คุณซาโกะผู้เพียบพร้อมอยากจะเป็นเหมือนอย่างผม - ตอนที่ 9
เมื่ออาจารย์ให้สัญญาณ ฉันก็เริ่มพลิกกระดาษ
นี่เป็นวิชาสุดท้ายที่ต้องผ่านไปให้ได้ในการสอบปลายภาค 3 วันซ้อน ทุกคนเริ่มจะมีอาการเหนื่อยล้ากันแล้ว และบรรยากาศในห้องมันก็หนักอึ้งสุดๆ
แม้แต่ตัวฉันเองก็อาการไม่ค่อยดีนัก การเคลื่อนไหวก็ค่อยๆช้าลง ช้าลง ไม่ใช่เพราะหักโหมจนเกินไป แต่เป็นเพราะไข้ที่เป็นตั้งแต่วันก่อน
มันเริ่มเป็นหลังจากที่ไปติวกับสึโยชิคุง ไม่ควรจะประมาทโดยที่ตัวเปียกขนาดนั้นจริงๆนั้นแหละ
และด้วยความที่ฉันมาโรงเรียนทั้งๆที่ไม่ค่อยสบาย อาการของฉันก็มีแต่แย่ลงและแย่ลง แต่ถึงจะทำแบบสุดตัวไม่ได้ ฉันก็ยังต้องทำข้อสอบอยู่ดี
ตอนนี้เป็นวิชาภูมิศาสตร์ แล้วเป็น 1 ในวิชาที่ฉันถนัดด้วย ตราบใดที่ความจำฉันไม่หายไปดื้อๆ
ฉันว่าผ่านฉลุย
ฉันทำข้อสอบไปเรื่อยๆหน้าแล้วหน้าเล่าจนทำโจทย์ข้อสุดท้ายเสร็จ เนื่องจากข้อสอบใช้เนื้อหาแบบที่เรียนมา การจะแก้โจทย์แต่ละข้อเลยกินเวลาไม่มาก
ถึงยังงั้นก็เถอะนะ แต่เวลามันพึ่งผ่านมา 20 นาทีเอง
“…!”
ขณะที่กำลังนั่งตรวจคำตอบ จู่ๆฉันก็หน้ามืด การนึกคิดเกิดทื่อขึ้นมาเฉยๆ แล้วความง่วงก็จู่โจมเข้ามาอีก คงเป็นเพราะวินาทีที่ความตึงเครียดหายไปแล้วถูกความผ่อนคลายเข้ามาแทนที่ ร่างกายฉันคงมาถึงขีดจำกัดพอดี
ร่างกายของฉันโหยหาการพักผ่อนแม้ใจฉันจะไม่อยาก เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง ฉันพยายามจะอ่านโจทย์ข้อแรกใหม่ แต่เนื้อหากลับไม่เข้าหัวเลยสักนิดเดียว
ร่างกายมันอุ่นขึ้น หัวก็ปวดแบบสุดๆ อยากจะกลับบ้านแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียงให้มันรู้แล้วรู้รอด สภาพนี้ตรวจทานคำตอบไม่ได้แน่ๆ และเพราะฉันทำโจทย์หมดทุกข้อแล้ว จะปล่อยไว้ก็คงไม่เป็นไร ปกติฉันจะใช้เวลาเช็คหน่อย แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะต้านอาการปวดหัวนี่ถึง 30 นาทีรึเปล่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คราวนี้ฉันไม่ต้องทำคะแนนให้สมบูรณ์แบบด้วย
ถ้าเรื่องที่สึโยชิคุงพูดระหว่างติวเป็นเรื่องจริงล่ะก็ เขาก็จะสารภาพกับฉันถ้าสึโยชิได้คะแนนมากกว่าฉัน
ฉันตัดสินใจจะไม่ออมมือเพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นอนาคตที่ถมึงทึงยิ่งกว่าคงจะรอฉันอยูเป็นแน่
ด้วยความคิดแบบนั้น ฉันจึงเลือกจะปล่อยๆไป ถึงแม้จะไม่สมเป็นตัวฉันก็ตามที แต่ฉันก็ไม่ตรวจคำตอบ
ปล่อยให้สึโยชิคุงชนะ ทำให้เขาสารภาพกับฉัน แล้วก็แฮปปี้เอนด์
ฉันปล่อยมือจากปากกา ถึงจะเร็วไปหน่อย แต่หยุดตรงนี้ก็คงได้ ตัวฉันตอนนี้หนักอย่างกับเหล็ก แล้วก็ต่อต้านอะไรไม่ได้ด้วย ขณะที่คิดว่า ‘ครั้งแรกเลยสินะ ที่เราหลับในการสอบแบบนี้’
และฉันก็ผล็อยหลับไป
มืออันอบอุ่นเขย่าตัวฉัน มือของผู้ชายที่ดูเข้มแข็งแต่ก็อ่อนโยน
มีคนพยายามปลุกฉันสินะ…? ฉันหันหน้าไปแล้วก็ได้พบกับสึโยชิคุงกำลังเขย่าตัวฉันอย่างเบามือพร้อมกับทำข้อสอบของตัวเองไปด้วย เพราะในช่วงสอบ พวกเราจะนั่งกันตามลำดับตัวอักษร สึโยชิคุงกับฉันเลยนั่งข้างๆกัน
มันทำให้ฉันนึกขึ้นได้ ถึงตอนที่เราคุยกันนิดหน่อยก่อนสอบวิชาภูมิศาสตร์จะเริ่ม
‘ฉันเก่งภูมิศาสตร์เอาเรื่องเลยนาจะบอกให้ ไม่แพ้ให้หรอก’
‘จริงเหรอ? งั้นคงเป็นการแข่งที่ดีแน่ ผมก็จำมาพอตัวเลยล่ะ’
สึโยชิคุงตั้งใจทำข้อสอบด้วยดวงตาแดงก่ำ ประกายแววตาอันอ่อนโยนถูกแปรเปลี่ยนเป็นความกระตือรือร้น สีหน้านั่นคงจะจริงจังกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว
เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะฉัน
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มด้วยความมุ่งมั่นนั้น สึโยชิคุงดึงมือกลับไป คงจะเพราะเห็นแล้วว่าฉันตื่นแล้ว เขาไม่ได้หันมามองฉัน และขยับปากพูดโดยไม่มีเสียงเป็นคำว่า ‘เธอทำได้อยู่แล้ว’
รู้ตัวทันทีเลยว่าตัวฉันมันขึ้ขลาดขนาดไหน สึโยชิคุงพยายามตั้งขนาดนี้ แล้วฉันที่มาหลับข้างเขาแบบนี้มันจะเป็นการเหยียดหยามเขาขนาดไหนกัน สึโยชิคุงอยากจะชนะฉันเพื่อให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น ถึงเขาจะเอาชนะฉันที่ตั้งใจครึ่งๆกลางๆได้ เขาก็คงไม่พอใจแน่ แบบนั้นมันจะไปมีความหมายอะไร
ดูจากเวลาแล้ว ยังเหลืออีกประมาณ 10 นาที ฉันทบทวนคำตอบอีกครั้ง
ร่างกายยังคงหนักอึ้ง แต่การงีบสั้นๆเมื่อกี้ก็พอช่วยให้หัวกลับมาปกติขึ้นหน่อย
ฉันสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองหาทุกข้อผิดพลาดในคำตอบของตัวเอง ว่าเขียนอะไรผิดไปรึเปล่า นี่เป็นทุกสิ่งที่ฉันทำได้แล้ว นี่คือฉันที่พยายามสุดกำลัง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เชื่อว่าสึโยชิคุงจะเอาชนะฉันได้
แม้จะคิดแบบนั้น ขณะที่ฉันเช็คคำตอบอยู่ ฉันก็เจอจุดที่พลาด เป็นข้อง่ายๆแต่ก็ยังมีถึง 2 คะแนน และทันทีที่ฉันแก้จุดผิดพลาดนั้นเสร็จ
ออดก็ส่งสัญญาณจบการสอบ
หลังจากที่การสอบจบลง คนส่วนใหญ่ก็ออกไปจากห้อง เหลือแค่ฉันกับมายุโกะแล้วก็คนอื่นๆอีกนิดหน่อย สมาชิกแต่ละชมรมเริ่มออกมาที่สนามกีฬาไม่ก็โรงยิม ส่วนคนที่ไม่ได้สังกัดชมรมอะไรก็ไปคาราโอเกะกัน
แน่นอนว่าสึโยชิคุงตรงดิ่งกลับบ้านทันที
“นี่มาจิกะ กลับบ้านเลยดีกว่ามั้ง สภาพเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
มายุโกะนั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามฉัน แล้วเปิดกล่องข้าวพร้อมกับพูดออกมา
“อืม…เอาไงดี…”
เนื่องจากการสอบจบไปแล้วในช่วงเช้า พวกเราก็เลยกะจะรีบกินข้าวแล้วไปซ้อมวงดุริยางค์กัน
หัวยังปวดอยู่ แต่ฉันก็อยากเล่นดนตรีสักหน่อยจริงๆ เพราะไม่ได้เล่นมานานด้วยล่ะนะ
“คงต้องลอง…”
“ทำไมไม่ไปพักให้มันดีๆก่อนล่ะ?”
“แต่ฉันไปชมรมได้อีกแค่ไม่กี่วันเองนะ ฉันไม่อยากจะพลาดอะ…”
“ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ว่า…”
ฉันรู้ว่าฉันต้องการพลังงานสักหน่อย ก็เลยเปิดข้าวกล่องเหมือนกัน
“นี่แม่เธอลืมใส่เครื่องเคียงเหรอเนี่ย?”
มายุโกะมองอาหารฉันแล้วออกความเห็นอย่างนั้น
แทนที่จะมีอะไรพิเศษๆ มันกลับมีแค่ข้าวสีขาวจั๊วะธรรมาดาอย่างเดียว
“ไม่ใช่หรอก ฉันบอกคุณแม่ว่าไม่ต้องใส่อะไรมาต่างหาก”
ฉันเอาขวดเล็กๆออกมาจากกระเป๋า เจ้านี่แหละเครื่องเคียงสำหรับวันนี้
“…ทำไมเป็นมิโซะปูล่ะ?”
“พอดีได้มาเป็นของขวัญน่ะนะ”
ฉันตักมิโซะด้วยช้อนแล้วราดมันลงบนข้าว
“จากใครอะ?”
“ความลับ”
“สึโยชิสินะ”
“นี่รู้ได้ไงเนี่ย!?”
“พอมีสึโยชิมาเกี่ยวเธอก็ดูซื่อบื้อขึ้นมาเลยไง”
“โหดร้าย!”
เราสองคนรู้จักกันมานาน มายุโกะเลยพออ่านความคิดฉันได้
“นี่ไปใช้วิธีแปลกๆอีกแล้วเหรอ?”
“…เปล่าซะหน่อย”
มายุโกะถอนหายใจ
“แบบว่าสึโยชิก็ผิดส่วนนึงล่ะนะที่ตามน้ำไปเรื่อย แต่ทำไมไม่ลองอะไรที่มันปกติบ้างล่ะ? ตั้งแต่โดนเขาปฏิเสธมา เธอเพี้ยนขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ”
“ก็อาจจะถูกของเธอ แต่ฉันก็รู้สึกว่าแบบนี้มีความคืบหน้าที่ดีอยู่นา”
“เธอเข้าใจผิดไปเองแหง”
“ก็นั้นสินะ…”
“สรุปฉันถูกสินะ! ยังไงเธอก็ไม่ใช่พวกผู้หญิงที่จะเอามิโซะปูออกมากินในห้องอยู่แล้ว…”
ฉันเมินมายุโกะที่กำลังพึมพำอยู่ แล้วคีบข้าวเปล่าขึ้นมาด้วยตะเกียบ จากนั้นก็เอามิโซะปูโป๊ะลงไป ฉันกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้กลิ่นมันเข้าจมูกแล้วกัดไปคำนึง
มันทั้งเค็ม ทั้งขม แถมกลิ่นยังกับน้ำทะเล หน้าตาก็ไม่น่ามองอีก ทำเอาสงสัยเลยว่ามันกินได้แน่รึเปล่า ขนาดมีข้าวช่วยแล้วยังกลบรสชาติไม่ได้เลย
“อึก”
“หวา?! เป็นอะไรไหม?!”
ฉันพยักหน้าอย่างอ่อนแรง เมื่อกี้ฉันยัดทุกอย่างใส่เข้าปาก ต่อด้วยกรอกน้ำเข้าปากเยอะๆตามไปติดๆ
“ฟิ้วว”
“ถ้าไม่ชอบขนาดนั้น เธอไม่เห็นต้องเอามาโรงเรียนเลยนี่นา”
“ก็ถ้าฉันกินที่บ้าน พ่อแม่ก็จะเป็นห่วงน่ะสิ”
“ฉันก็ห่วงเหมือนกันนั่นแหละน่า! เธอจะแปลกเกินไปจริงๆแล้วนะมาจิกะ”
มายุโกะบ่นจนปากเปียกปากแฉะ แต่ฉันก็ทำหูทวนลมแล้วกินต่อไปทั้งอย่างนั้น ฉันพยายามสุดความสามารถเพื่อที่จะสนิทสนมกับสึโยชิคุง และเจ้ามิโซะปูนี่ก็เป็นหลักฐาน
ถึงมันจะขมจะกลิ่นแรงแค่ไหน ฉันก็ชอบมันที่เป็นแบบนั้น เพราะงั้นฉันเลยบอกตัวเองเรื่อยๆว่ามิโซะปูมันอร่อย จะเรียกว่าเข้าข้างตัวเองก็ได้
เพราะแบบนั้น ฉันเลยเอาช้อนตักมิโซะปูต่อ
“มาจิกะ เดี๋ยวก่อนสิ”
มายุโกะหยุดฉันไว้
“อะไรเล่า…?”
“ตอนนี้สีหน้าเธอน่ะดูไม่ดีจริงๆแล้วนะ มิโซะปูนี่มีแต่ทำให้เธออาการแย่ลงเท่านั้นแหละ”
ก็จริง แค่กัดคำเดียวก็ทำฉันเสียแรงไปโข และเพราะฉันก็ไม่ได้เคี้ยวมันดีๆ คอฉันเลยรู้สึกไม่ดีอีกเหมือนกัน
“นี่คือที่พูดถึงสินะ ฉันรู้สึกแย่ลงชะมัดเลย…”
“ก็นั่นแหละ กลับบ้านไปเหอะ”
“แต่ชมรม…”
“กลับบ้าน ไปพักผ่อนซะ แล้วค่อยกลับมาตั้งใจเต็มที่กับชมรมอีกที ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปร่างกายเธอก็มีแต่แย่ลงเท่านั้นแหละ”
ฉันเสียอยากอาหารไปจนหมดก่อนจะเอาฝามาปิดข้าวกล่อง
ขณะที่ฉันก็เก็บของเตรียมกลับบ้าน มายุโกะก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ให้ฉันเอามิโซะปูนั้นไปดีไหม? ยังไงเธอก็กินมันไม่ได้นี่นา”
“ไม่มีทาง นี่น่ะเป็นของขวัญจากสึโยชิคุง อย่ามาพยายามขโมยนะ”
“แรงอะ…”
“เงียบน่า”
ฉันหยิบกระเป๋าแล้วยืนขึ้น พึ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองยังเวียนหัวอยู่ แล้วกลิ่นของมิโซะปูที่ติดอยู่ในจมูกก็ทำฉันแทบอ้วก
“ฉันไปห้องน้ำเดี๋ยวนะ…”
“เห็นปะ ก็บอกแล้ว”
ฉันแยกทางกับมายุโกะก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปห้องน้ำ
ถึงจะรู้สึกไม่ดี แต่ฉันก็ยังถือขวดมิโซะปูนั่นอยู่ ราวกับชีวิตของฉันขึ้นอยู่กับมัน