คุณสามีพันล้าน - บทที่ 140 กินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
“ตาเบศวร์ ลูกกำลังทำอะไรอยู่ แล้วอยู่ที่ไหน”
หลังจากที่บัณฑิตาบ่นเรื่องพ่อสามีกับลูกชายจบ เธอก็อารมณ์ดีขึ้น จึงเอ่ยถามลูกชายของเธอว่าอยู่ที่ไหน
“ลูกบอกว่าคุณปู่ของลูกโกรธมาจากข้างนอก โกรธเรื่องอะไร ใครกล้าทำให้เขาโกรธ คงไม่ใช่ตาแก่จากตระกูลอริยชัยกุลหรอกนะ?”
บัณฑิตารู้ว่าพ่อสามีของเธอไม่ถูกกับตาแก่ของตระกูลอริยชัยกุล พอเจอกันต้องมีการต่อปากต่อคำถึงจะพอใจ
“เปล่าครับ คุณปู่แอบปกปิดฐานะไปคบเพื่อนคนหนึ่ง แล้วอีกฝ่ายมารู้ทีหลัง แล้วคิดว่าคุณปู่ไม่จริงใจ ก็เลยไล่คุณปู่ออกจากบ้านและเลิกคบเพื่อนกับคุณปู่ คุณปู่เคยโดนไล่แบบนี้ที่ไหนกัน ส่วนคุณแม่ก็บังเอิญอยู่ที่บ้านพอดี”
นฤเบศวร์พูดอธิบาย
บัณฑิตา “…ยังมีคนที่ไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณปู่ของลูกด้วยเหรอ?”
พอคิดถึงตาแก่ของตระกูลอริยชัยกุลที่ไม่มีทางเป็นเพื่อนกับพ่อสามีของเธอได้ บัณฑิตาก็บ่นพึมพำออกมาว่า “ตาเบศวร์ ลูกทำงานต่อเถอะ แม่ไม่เป็นไรแล้ว แม่จะไปบ้านตระกูลไชยรัตน์สักหน่อย นัดน้าณัฏฐาของลูกออกไปเดินซื้อของ”
เธอรู้สึกว่าเธอขายหน้าต่อหน้าณัฏฐา และทำให้ณัฏฐาต้องถูกต่อว่าไปด้วย ดังนั้นเธอจึงต้องไปง้อเพื่อนสนิทที่บ้านสักหน่อย
เธอเป็นคนเชิญณัฏฐามาพักอยู่ที่ตระกูลเดชอุป แต่จู่ๆ พ่อสามีกลับมาก่อนกำหนดสองวัน พอเขาเห็นณัฏฐา และรู้เรื่องทั้งหมด จากนั้นก็ระเบิดอารมณ์ออกมา ณัฏฐาจึงต้องย้ายออกไปอย่างรู้ความ
“คุณแม่ ซื้อของให้สนุกนะครับ”
นฤเบศวร์พูดจบ แม่ของเขาก็วางสายไปเลย
หลังจากนั้นสักพัก กนกอรก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหารขนาดใหญ่สองถุง เธอวางมั้งสองกล่องไว้ตรงหน้านฤเบศวร์ แล้วยกยิ้มพูด “คุณนฤเบศวร์เชิญกินก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันเอาอาหารไปให้พวกบอดี้การ์ดของคุณ”
“ของผมทั้งสองกล่อง แล้วของคุณล่ะ?”
กนกอรหยิบกล่องอีกกล่องมาวางไว้ตรงข้ามเขา แล้วพูดว่า “กล่องนี้ของฉัน”
“คุณคิดว่าผมเป็นหมูหรือไง ถึงซื้อให้ผมสองกล่อง?”
นฤเบศวร์เลิกคิ้วแล้วบ่นว่ากนกอรที่ให้กล่องอาหารเขาสองกล่อง
กนกอรเอ่ยพูด “ไม่ใช่นะคะ ของคุณกล่องหนึ่งเป็นข้าว อีกกล่องเป็นอาหาร ส่วนของพวกฉันเป็นอาหารราดข้าวทั้งหมด”
อาหารที่เธอสั่งให้เขานั้นแพงที่สุด และยังสั่งอาหารเพิ่มอีกสองจาน ถ้าแบบนี้ต้องใช้กล่องใหญ่อีกใบเพื่อใส่อาหาร
เขาเป็นถึงประธานRA กรุ๊ปผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นคุณชายคนโตของตระกูลเดชอุป ยอมกินอาหารจานด่วนที่เธอซื้อมา ก็ถือว่าไว้หน้าให้เธอมากแล้ว เธอต้องรู้ไว้ และจะให้เขากินอาหารจานละไม่กี่สิบได้ยังไง
นฤเบศวร์นิ่งเงียบ
กนกอรเดินออกไปพร้อมกับถุงอาหาร แล้วทำการแจกจ่ายกล่องอาหารที่เหลือให้กับพวกบอดี้การ์ดของตระกูลเดชอุปเพราะพวกเขาเป็นผู้ชายร่างใหญ่ กนกอรจึงขอให้เจ้าของร้านอาหารเพิ่มข้าวให้เป็นพิเศษ
“ถ้ากินไม่พอเดี๋ยวฉันซื้อมาให้อีก”
“พอแล้วครับ ขอบคุณครับคุณกนกอร”
บรรดาบอดี้การ์ดของตระกูลเดชอุปสุภาพกับกนกอรมาก
พวกเขาอยู่กับคุณชายมาหลายปีแล้ว และรู้ดีว่าผู้หญิงคนเดียวที่สามารถขอความช่วยเหลือจากคุณชายของพวกเขาได้มีแต่คุณเปรมาคนเดียว
แต่ตอนนี้คุณกนกอรกลับสามารถขอให้คุณชาช่วยเหลือได้ เห็นได้ว่าชัดสำหรับคุณชายแล้วคุณกนกอรเป็นคนพิเศษ พวกเขาจึงต้องสุภาพกับกนกอรเป็นธรรมดา
กนกอรกลับเข้าไปในร้าน และหยิบน้ำหลายขวดออกมาให้พวกบอดี้การ์ด ก่อนที่เธอจะกลับไปที่ร้านเพื่อกินข้าวของเธอ
นฤเบศวร์กินข้าวอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
กนกอรรู้ว่าเขาไม่คุ้นเคยกับการกินอาหารประเภทนี้
“ไม่อร่อยใช่ไหมคะ?”
กนกอรซีเปิดกล่องอาหารกลางวันไปด้วย ถามไปด้วย “อาหารของร้านนี้อร่อยที่สุดในย่านนี้แล้ว อาหารร้านอาหารอื่นไม่ได้เรื่องกว่านี้อีก ทำมายังไม่อร่อยเท่าฝีมือของฉันกับเทวิกาเลย”
“ผมกินข้าวคนเดียวมันน่าเบื่อ”
นฤเบศวร์พูดเบา ๆ
กนกอรตอบกลับเพียงอ๋อ แล้วถามเขา “คุณอยากชวนพวกบอดี้การ์ดของคุณมากินข้าวเป็นเพื่อนคุณเหรอคะ”
นฤเบศวร์ถลึงตาใส่เธอ
กนกอร “…”
เรียกพวกบอดี้การ์ดเข้ามา ก็จะมีคนเยอะขึ้น เขาจะได้ไม่ต้องกินข้าวคนเดียวแล้วไม่ใช่เหรอ?
หรือว่า เธอจะพูดผิดไป?
งั้น เธอกินข้าวของตัวเองดีกว่า
ยิ่งพูดยิ่งผิด เธอกินข้าวดีกว่า
ตอนที่เธอเป็นห่วงเทวิกา กนกอรจึงไม่รู้สึกหิว แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าเทวิกาปลอดภัยแล้ว พอหายเครียดเธอก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
กนกอรกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
นฤเบศวร์เห็นว่าเธอกำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เขาที่เดิมทีก็หิวมากแล้ว จึงเริ่มกินข้าวช้าๆ หลังจากกินไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกว่ารสชาติอาหารก็ไม่เลวเลยทีเดียว
พอเห็นว่าในกล่องอาหารของตนเองมีเนื้อเยอะเกินไป เขาจึงผลักกล่องอาหารไปตรงหน้ากนกอร และพูดเบา ๆ ว่า“ผมกินไม่ได้เยอะขนาดนั้น คุณช่วยผมกินหน่อยเถอะ”
กนกอรรีบพูดว่า “ไม่ต้องค่ะ คุณกินเถอะ”
“ผมบอกแล้วว่ากินได้ไม่เยอะขนาดนั้น ช่วยกินหน่อยเถอะ ถ้าคุณไม่กิน เดี๋ยวคงต้องทิ้งลงถังขยะเท่านั้น”
กนกอรเหลือบมองอาหารพวกนั้น แล้วรู้สึกเสียดายถ้าต้องเททิ้ง ดังนั้นเธอจึงพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นฉันจะช่วยคุณกินก็ได้”
พูดจบ เธอก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องขนมหวาน แล้วหยิบตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งออกมา ถือเป็นส่วนกลาง
พอเห็นว่าเธอยอมกินอาหารของเขา นฤเบศวร์ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก ทำให้อาหารยิ่งอร่อยมากขึ้น
ทั้งสองกินอย่างเอร็ดอร่อย เหมือนกับว่าพวกเขากำลังกินอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก
หลังจากกินจนอิ่ม กนกอรก็เก็บกล่องอาหาร และโยนมันลงในถังขยะข้างนอก
พอหันหลังกลับเข้ามาในร้าน ก็เห็นนฤเบศวร์เอนหลังพิงเก้าอี้ สีหน้าพึงพอใจ
เธอยกยิ้ม “คุณนฤเบศวร์ คิดว่าอาหารที่ร้านอาหารนั้นรสชาติเป็นยังไงบ้างคะ ถ้าเทียบกับอาหารในโรงแรมใหญ่ของคุณ มันก็ไม่ได้แย่เกินไปใช่ไหม?”
“ตอนที่คุณหิวมาก กินอะไรก็อร่อย โรงแรมใหญ่ของผมเป็นโรงแรมระดับห้าดาว ถ้าคุณเปรียบเทียบร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้กับโรงแรมระดับห้าดาว คุณจะให้เชฟของโรงแรมเช็ดคอรอกันหรือไง? “
กนกอรแลบลิ้นออกมาด้วยความกระดากอาย
“ฉันไม่เคยไปโรงแรมหรูในเมืองแอคเซสซ์ ไม่รู้ว่ารสชาติอาหารในโรงแรมของคุณเป็นยังไง แต่อาหารที่เชฟบ้านคุณทำอร่อยมาก รสชาติยังค้างอยู่ในคอลืมไม่ลง”
“วันหลังจะพาคุณไป—”
นฤเบศวร์พูดยังไม่จบ ก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะกัดลิ้นของเขาทิ้ง
ทำไมเขาถึงชวนเธอไปกินข้าว แล้วยังไปกินข้าวที่บ้านของเขาอีก
“ช่างเถอะ ถ้าฉันไปกินข้าวที่บ้านคุณ คงโดนตบเอา”
“ตบหนึ่งครั้งแลกเงินเป็นล้านไม่คุ้มค่าเหรอ?”
กนกอร “…พูดเหมือนฉันเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงิน”
นฤเบศวร์หัวเราะออกมา “ในตอนนั้น ใครเป็นคนบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเงิน?”
สุดท้ายพอเขาเพิ่มราคาถึงหนึ่งล้าน หญิงสาวคนนี้ก็ยอมรับ แล้วยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับเงิน ทั้งที่มันเป็นเรื่องของเงินชัดๆ
แต่ว่า เขาคิดไม่ถึงว่าเปรมาจะตบหน้าเธอจริงๆ
ในตอนนั้น พอเขาเห็นว่าเธอถูกเปรมาตบ เขากลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา คืออยากจะผลักเปรมาออกไป อืม ต่อมา เขาผลักเปรมาออกไปจริงๆ และดึงเธอไปข้างหลังเพื่อปกป้องเธอไว้
เพราะพวกเขาแค่แสร้งทำเป็นคู่รักกัน
“กนกอร”
“อืม”
“คือว่า หลังจากที่เรานัดดูตัวกัน ทางครอบครัวคุณคิดยังไง”
นฤเบศวร์ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามคำถามนี้ออกมา บางที เขาคงหาหัวข้อสนทนาไม่ได้แล้ว
“คิดยังไง ปู่ของคุณกลับบ้านแล้วไม่ใช่เหรอคะ คุณสังเกตสีหน้าของท่านก็รู้แล้วว่าครอบครัวของเราคิดยังไง”
นฤเบศวร์ “…ผมโดดเด่นขนาดนี้”
นฤเบศวร์ ไม่สามารถข่มอารมณ์ของเขาไว้ได้
มีคนแอบชอบเขาจำนวนมาก เขานัดดูตัวเป็นครั้งแรกในชีวิต และคู่ดูตัวกับครอบครัวของเธอกลับไม่ชอบเขา แบบนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไปแล้ว
“คุณรักเปรมาไม่ใช่เหรอคะ”
นฤเบศวร์นิ่งเงียบ