คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 172 การประลองรอบแรก
เช้าวันถัดมาหลังจากจบการแข่งขันรอบคัดเลือก การแข่งรอบจริงในศึกประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนักประเภทบุคคลก็เริ่มต้น ผู้เข้าแข่งขันทั้งหกสิบสี่คนต่างก็มาถึงสถานที่นัดหมายแต่เช้าตรู่
ในวันนี้ ผู้เข้าแข่งขันที่ชนะในรอบคัดเลือก ผู้จับสลากได้รับสิทธิ์พิเศษ รวมทั้งผู้ที่ได้สิทธิ์ผ่านเข้าแข่งขันในรอบจริงจากการแข่งขันแบบหมู่คณะจะต้องทำการจับสลากประกบคู่กันอีกครั้งสำหรับการลงแข่งในรอบจริง
นักเรียนผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดมารวมตัวกันที่จัตุรัสกลางของโรงเรียนโดยพร้อมหน้าแล้ว ในขณะนี้พวกเขากำลังรอคอยการมาถึงของท่านอธิการ บรรดาอาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลาย
ผ่านไปสักพัก อาจารย์ลิ้วหยวยและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ขึ้นมาบนเวที ทว่ากลับไม่เห็นอธิการมู่อวิ๋นปรากฏตัว
“อรุณสวัสดิ์นักเรียนทั้งหลาย พวกเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นพวกเจ้าทุกคนในวันนี้ น่าเสียดายที่ท่านอธิการมีงานเร่งด่วนที่ต้องจัดการจึงมาไม่ได้ แต่ท่านอธิการฝากสารมาบอกนักเรียนผู้ผ่านมาในรอบนี้ทุกคนว่า ‘จงทำให้เต็มที่’ ”
หลังจากก้าวขึ้นมาบนเวทีสูงแห่งจัตุรัสกลาง อาจารย์ลิ้วหยวยก็กล่าวทักทายก่อนจะแจ้งข่าวสารของผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียน ถัดจากนั้นอาจารย์ผู้รับหน้าที่เป็นฝ่ายจัดการแข่งขันก็ดำเนินการการแข่งขันในวันนี้ทันที
“เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจะมาเริ่มจับสลากประกบคู่ของการแข่งรอบจริงกันเลย กฎการแข่งขันนั้นเหมือนเช่นทุกปี ผู้ที่จับสลากได้คู่กันจะต้องประลองกันตัวต่อตัว ดังนั้นในวันนี้จะมีผู้เข้าแข่งขันเพียงสามสิบสองคนเท่านั้นที่จะผ่านเข้าสู่รอบถัดไป…”
ลิ้วหยวยยิ้ม ขณะเอ่ยอธิบายเกี่ยวกับการแข่งขันและการจับสลากประกบคู่
เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น นักเรียนผู้เข้าแข่งขันต่างก็ขึ้นไปบนเวทีเพื่อจับสลาก และเมื่อการจับสลากเสร็จสิ้น สีหน้าของทุกคนก็แตกต่างกันออกไป
หนึ่งในผู้ที่มีสีหน้าสงบเรียบเฉยที่สุดก็คือฉินอวี้โม่ คู่ต่อสู้ที่นางต้องเผชิญหน้าในรอบนี้มีนามว่าจางตง ซึ่งเป็นคนที่นางไม่รู้จัก อย่างไรก็ตามคู่ต่อสู้คนแรกนี้ก็ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้อดีตนักฆ่าผู้เจนสังเวียนแม้แต่น้อย
ส่วนคนที่ดูมีใบหน้ารื่นเริงมากที่สุดผู้หนึ่งคือลั่วอวิ๋น เพราะในรอบแรกนี้เขาจะต้องสู้กับผู้ที่ถือว่าเป็น ‘ศัตรูตัวฉกาจแต่กลับไม่ค่อยฉลาด’ ของฉินอวี้โม่และกลุ่มของพวกเขา เมื่อคิดว่ากำลังจะได้เล่นงานคนโง่งมผู้นี้เขาก็มีความสุขเป็นอย่างมาก และคนผู้นั้นก็คือจีชาง
ผิดกับเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงที่ต่างก็ลงมาจากเวทีด้วยอาการอึ้งค้าง ผลการจับสลากทำให้พวกเขาไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้เลย นั่นก็เพราะว่าทั้งคู่จับสลากได้เจอกันเอง
แม้ว่าจะมีโอกาสจับสลากเจอกับคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ ได้อีกตั้งมากมาย แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงต้องมาพบเจอกับคนที่ไม่อยากจะต่อสู้ด้วยตั้งแต่รอบแรก ต้องบอกเลยว่าโชคของทั้งคู่ช่างไม่ดีเอาเสียเลย
“สวรรค์ ท่านชักจะเล่นตลกกับพวกเรามากเกินไปแล้วนะ ถึงเราสองคนจะไม่ได้แข็งแกร่งหรือเป็นตัวเต็งที่จะชนะ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องโหดร้ายจับให้เรามาสู้กันเองเลยนี่ !”
เยว่ชิงเฉิงทำหน้าบูดบึ้งพลางตำหนิโชคชะตา ก่นด่าสวรรค์มาตลอดทาง นางไม่สามารถลงมือกับโอวหยางชิงเฟิงได้ นางสู้กับเขาไม่ได้ ถ้าจะต้องทำเช่นนั้นนางขอเลือกยอมแพ้เสียตั้งแต่เริ่มต้นจะดีกว่า
โอวหยางชิงเฟิงเองก็จิตตกไปไม่แพ้กัน เขาจ้องมองคุณหนูตระกูลช่างหลอมอยู่เนิ่นนานราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดของตัวเอง และในที่สุดคุณชายรองตระกูลโอวหยางก็ตัดสินใจได้ เขาคิดไว้แล้วว่าจะเป็นฝ่ายเดินออกจากการแข่งขันเอง
ส่วนสหายในกลุ่มฉินอวี้โม่คนอื่น ๆ จับได้คู่ต่อสู้ที่ไม่รู้จัก
ยังนับว่าโชคดีไม่น้อยที่ไม่มีใครในกลุ่มสหายอวี้โม่ที่ได้ประชันฝีมือกับจีหย่งและปู้เฟยเทียนในรอบแรกนี้ เพราะถ้าหากต้องพบเจอกับสองคนนั้นตั้งแต่เริ่มต้น ความฝันที่จะเข้าไปสู่รอบลึก ๆ ของพวกเขาก็อาจจะจบลงตั้งแต่ในรอบนี้ อย่างไรคนชั่วช้าทั้งสองก็คงไม่ยั้งมือกับพวกเขาอย่างแน่นอน
ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป การแข่งขันในคู่แรกก็เริ่มต้นขึ้น
สำหรับฉินอวี้โม่นั้น รอบการประลองของนางอยู่ในลำดับค่อนท้ายจึงไม่ต้องรีบร้อนเตรียมตัวในตอนนี้ คุณหนูสี่ตระกูลฉินใช้ช่วงเวลาระหว่างการรอคอยนั่งชมการแข่งขันของคู่อื่น ๆ
ไม่แน่ว่าคำครหาต่อสวรรค์ของเยว่ชิงเฉิงอาจจะเป็นความจริง ไม่ทราบว่าฟ้าโกรธแค้นหรือโชคชะตาล้อเล่นอะไรอยู่จึงเลือกให้ผู้เข้าแข่งขันคู่แรกที่ต้องปะทะกันก็คือผู้ที่ไม่อยากประมือกันมากที่สุดอย่างเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิง
พวกเขาขึ้นไปบนเวทีแล้วยืนมองหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ข้าขอยอมแพ้ ! / ข้าขอยอมแพ้ !”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนเอ่ย ฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านล่างเวทีก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เวลานี้พวกนางเกือบจะหลุดขำออกมาเสียด้วย จริงอยู่ว่าพวกเขาล้วนเข้าใจดีว่าสหายทั้งสองบนเวทีคงจะรู้สึกปวดร้าวเป็นอย่างมากที่ต้องห้ำหั่นกันเอง ทว่าในเหตุการณ์นี้มีภาพแห่งความน่ารักซ่อนอยู่ไม่น้อย
ในสายตาคนนอกแต่ใกล้ชิดหนุ่มสาวทั้งสองแล้ว สิ่งที่เด่นชัดกว่าความโศกเศร้าของทั้งคู่คือการทะนุถนอมความรู้สึกของกันและกัน รวมทั้งความเห็นอกเห็นใจกัน อาจจะบอกไม่ได้อย่างแน่ชัดว่าทั้งสองคิดต่อกันอย่างไรแต่สิ่งที่ชัดเจนมากที่สุดคือทั้งคู่ต่างไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด
คนทั้งคู่รู้ดีว่าคุณชายตระกูลโอวหยางแข็งแกร่งกว่า ฝ่ายโอวหยางชิงเฟิงจึงประกาศยอมแพ้เพื่อเปิดทางให้เยว่ชิงเฉิงผ่านเข้ารอบ ส่วนเยว่ชิงเฉิงที่ยอมแพ้ก็เพราะทราบดีว่าอีกฝ่ายไปได้ไกลกว่าตนเป็นแน่และคงจะได้เห็นชายหนุ่มประสบความสำเร็จถ้าเขาได้เข้ารอบไป การกระทำของทั้งสองนั้นแน่นอนว่าก็คงจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างแต่ในใจลึก ๆ เพื่อไม่ให้ต้องทนเห็นความทุกข์โศกของอีกคนแล้วก็รู้สึกยินดี
ด้านบนเวทีประลองทั้งเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงต่างก็ชะงักไป
“เจ้าบ้าชิงเฟิง ใครใช้ให้ยอมแพ้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าคิดว่าถ้าหากเจ้าไม่โชคร้ายเกินไปอย่างน้อย ๆ ก็ต้องไปถึงรอบแปดคนสุดท้ายได้ โอกาสเช่นนี้เหตุใดถึงยอมทิ้งไปง่ายเล่า ๆ !?”
เยว่ชิงเฉิงตวาดใส่โอวหยางชิงเฟิง ก่อนจะกระโดดลงไปจากเวทีอย่างไม่ลังเล
“ผู้ชนะคือโอวหยางชิงเฟิง !”
แม้ว่าจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการก็ยังต้องประกาศผลการแข่งออกมา ฝ่ายใดที่ถูกผลักหลุดออกจากลานประลองก่อนหรือไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกจะถูกปรับให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เป็นเพราะเยว่ชิงเฉิงลงไปจากเวทีก่อน นั่นก็เท่ากับว่าผู้ชนะคือโอวหยางชิงเฟิง อย่างไรก็ตามบนใบหน้าของคุณหนูตระกูลเยว่ก็ไม่ได้มีความผิดหวังอยู่เลย ตรงกันข้าม นางกลับรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่กระทำลงไปและผลที่เกิดขึ้น การได้เห็นโอวหยางชิงเฟิงชนะเป็นสิ่งที่ทำให้นางมีความสุข
เมื่อเห็นการกระทำอย่างปุบปับของเยว่ชิงเฉิงและเห็นสีหน้าที่มีร่องรอยแห่งความสุขของนาง สหายทั้งหลายก็เข้าใจดี นี่เป็นไปตามสิ่งที่คาดไว้ทุกประการ ทุกคนเริ่มมั่นใจในความรู้สึกที่เยว่ชิงเฉิงมีต่อโอวหยางชิงเฟิงมากขึ้นแล้ว ดังนั้นทั้งฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ ต่างก็แอบอมยิ้มกันอยู่เงียบ ๆ และไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
…ในที่สุดดอกไม้แห่งความรักของคู่นี้ก็เริ่มเบ่งบานแล้วจริง ๆ เรื่องนี้ทำให้หัวใจของพวกเขาทุกคนรู้สึกเป็นสุขไปด้วย…
“ชิงเฉิง เจ้าทำอะไรของเจ้า ! เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าผู้ชายต้องยอมเปิดทางให้ผู้หญิง ?”
โอวหยางชิงเฟิงรีบวิ่งออกจากลานประลองแล้วตรงเข้าไปหาเยว่ชิงเฉิง สีหน้าของเขาทั้งสับสนและหม่นหมองอย่างชัดเจน
“เจ้าคนซื่อบื้อ ! ข้าพูดแบบนั้นก็จริงแต่เจ้าก็ต้องดูสถานการณ์ด้วยสิ ผู้ชายต้องยอมเปิดทางให้ผู้หญิงน่ะไม่ผิด แต่บางครั้งก็ต้องเป็นฝ่ายที่ก้าวขึ้นด้านหน้าเพื่อปกป้องสตรีเพศที่อ่อนแอกว่าด้วย เข้าใจหรือไม่”
เยว่ชิงเฉิงหยุดพูด ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่างศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนครั้งนี้ เจ้าก็รู้ว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า แต่เจ้ากลับยอมแพ้แล้วให้ข้าไปต่อสู้แทน เช่นนี้แล้วต่อไปหากข้าต้องรับมือกับยอดฝีมือที่เก่งกาจกว่ามาก มันจะไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนใจร้าย ส่งข้าออกไปให้เขาทุบตีหรอกหรือ ?!”
เยว่ชิงเฉิงกลอกตาแต่ก็ยังอดทนอธิบายเรื่องนี้ให้โอวหยางชิงเฟิงฟัง อย่างไรก็ตามในใจจริงแท้แล้ว นางไม่ได้คิดเช่นนั้น คุณหนูช่างหลอมเพียงแต่อยากจะเห็นโอวหยางชิงเฟิงประสบความสำเร็จ ถ้าได้เห็น ‘บุคคลที่อยู่ในใจ’ เอาชนะในรอบต่อ ๆ ไปได้…นางเองก็จะมีความสุขไปด้วยไม่น้อยเลย
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะพยายามเอาชนะให้ได้”
เมื่อได้ฟังวาจาของเยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิงก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น เขารู้สึกว่าคำพูดของนางมีเหตุผล เขาที่เป็นบุรุษควรจะเป็นผู้ที่ต่อสู้แทนนางถึงจะถูกต้อง
“ก็แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าต้องเอาชนะแล้วเข้ารอบแปดคนสุดท้ายให้ได้เป็นอย่างน้อย ถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าแน่ !”
เยว่ชิงเฉิงปั้นหน้าเข้มพลางกล่าววาจาข่มขู่เสียงโหดเหี้ยม ทว่ามือบางกลับยื่นเข้ามาบีบมืออุ่นของโอวหยางชิงเฟิงเร็ว ๆ ครั้งหนึ่งเพื่อให้กำลังใจ หลังจากนั้นสองหนุ่มสาวก็เดินกลับไปหาฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ เยว่ชิงเฉิงไม่กล้าหันไปมองบุรุษข้างกายอีกเลย และทั้งคู่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อกันอีกแม้แต่ครึ่งคำ
“พวกเจ้าทั้งสองเข้าใจกันและกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฮึ ?”
เหย่าเซียนเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า นางคุ้นเคยกับภาพที่โอวหยางชิงเฟิงกับเยว่ชิงเฉิงมักจะจิกกัดขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสมอ เมื่อได้เห็นภาพที่ทั้งสองดูเข้าอกเข้าใจกันดีถึงเพียงนี้จึงรู้สึกแปลกตาเป็นเรื่องธรรมดา ทว่านี่กลับไม่ได้น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
“อะไรเล่าเซียนเอ๋อร์ พวกเราก็เป็นปกติดีนี่ ถึงจะยังไงข้าก็ลงมือกับสหายไม่ได้หรอก ถ้าจะให้ข้าสู้กับชิงเฟิง ข้าขอยอมแพ้ดีกว่า”
เยว่ชิงเฉิงตอบคำด้วยใบหน้าที่คิดว่าเรียบเฉยมากที่สุด ส่วนเหตุผลแท้จริงของเรื่องนี้ที่อยู่ในใจของนาง สตรีปากแข็งจะไม่ให้เปิดเผยใครรู้อย่างเด็ดขาด
โอวหยางชิงเฟิงกำหมัดแน่นอน เขาตั้งใจไว้แล้วว่าเขาจะต้องเข้าถึงรอบแปดคนสุดท้ายให้ได้ …และนั่นก็เพื่อสตรีเสียสละผู้ยืนอยู่ข้างกายในเวลานี้ด้วย
รอบถัดไปทั้งเหย่าเซียร์เอ๋อร์ หลิงซวง หลิงเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ขึ้นไปต่อกับคู่ต่อสู้ของตนเองและเอาชนะมาได้อย่างไม่ยากเย็น
โชคดีที่คู่ต่อสู้ในรอบแรกของพวกเขาไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก
เมื่อการแข่งในรอบนี้ดำเนินมาถึงครึ่งทาง ลำดับในการต่อสู้ของคนคู่หนึ่งที่หลายคนจับตามองและให้ความสนใจมากก็มาถึง นั่นก็คือคู่ของลั่วอวิ๋นกับจีชาง
ลั่วอวิ๋นเดินเข้าสู่เวทีประลองด้วยรอยยิ้ม ทั้งเขาและเหล่าสหายอยากจะหาโอกาสสั่งสอนจีชางผู้นี้มานานแล้ว ในเมื่อวันนี้ฟ้าเปิดโอกาส เขาก็จะไม่มีทางยั้งมือให้กับคนชั่วช้าผู้นี้อย่างแน่นอน
“เหอะ ไม่คิดเลยว่าจะโชคดีได้เจอกับคนคุ้นหน้าตั้งแต่รอบแรก”
จีชางก้าวขึ้นมาบนเวทีประลอง สองตาจ้องมองลั่วอวิ๋นอย่างเหยียดหยาม ขณะที่ปากก็กล่าววาจาน้ำเสียงยียวน
เขาไม่เคยเห็นบุรุษตรงหน้าอยู่ในสายตา ในความคิดของเขาลั่วอวิ๋นผู้นี้คือคนที่อ่อนที่สุดในกลุ่มสหายของฉินอวี้โม่แล้ว ในตอนนี้อันดับในทำเนียบดาวรุ่งของลั่วอวิ๋นก็เพิ่งจะอยู่เพียงอันดับยี่สิบเท่านั้น หากเทียบกับตัวเขาแล้วนั่นนับว่าอ่อนหัดอย่างน่าหัวเราะทีเดียว
“หึ ๆ ข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้โอกาสสั่งสอนเจ้าเร็วขนาดนี้”
ลั่วอวิ๋นหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะตอบโต้ จีชางผู้นี้ยังคงคิดว่าเขาคือลั่วอวิ๋นคนเดิม คนเดียวกับในช่วงก่อนที่จะเข้าไปแข่งขันภายในป่าเหมันต์ หารู้ไม่ว่าด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเขานั้นต่อให้เป็นจีหย่งพี่ชายของคนผู้นี้มาสู้เอง ลั่วอวิ๋นก็ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย กับบุรุษคนพาลนามว่าจีชางตรงหน้า เขาแค่ใช้พลังครึ่งเดียวก็เพียงพอจะรับมือได้ไม่ยากเย็นแล้ว
“ช่างพูดได้ไม่อายปาก จริงอยู่ว่าข้าสู้ฉินอวี้โม่ไม่ได้ก็จริง แต่สำหรับเจ้าที่ไม่ติดแม้แต่หนึ่งในสิบอันดับแรกของทำเนียบดาวรุ่งน่ะ ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก ต่อให้เป็นแค่จอมยุทธ์นภมายาก็เอาชนะคนอย่างเจ้าได้แล้ว”
จีชางกล่าวเย้ยหยันลั่วอวิ๋นโดยไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอีกฝ่าย
แท้จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ลั่วอวิ๋นก็เคยแสดงความสามารถของเขาต่อหน้าจีชางในปราสาทเหมันต์มาครั้งหนึ่ง ในตอนที่เข้าไปปัดป้องนภายุทธ์ของยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนเพื่อช่วยฉีอวี้ แต่ในตอนนั้นเป็นเพราะจีชางมัวแต่จับจ้องอยู่กับฉินอวี้โม่ที่กำลังถูกนภายุทธ์ของจีหย่งจู่โจมทำให้ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ถ้าบุรุษแซ่จีผู้น้องสังเกตเห็น เขาคงไม่กล้าดูถูกลั่วอวิ๋นอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้เป็นแน่
“ฮ่า ๆ ๆ จอมยุทธ์นภมายาก็พออย่างนั้นรึ ? รอให้การต่อสู้ครั้งนี้จบลงเสียก่อน ข้าจะดูว่าเจ้ายังจะพูดอย่างตอนนี้ได้อีกหรือไม่ !”
ลั่วอวิ๋นยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวต่อ “จีชาง เจ้าย้ายขึ้นไปสู้ในทำเนียบพสุธาแต่ก็ยังไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในห้าสิบอันดับแรกได้เลยด้วยซ้ำ พอลองมานึกเปรียบเทียบกับเรื่องที่เจ้าเคยเป็นถึงผู้ครองอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งแล้ว ข้าว่าเจ้ามันน่าสมเพชมาก !”
แท้จริงแล้ว พรสวรรค์ของจีชางนับว่าธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง การที่เขาสามารถอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งได้ก่อนหน้านี้อย่างยาวนานก็เป็นเพราะพึ่งพาบารมีของพี่ชาย หลังจากเสียตำแหน่งให้ฉินอวี้โม่ไป จีชางก็ไปชิงอันดับในทำเนียบพสุธาแทน ทว่ากลับไม่สามารถคว้าแม้แต่อันดับใดอันดับหนึ่งในห้าสิบลำดับแรกได้เลย นี่ทำให้คุณชายไร้เหตุผลรู้สึกไม่สบอารมณ์และพาลทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นฉินอวี้โม่มากขึ้นอีก
เมื่อลั่วอวิ๋นยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ไฟแห่งความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจจีชางก็ลุกโชนขึ้นในฉับพลัน
“บัดซบ เจ้าหาที่ตายแล้ว !”
เป็นอย่างที่ลั่วอวิ๋นคาด จีชางโกรธแค้นจนใบหน้าบิดเบี้ยว พลันอดีตผู้ครองอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมลั่วอวิ๋นในทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อพุ่งตรงเข้าใส่คู่ต่อสู้ได้เพียงครึ่งทาง จีชางก็พบว่าร่างกายทุกส่วนชะงักค้าง เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
“ข้าขอบอกไว้เลยว่า กับคนอย่างเจ้า ข้าไม่ต้องเสียแรงทุ่มพลังทั้งหมดก็เอาชนะได้แล้ว”
— ผลั๊วะ ! —
ลั่วอวิ๋นฉีกยิ้มชั่วร้าย ในฉับพลันนั้นเอง ฝ่ามือแข็งแรงก็ฟาดเข้าใส่หลังศีรษะของจีชาง บุรุษจากเมืองเยว่กวางไม่ได้ใช้พลังมายาใด ๆ นี่เป็นเพียงพลังทางกายภาพล้วน ๆ
แต่กระนั้นฝ่ามืออันกะทันหันนี้ก็มิใช่เบา ๆ หลังจากกระแทกเข้าเป้าหมายที่เล็งไว้อย่างจังแล้ว ใบหน้าของจีชางก็แทบจะมืดไป เขามองรู้สึกว่ากำลังมองเห็นดวงดาวระยิบระยับในตอนกลางวัน บริเวณหลังศีรษะปรากฏรอยปูดนูนเขียวเท่าผลผิงกั่ว
— ตุบ ! —
— ตุบ ๆ ๆ ! —
กำปั้นมากมายตามมาอัดกระแทกใบหน้าของจีชาง
คุณชายไร้เหตุผลอยากจะตะโกนออกมาและอยากจะสวนกลับไปบ้าง แต่ร่างกายกลับแข็งค้างราวกับถูกพันธนาการเอาไว้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องตอบโต้ แค่เอาตัวรอดจากหมัดต่อ ๆ ไปของลั่วอวิ๋นให้ได้ก็นับว่าประเสริฐแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถควบคุมปากของตนเองได้เลย จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดก็ทำไม่ได้ หรือแม้แต่จะร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวดก็ไม่สามารถหากคนที่กำลังทุบตีเข้าอยู่ไม่อนุญาต
— ตั๊บ ! —
— ตุบ ๆ ตับ ! —
ในขณะที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ถ้าหากสามารถใช้ปากเพื่อพูดหรือสามารถขยับร่างกายได้สักเล็กน้อย บัดนี้จีชางก็คงจะคุกเข่าลงไปต่อหน้าลั่วอวิ๋นแล้วกล่าวว่า: ‘น้องชาย ขอยอมแพ้แล้ว อย่าลงมืออีกเลย’
แต่เสียดายที่เขาทำไม่ได้
ผ่านไปหลายต่อหลายกระบวนท่า ลั่วอวิ๋นก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจจะกำลังเสียมารยาท สุภาพบุรุษผู้มีอัธยาศัยเป็นเลิศจึงเปิดปาก
“รุ่นพี่จีชาง ข้าขอล่วงเกินแล้วนะ”
สิ้นวาจานอบน้อมที่น้ำเสียงไม่นอบน้อมเลย ลั่วอวิ๋นก็มอบกระบวนท่าที่เขาคิดค้นได้ไม่นานให้คนตรงหน้า คงต้องนับว่าคนผู้นี้มีอภิสิทธิ์พิเศษมากทีเดียวที่ได้รับเกียรติทดลองกระบวนท่าไร้พลังมายานี้
— ตุบ ! ตั๊บ ! ตุบ ๆ ๆ ! —
ลั่วอวิ๋นเอาแต่ยิ้มไม่หุบ ขณะเดียวกันหมัดของเขาก็พุ่งเข้าใส่ปะทะใบหน้าของจีชางอย่างหยุดไม่ได้เช่นกัน
— ผลั๊วะ ! —
ในที่สุดจีชางก็ทรุดลงไปบนพื้น ใบหน้าของเขายับเยินจนดูไม่ได้ และเนื้อตัวหลายส่วนก็เขียวช้ำ แม้ว่าจะมีคำด่าและสาปแช่งอีกฝ่ายอยู่เต็มหัวไปหมด แต่ด้วยสภาพในตอนนี้แม้แต่จะส่งเสียงพูดก็ยังทำไม่ได้
“ผู้ชนะคือลั่วอวิ๋น !”
สิ้นคำประกาศผล จีชางก็ทำได้เพียงจ้องมองลั่วอวิ๋นด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขาหมดสภาพจนไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ กรรมการบนเวทีจึงต้องให้คนมาหามร่างบุรุษสกุลจีผู้น้องออกไปปฐมพยาบาล
เมื่อเห็นสภาพอันน่าอนาถของจีชาง ฉินอวี้โม่และสหายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
อีกทางด้านหนึ่ง ใบหน้าของจีหย่งบิดเบี้ยวด้วยแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ยิ่งได้ดูเขาก็ยิ่งโกรธจนแทบจะควบคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่ ทว่าเนื่องจากในงานวันนี้มีอาจารย์และผู้อาวุโสอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจะเคลื่อนไหวหรือลงมือทำสิ่งใดอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้
ถึงอย่างไรก็เห็นชัดว่าลั่วอวิ๋นไม่ได้ทำร้ายจีชางจนสาหัส แม้ว่าอาจจะดูลงมือหนักแต่นั่นก็เป็นเพียงบาดแผลภายนอก บาดแผลเพียงเท่านั้นสำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้วขอเพียงได้โอสถเหมาะสมและพักฟื้นอีกชั่วครู่ก็หายเป็นปกติ
ในขณะที่จีหย่งทำสีหน้าปั้นยากอยู่นั้น นักเรียนคนอื่น ๆ ทั่วทั้งลานประลองก็หัวเราะลั่นกันอย่างสนุกสนาน ต้องบอกเลยว่าจีชางคือบุคคลที่คนเกือบทั้งโรงเรียนเกลียดชังโดยแท้ การได้เห็นเขาถูกสั่งสอนเช่นนั้น จึงทำให้ทุกคนรู้สึกสะใจเหลือล้น
ก่อนจะเริ่มการแข่ง จีชางยังกล่าววาจาดูแคลน และกดข่มอีกฝ่ายไว้อย่างโอหัง ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เฟินกลับถูกทุบตีไม่ต่างจากหมูรอเชือด เช่นนี้แล้วจะไม่ให้นักเรียนคนอื่น ๆ หัวเราะเยาะเขาได้อย่างไร
“สุดยอดไปเลย ลั่วอวิ๋น !”
ทันทีที่กลับมายังที่นั่ง ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายก็ส่งเสียงชื่นชมสหายจากเมืองเยว่กวางในทันที
เมื่อครู่ลั่วอวิ๋นเพิ่งจะทุบตีจีชางจนลุกไม่ขึ้น วันนี้คงเป็นวันที่บุรุษอันธพาลผู้นั้นอับอายขายหน้าที่สุดในชีวิต ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ทางฝั่งสหายอวี้โม่รื่นเริง พวกเขามีความสุขจนอยากจะเฉลิมฉลองเลยทีเดียว
ลั่วอวิ๋นยิ้มออกมา เขาเองก็รู้สึกสะใจมากเช่นกัน
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นักก็ถึงรอบการต่อสู้ของฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ก้าวขึ้นเข้าสู่สังเวียนพร้อมกับเสียงให้กำลังใจที่ดังสนั่นสถานที่จัดการแข่งขัน
คู่ต่อสู้ของนางคือจางตง ฉินอวี้โม่ทราบก่อนหน้านี้เพียงไม่นานว่าเขาเป็นนักเรียนปีสองและเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของฉินอี้เพ่ย คนผู้นี้คือจอมยุทธ์มายาบรรพชนสองดารา และตามคำบอกเล่าของคุณหนูสามตระกูลฉิน จางตงมีความแข็งแกร่งในระดับที่ธรรมดามาก
เมื่อทราบว่าได้ฉินอวี้โม่เป็นคู่ต่อสู้ จางตงก็ทำใจไว้แล้วว่าตัวเขาน่าจะเข้ามาได้แค่รอบนี้
“รุ่นน้องอวี้โม่ ยินดีที่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า”
จางตงเดินเข้ามาก่อนจะยื่นมือออกมาเพื่อขอจับมือกับรุ่นน้องผู้โด่งดัง
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบแล้วจับมือทักทายอีกฝ่าย ในตอนนั้นเองที่คุณหนูสี่ตระกูลฉินพบว่ามือของบุรุษผู้นี้สั่นอย่างน่าประหลาด
“รุ่นน้องอวี้โม่ รอบต่อไปก็พยายามเข้าล่ะ ข้าขอตัวไปก่อนล่ะนะ”
หลังจากเอ่ยวาจาที่ประหลาดกว่าท่าทีนั้นแล้ว ร่างของบุรุษนามจางตงก็หายวับอย่างรวดเร็ว เสี้ยวลมหายใจต่อมา ทุกคนก็เห็นเขาปรากฏตัวอยู่ด้านล่างของเวทีประลอง ใบหน้าของเขาซีดขาว เหงื่อไหลชุ่มโชกไปทั่วทั้งร่าง ดูเหมือนว่าจางตงคงจะกลัวมาก
เมื่อได้เห็นสภาพของจีชางก่อนหน้านี้ จอมยุทธ์มายาบรรพชนปีสองก็เกรงกลัวจนจิตใจหวั่นไหวและไม่สามารถต่อสู้ได้ หลังจากรวบรวมความกล้าบอกลาฉินอวี้โม่เขาก็ชิงยอมแพ้ก่อนทันที
ฉินอวี้โม่ได้แต่ยื่นอึ้งงันอยู่บนเวที ทว่าในพริบตานางก็ยิ้มออกมาแล้วเดินลงไปจากเวทีไป
“ผู้ชนะคือฉินอวี้โม่ !”
.