คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 804 รอก่อน ข้าจะเอาถุงกระสอบไปคลุม
ตอนที่ 804 รอก่อน ข้าจะเอาถุงกระสอบไปคลุม
……….
ฉินหมิงเยี่ยนคาดไม่ถึงว่านักต้มตุ๋นผู้หลอกลวงที่ตัวเองกล่าวถึงจะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง พี่สาวคนโตผู้นั้นที่ถูกเลี้ยงในอารามเต๋าตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเขาเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ นางก็คือพี่สาวของเขา
อีกฝ่ายช่วยชีวิตเขามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ครั้งนี้เท่ากับให้ชีวิตใหม่แก่เขา
ฉินหมิงเยี่ยนรู้ดีกว่าใคร หากตกอยู่ในมือของเนี่ยเจียเป่า เขาไม่ทางรอดแล้ว หากอยู่ที่เมืองหลวง ถ้าเขายังเป็นคุณชายน้อยฉินสามเหมือนเมื่อก่อน บางทีเนี่ยเจียเป่าอาจจะไม่กล้าทำกับเขาเช่นนี้
แต่ในเมืองอู่ เขาเป็นเพียงคนที่ถูกเนรเทศ เทียบกับราษฎรทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะไปเทียบกับอันธพาลน้อยที่พี่หญิงในตระกูลได้เป็นกุ้ยเหรินในวังได้อย่างไร
ดังนั้นก่อนที่จะโดนกีบม้าเหยียบย่ำแล้วหมดสติไป เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งบอกกับท่านแม่ในใจว่าลูกอกตัญญูแล้ว
แต่ตอนนี้เขายังไม่ตาย และเมื่อฟังจากความหมายของท่านปู่ ท่านอา และท่านพ่อ เขาไม่มีทางตาย?
เนื่องจากเขามีฉินหลิวซีเป็นพี่สาว
ฉินหมิงเยี่ยนมองดูใบหน้าที่แยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้รู้สึกหน่วงที่จมูก ขอบตาอุ่นเล็กน้อย
แต่ก่อนที่เขาจะสงบสติอารมณ์ได้ ท้องไส้ก็เริ่มปั่นป่วน ที่แท้เข็มที่ฉินหลิวซีฝังให้เขาออกฤทธิ์แล้ว เลือดคั่งสะสมเหล่านั้นถูกเขาอาเจียนออกมา กลายเป็นเลือดสีแดงเข้ม
หลังจากอาเจียนออกมาเป็นเลือดและบ้วนปากแล้ว ฉินหมิงเยี่ยนก็ถูกนางป้อนยาหลายชนิดใส่ปาก และไม่ได้ทรมานเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา เอ่ยว่า “นอนบนเตียงอย่างน้อยสองเดือนห้ามขยับ กินดื่มขับถ่ายบนเตียงเพื่อรักษากระดูกซี่โครง แต่หากไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ขยับได้ตามสบาย”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ จะไม่เป็นการเสียยาหุยชุนของตัวเองไปหนึ่งเม็ดโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ!
“ไม่ได้ หากเจ้ากล้ามีความคิดเช่นนี้ ก็ต้องจ่ายค่ายารักษามาก่อนแล้วค่อยตายก็ยังไม่สาย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุว่า “อย่างน้อยหนึ่งแสนตำลึง”
หนึ่ง หนึ่งแสนตำลึง?
ชีวิตของเขามีค่ามากมายขนาดนั้นเชียวหรือ
ฉินหมิงเยี่ยนเบิกตาโต
“ไม่มีทาง ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะดึงกลับมาจากประตูวิญญาณได้ เขาจะกล้าปล่อยให้เสียเปล่าได้อย่างไร” ฉินปั๋วชิงเอ่ยพลางหัวเราะ ซ้ำยังส่งสายตาให้ฉินหมิงเยี่ยนอย่างดุเดือด
ฉินหมิงเยี่ยนน้ำเสียงแหบแห้ง เอ่ยว่า “ข้าอยากมีชีวิตอยู่”
ประเด็นหลักก็คือเขาไม่มีเงินหนึ่งแสนตำลึงจริงๆ แม้กระทั่งก่อนที่ตระกูลฉินจะถูกยึดทรัพย์ ทั้งตระกูลก็ไม่มี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่ตอนนี้พวกเขามีสถานะเป็นผู้ถูกเนรเทศเท่านั้น ทรัพย์สินตระกูลถูกยึดหมดแล้ว
ท้ายที่สุดฉินหลิวซีก็ถามเขาว่ารู้สึกไม่สบายที่ศีรษะหรือไม่
“เวียนศีรษะเล็กน้อย ดูเหมือนจะมองอะไรไม่ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน” ฉินหมิงเยี่ยนตอบอย่างตรงไปตรงมา เขาพบว่ามองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนจากระยะไกล
ฉินหลิวซีจึงเอ่ยว่า “เป็นเพราะที่ท้ายทอยของเจ้าก็ถูกกระแทก อาจจะมีเลือดคั่งอยู่บ้าง ซึ่งจะทำให้เส้นประสาทสมองเสียหาย จึงได้ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ดูแลรักษาสักพัก กินยาให้ตรงเวลาก็จะดีขึ้น”
ฉินหลิวซีเอายาลบรอยแผลเป็นมาทาบนใบหน้าของเขา
ฉินหมิงเยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนไป อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัส ถูกฉินหลิวซีหยุดไว้ “อย่าจับ”
“หน้าของข้า?”
ฉินหลิวซียังคงปากร้าย “ถูกคนใช้ม้าลากไปตามถนน เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่ถูกถูไถ” เมื่อเห็นสายตามืดมนของเขา จึงเอ่ยว่า “ใช้ยาฟื้นฟูผิวทาก่อน รอดูผล”
“อืม”
ฉินหลิวซีอธิบายยาเหล่านั้นให้ฉินปั๋วชิงทีละอย่าง ควรกินอะไร ต้องระวังอะไร ล้วนอธิบายอย่างชัดเจน
“เพียงแค่กินยาก็พอแล้วหรือ ยังต้องฝังเข็มหรือไม่ ไม้กระดานบนตัวของเขาก็มัดไว้ตลอดเวลาหรือ” ฉินปั๋วชิงถามติดต่อกันหลายคำถาม สุดท้ายก็ถามอย่างหยั่งเชิงว่า “คือว่า เจ้ายังจะมาติดตามผลอยู่หรือไม่”
“ข้าจะฝังเข็มให้เขาติดต่อกันสามวัน เลือดคั่งในสมองของเขาจะดีขึ้น บาดแผลภายในและกระดูกที่แตกหักต้องนอนรักษา ดังนั้นต้องดูแลอย่างใส่ใจ” ฉินหลิวซีเอ่ย
หมายความว่าต้องเชิญคนมาดูแล
สะใภ้เฉายืนพิงอยู่หน้าประตูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อเห็นสายตาฉินปั๋วกวงที่มองมา จึงรีบเอ่ยว่า “จะหวังพึ่งข้าไม่ได้นะ อย่างไรเสียข้าก็เป็นอาสะใภ้ที่อายุไม่ห่างจากเขานัก ไหนเลยจะสะดวก” เด็กคนนี้โตพอที่จะแต่งภรรยาได้แล้ว
ฉินหลิวซีมองไปยังฉินปั๋วกวง เขารู้สึกผิดเล็กน้อย หลบสายตาของนาง แต่ไม่ช้าเขาก็คิดว่าตัวเองจะรู้สึกผิดทำไม เรื่องในเรือนของท่านอา ไหนเลยจะต้องให้หลานสาวเข้ามายุ่ง
แม้ว่านางจะเอาไปบอกกับสะใภ้เซี่ย เขาก็ไม่กลัว อย่างไรเสียนางก็มาไม่ได้
ฉินปั๋วหงเอ่ยว่า “ข้าทำเอง เพียงแต่งานของข้า…”
“พี่ใหญ่ ท่านลาออกจากงานชั่วคราวก่อนก็ได้ การดูแลเยี่ยนเอ๋อร์เป็นสิ่งสำคัญ ไว้ข้าจะลองถามตำแหน่งอื่นกับพ่อบ้านจ้าวให้ท่านในภายหลัง” ฉินปั๋วชิงเอ่ยว่า “ค่าใช้จ่ายในครอบครัว ยังมีพวกเราอยู่”
สะใภ้เฉาได้ฟังดังนั้นก็เบะปาก แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร
ฉินหยวนซานกลับกังวลเป็นอย่างมาก “ข้าเกรงว่าจอมอันธพาลน้อยเนี่ยผู้นั้นจะไม่ยอมลามือเช่นนี้”
เมื่อทุกคนได้ฟังเช่นนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่าพวกเขาจะโกรธแค่ไหน แม้ว่าจะไปแจ้งแก่ทางการ ก็อย่าคิดว่าจะมีอะไรดีขึ้น อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นเพียงผู้ที่ถูกเนรเทศที่ชีวิตมีค่าน้อยกว่ากระดาษเสียอีก
“ตระกูลเฉวียนไม่ได้ส่งคนมาหรือ” ฉินหลิวซีทายาให้ฉินหมิงเยี่ยน ถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
เป็นไปไม่ได้ เฉวียนจิ่งไม่ใช่คนเนรคุณเช่นนั้น นางเอ่ยปากให้เขาช่วยดูแลอย่างลับๆ เขาก็น่าจะไปหาใครสักคนมาช่วยดู
ฉินหยวนซานตกตะลึง “ตระกูลเฉวียน?”
ตระกูลเฉวียนผู้มีอำนาจในซีเป่ยหรือ
ในช่วงเวลาเพียงฟ้าผ่า เขานึกขึ้นได้ว่าหลายเดือนมานี้ ตระกูลฉินของพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอู่ ดูเหมือนจะราบรื่นไม่น้อย เจ้าสามติดตามพ่อบ้านจ้าวทำงานที่หอการค้า และตอนนี้ก็เป็นผู้ดูแลที่พอมีอำนาจอยู่บ้างเล็กน้อย และเจ้าใหญ่ก็เป็นคนทำบัญชีในร้านอาหารมาตลอด มีเงินรางวัลมากมาย เจ้ารองก็ได้ย้ายจากงานเล็กๆ ไปเป็นหัวหน้างานก่อสร้างเส้นทางน้ำ แม้ว่าเงินเดือนจะน้อย และไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูง แต่อย่างน้อยก็เป็นคนของทางการ มิเช่นนั้นสะใภ้เฉาซึ่งเป็นแม่ม่ายรูปงามผู้นี้ก็คงไม่ติดตามเขา
ซ้ำยังมีฉินหมิงเยี่ยนสองคนพี่น้องก็ได้ไปที่สำนักศึกษาในเมืองอู่ ช่วยจัดระเบียบหอตำราลับ และฉินหมิงเยี่ยนก็ถูกหัวหน้าสำนักรับเป็นผู้ช่วย บอกว่าเป็นผู้ช่วยแต่กลับได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย เนื่องจากเวลาที่เขาสอนลูกศิษย์ ฉินหมิงเยี่ยนสามารถไปฟังได้ เท่ากับว่าสอนเขาเรียนหนังสือ
เอ่ยได้ว่าชีวิตในช่วงนี้นับว่าเป็นจุดสูงสุดของคนที่ถูกเนรเทศแล้ว
และหายนะของฉินหมิงเยี่ยนในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะหลานสาวของเจ้าสำนักศึกษาปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ของเนี่ยเจียเป่า บอกกับเนี่ยเจียเป่าว่าเขาเทียบไม่ได้เลยกับผู้ช่วยของท่านปู่ จึงได้นำไปสู่การแก้แค้นด้วยความโกรธ
แต่วันดีๆ ของตระกูลฉินเหล่านี้เกิดจากการดูแลของตระกูลเฉวียน? ซึ่งได้รับน้ำใจจากนาง?
ทุกคนไม่ใช่คนโง่ คิดถึงประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านี้ ซ้ำยังรวมถึงสิ่งต่างๆ ตลอดทางที่พวกเขาถูกเนรเทศมาจึงถึงตอนนี้ ล้วนโชคดีกว่าผู้ถูกเนรเทศคนอื่นๆ ความจริงแล้วล้วนเป็นเพราะสาวน้อยผู้นี้ที่ไม่เคยถูกพวกเขาใส่ใจอย่างนั้นหรือ
ทุกคนใบหน้าร้อนผ่าว
ฉินปั๋วชิงกลืนน้ำลาย ถามว่า “ซีเอ๋อร์ พวกเราอยู่ที่นี่สบายดี เป็นเพราะเจ้าให้คนดูแลมาตลอดหรือ”
ฉินหมิงเยี่ยนก็มองดูตาปริบๆ ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นความดีของเด็กสาวที่ถูกพวกท่านทอดทิ้งไว้ในอารามเต๋า!” ฉินหลิวซีไม่ได้บอกว่าไม่ใช่ ทำความดีย่อมต้องยอมรับ และต้องให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาสูญเสียสิ่งสำคัญสิ่งใดไป
มันเป็นเรื่องจริง
ทุกคนต่างพากันประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อคิดถึงน้ำเสียงของฉินหลิวซี ในใจหนักอึ้ง นางขุ่นเคืองหรือ
ฉินหยวนซานอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ฉินหลิวซีกลับเหลือบมองไปที่ฉินหมิงเยี่ยน สายตาเฉียบคม หันหลังแล้วเดินออกไป ทิ้งไว้หนึ่งประโยค “รอก่อน ข้าจะเอาถุงกระสอบไปคลุม!”
เจ้าเด็กสารเลว คิดแต่จะสิ้นเปลืองยาของนางไม่จบไม่สิ้นใช่หรือไม่!