐานอะไรเลย เกรงว่าพวกเขาจะคิดเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง ทำให้คนในตระกูลของเจ้าต้องเดือดร้อน” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอีกว่า “จริงสิ หากพวกเขาสืบพบว่าน้องชายของเจ้าผู้นั้นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกช่วยชีวิตกลับมาได้ ไม่แน่อาจจะไปที่เรือนเล็กเพื่อตามหาเจ้า ตระกูลเนี่ยมีทายาทเพียงคนเดียว ไม่มีทางยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา”
“เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องมีความสามารถหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยท่าทางยิ้มแย้มว่า “หากมาหาท่าน ท่านก็บอกไปว่าไม่รู้ว่าข้าเป็นใครก็พอแล้ว”
เมื่อท่านหมอซุนเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่นิด คิดว่านางมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก หรือว่าจะมีแผนสำรอง
แต่สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญของเขามาถึงแล้ว จึงเอ่ยว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ได้รู้จักตัวตนของเจ้า แต่ว่าข้ามีคนไข้ที่นี่จริงๆ เจ้าช่วยดูได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ข้ามีเงื่อนไขในการรักษา ไม่ช่วยคนทำชั่วไม่รู้จักกลับตัว แล้วก็ไม่ช่วยผู้ที่นิสัยโหดเหี้ยมมากเกินไป”
ท่านหมอซุนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเอ่ยว่า “เจ้าวางใจได้ ไม่ใช่คนเลวร้าย ตระกูลก็ได้สั่งสมบุญให้เขาไม่น้อย เมื่อมีเทศกาลหรือภัยพิบัติก็บริจาคเงินและสิ่งของ เจ้าสามารถไปสอบถามได้ ยกย่องว่าตระกูลทังผู้มีจิตใจประเสริฐ ไม่มีใครไม่ชื่นชม ตระกูลทังได้ทำความดีสั่งสมบุญมาหลายชั่วอายุคน”
ฉินหลิวซีไม่ได้คิดว่าท่านหมอซุนผู้นี้เอ่ยเกินจริง จึงเอ่ยว่า “เป็นโรคอะไรหรือ”
“เกิดมาไม่สมประกอบ ร่างกายอ่อนแอ มีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี” ท่านหมอซุนเอ่ยพลางถอนหายใจ
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “โดยปกติแล้วผู้ที่ว่ากันว่ามีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปี ล้วนปากกัดตีนถีบมีชีวิตอยู่ต่อไปปีแล้วปีเล่า”
ท่านหมอซุน “…”
ฉินหลิวซีเกาจมูก กระแอมแล้วเอ่ยว่า “หากเป็นตระกูลที่สั่งสมบุญอย่างที่ท่านเอ่ย มีบุญกุศลรักษากาย แม้ว่าจะอ่อนแอ แต่ก็จะไม่ได้มีชีวิตอยู่ไม่กี่ปีจริงๆ ย่อมมีจุดเปลี่ยนที่ดีขึ้น”
“เจ้าก็คือจุดเปลี่ยนนั้นไม่ใช่หรือ” ท่านหมอซุนเอ่ยเยินยอ
ฉินหลิวซี ‘อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องเลียแข้งเลียขาตาเฒ่าอย่างเจ้าทำได้อย่างเชี่ยวชาญ’
ท่านหมอซุนไม่รอให้ฉินหลิวซีเอ่ย ก็บอกขึ้นมาว่าให้รอก่อน จากนั้นก็รีบร้อนเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับใบสั่งยาและแผนการรักษาจำนวนหนึ่งยื่นให้ฉินหลิวซี “คนไข้ผู้นี้คือคุณชายรองตระกูลทัง ปีนี้อายุเพียงสิบห้าปี เขาคลอดก่อนกำหนด นับตั้งแต่ที่ท่านแม่ของเขาตั้งครรภ์ ก็นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสามเดือนกว่าจะรอดมาได้ จากนั้นก็อยู่ในครรภ์ของมารดาเป็นเวลาแปดเดือนก่อนจะคลอดออกมา เด็กคนนั้นข้าเห็นมาตั้งแต่เกิด…”
เขาสำลักคำพูดเมื่อเห็นสายตาที่ฉินหลิวซีเหลือบมองมาแฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่าง เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย เอ่ยว่า “ข้าหมายความว่าตอนที่เขาเกิดข้าก็ไปเฝ้าอยู่นอกห้อง ทันทีที่เกิดมาข้าก็อุ้มไปตรวจดู เป็นเด็กอ่อนแอที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาจริงๆ”
ท่านหมอซุนนึกถึงตอนที่ทังเทียนโย่วเกิด ทำท่าทางให้ดู “เด็กคนนี้ไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือเท่าไหร่ เป็นอย่างที่เจ้าเอ่ย ล้วนพึ่งพาบุญบารมีของบรรพบุรุษคุ้มครองจึงรอดมาได้ เอ่ยได้เลยว่าเขายังดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยยามาตลอดไม่เคยขาด ใช้โสมอันล้ำค่ายื้อชีวิตไว้ แพงแค่ไหนน่ะหรือ โสมที่เขากินตลอดหลายปีมานี้ มากกว่ากินข้าวด้วยซ้ำ ซ้ำยังเป็นโสมเก่าแก่อายุมากกว่าร้อยปีทั้งนั้น จริงสิ เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านยาไป่เฉ่าผู้นี้ก็เป็นคนของตระกูลพวกเขา”
ฉินหลิวซีกลับได้ยินถึงประเด็นสำคัญ “กินโสมเก่าแก่ร้อยปีตลอดทั้งปี ตระกูลทังมีเหมืองแร่หรือ”
“เอ๋ เจ้ารู้ได้อย่างไร ตระกูลพวกเขามีเหมืองแร่ มีทั้งเหมืองทองและเหมืองเงิน ก่อนหน้านี้ยังมีเหมืองเหล็กอีกด้วย เพียงเพราะบรรพบุรุษต่างแซ่คือท่านอ๋องหวังหมิงแห่งอาณาจักรเซี่ยในอดีต นับว่าเกิดจากตระกูลสูงส่ง แม้ว่าต่อมาจะเปลี่ยนราชวงศ์ แต่ตระกูลทังวางตัวเป็น ถวายเหมืองเหล็กเอาใจฮ่องเต้องค์ใหม่ จึงได้มั่นคง แม้ว่าในตระกูลทังจะไม่มีใครเป็นขุนนางในราชสำนัก แต่ก็ได้รับการแต่งตั้ง เรียกว่าฉังซุ่นปั๋ว ประกอบกับความร่ำรวยในตระกูลนี้ ทำความดีมาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงดีเป็นอย่างมาก”
ฉินหลิวซีกำลังจะยกชาขึ้นมา มือสั่น มีเหมืองแร่จริงๆ ด้วย
นางจิบชา ตั้งสติ เอ่ยว่า “ฉังซุ่นปั๋ว ตำแหน่งที่แต่งตั้งนี้น่าสนใจ” ฉังซุ่น ฉังซุ่น ให้รับใช้ราชวงศ์ต้าเฟิงตลอดไปหรือ น่าขยะแขยงเล็กน้อย
ท่านหมอซุนคิดในใจว่าหากไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าชื่อนี้ไม่เหมาะสม พวกเขาก็คงไม่เรียกว่าตระกูลทัง แต่เรียกจวนปั๋วด้วยความเคารพไปแล้ว กระแอมพลางเอ่ยต่อ “ดังนั้นความเป็นคนที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นจึงไม่มีปัญหา ร้านยาไป่เฉ่าแห่งนี้ก็เก็บค่ารักษาอย่างสมเหตุสมผล เดิมทีเป็นของบรรพบุรุษข้า แต่ข้าไม่มีวาสนา ถูกคนไม่รักดีเดิมพันครั้งใหญ่เอาโรงหมอที่บรรพบุรุษสืบทอดมาไปแพ้พนัน เป็นตระกูลทังที่ไถ่คืนมา ให้ข้าทำงานเป็นเถ้าแก่ต่อไป ทำให้ข้าไม่ถึงขั้นไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษ แม้ว่าร้านยาไป่เฉ่าจะเปิดให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ก็เอ่ยได้ว่าเป็นห้องยาที่เตรียมไว้สำหรับคุณชายรองตระกูลทัง”
ฉินหลิวซีหยิบแผนการรักษามาเปิดดู
“หลายปีมานี้นอกจากข้าแล้ว ตระกูลทังก็ได้เชิญท่านหมอที่มีชื่อเสียงหลายคนมารักษาคุณชายรองทัง ร่างกายของเขาไม่สามารถขึ้นรถขึ้นราได้ จึงทำได้เพียงจ่ายค่ารักษาจำนวนมากเพื่อเชิญมาตรวจอาการ เพียงแต่ไม่เคยดีขึ้นเลย แต่แผนการรักษาที่พวกเขาเคยปรึกษากันรวมถึงใบสั่งยา ข้าก็ได้คัดลอกมาหนึ่งชุด อยากจะลองดูว่าจะสามารถคิดวิธีการรักษาใหม่ได้หรือไม่”
ท่านหมอซุนเอ่ยด้วยความเสียดายเล็กน้อยว่า “น่าเสียดายที่วิชาแพทย์ของข้าไม่ได้ดีเลิศ ไม่สามารถคิดวิธีที่ดีออกมาได้”
ฉินหลิวซีเปิดดูอย่างรวดเร็ว ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เขาเป็นโรคหอบหืดหรือ”
“ตอนที่คลอดออกมาเขาสำลักน้ำคร่ำ ข้าคิดว่าน้ำคร่ำเข้าไปในปอดของเขา” ท่านหมอซุนเอ่ยพลางถอนหายใจว่า “เขาเป็นประเภทที่วิ่งไม่ได้ ยกของก็ไม่ได้ เมื่อเดินเร็วก็จะหายใจไม่ออก หากมีคนมาก ก็จะหายใจลำบาก”
ฟังเช่นนี้ นับว่าอ่อนแอจริงๆ
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะเบาๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “สภาพชีพจรของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันอยู่บ้าง จริงเท็จอย่างไร ข้าต้องจับชีพจรตรวจอาการเจ้าตัวด้วยตัวเองจึงจะรู้ว่าอาการป่วยของคนผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่”
หมายความว่าเต็มใจที่จะรับคนไข้?
ท่านหมอซุนดวงตาเป็นประกาย กำลังอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เด็กขายยาก็รีบเดินเข้ามาจากด้านนอก เอ่ยว่า “ท่านหมอซุน คนตระกูลทังมาแล้ว คุณชายรองสลบไปอีกแล้วขอรับ”
เอ้อ ช่างบังเอิญเหลือเกิน
……….