คุณซาโกะผู้เพียบพร้อมอยากจะเป็นเหมือนอย่างผม - ตอนที่ 5: ความมั่นใจ
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นราวๆเดือนเมษา หรือก็คือประมาณ 3 เดือนก่อน เป็นช่วงที่ถ้าหันไปมองนอกหน้าต่างที่โถงทานเดินก็จะเห็นดอกซากุระบานสะพรั่ง
พวกชมรมกีฬาต่างๆก็ฝึกตามในแบบของชมรมของตัวเอง วิ่งไปเป็นรอบเป็นวงกลมบ้าง วิ่งทางตรงบ้าง แล้วยังมีพวกหน้าใหม่โผล่มาด้วย
เนื่องจากผมไม่ได้สังกัดชมรมอะไร ผมเลยไปช่วยงานอาจารย์ชิบาโตะบ่อยๆ แต่ที่ทำก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการแนะนำอนาคตหรอก ผมเดินไปที่ห้องเรียน 1-5 เป็นห้องที่อาจารย์ชิบาโตะเป็นอาจารย์ประจำชั้น และเพราะผมเป็นเด็กปี 1 จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ผมเลยจำเส้นทางได้เป็นอย่างดี
แต่ผมก็สะดุดกับอะไรบางอย่าง จนต้องไปแอบส่องเข้าไปในห้องจากทางหน้าต่าง แล้วก็พบกับผู้หญิงคนนึงกำลังเตรียมขาตั้งสำหรับวางโน้ตอยู่
ดูเหมือนห้องนี้จะเคยถูกใช้เป็นห้องซ้อมสำหรับวงดุริยางค์มาก่อน แล้วผมก็ลังเลที่จะเข้าไปในห้องเมื่อรู้ว่าคนในนั้นคือใคร ซึ่งก็คือคุณซาโกะที่เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมนั้นเอง และเนื่องจากพวกเราพึ่งขึ้นปี 2 มามาดๆ ผมเลยยังจำชื่อชื่อเพื่อนร่วมห้องทั้งหมดไม่ได้ แต่ผมก็รู้จักเธอมาตั้งแต่ปี 1 แล้ว
คุณซาโกะเป็นที่นิยมในชั้นเราพอสมควร ผู้ชายแทบทุกคนต่างหลงใหลในตัวเธอ แถมผลการเรียนยังดีมาโดยตลอดด้วย
หน้าตาของเธอทำให้คนที่ได้เห็นต้องลืมหายใจ ความสามารถทางวิชาการก็อยู่ระดับชั้นยอด คนที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน-นั้นแหละคือคุณซาโกะ
ถ้าจะให้พูดล่ะก็ผมอาจจะรู้จักคุณซาโกะ แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ถึงตัวตนของผมด้วยซ้ำ พูดกันสักคำยังไม่เคยเลย ผมก็เป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นคนนึง แล้วถ้าเป็นคนที่ผมคุ้นเคยด้วย ผมคงเข้าห้องไปได้ง่ายๆแล้ว
“สวัสดี…คือผมมีธุระที่นี่เฉยๆน่ะ ไม่ต้องสนใจหรอก…”
ผมขออนุญาตด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วเข้าห้องไป แต่มันก็ยังรู้สึกอึดอัดแปลกๆ แล้วคุณซาโกะก็มองมาที่ผม เราสบตากัน
“อ๊ะ! สึโยชิคุง”
ตอนผมได้ยินชื่อตัวเองจากปากเธอผมนี่ตัวแทบเด้ง เพราะผมไม่ได้เป็นคนที่โดดเด่นอะไรขนาดนั้น นึกว่าชื่อผมจะเป็นชื่อที่ใช้เวลาจำชื่อนานที่สุดซะอีก
“จำชื่อเพื่อนร่วนห้องทุกคนแล้วเหรอ? เร็วจริงๆ”
ผมตอบไปแบบนั้น
“ยังหรอก ที่จำได้เพราะนายเป็นคณะกรรมการจัดแต่งน่ะ ใช่ไหมล่ะ?”
“สุดยอดเลย ถูกต้องตามนั้น”
อย่างที่คุณซาโกะพูด ผมเข้าคณะกรรมการจัดแต่งไปแล้ว ผมมีความคิดที่ว่าอยากจะทำงานของโรงเรียนอย่างอื่นนอกจากเรื่องแนะแนวอนาคตบ้าง
“ตอนพวกเราเลือกสมาชิกคณะกรรมการน่ะ นายเป็นหนึ่งในคนที่ดูกระตือรือร้นสุดๆเลย ฉันก็เลยจำชื่อได้ง่าย”
ที่พูดมาก็ไม่ผิดหรอก แต่แบบนั้นทางนี้ก็ยิ่งเขินสิ
“ตอนแรกผมกะว่าจะเข้าเป็นคณะกรรมการนักเรียนน่ะ แต่ผมไม่ค่อยชอบทำอะไรเด่นๆเท่าไร ก็เลยมาทำอะไรแบบนั้นแทน”
ถึงผมจะเข้าคณะกรรมการจัดการงานเทศกาลหรือคณะกรรมการจัดการงานกีฬาก็เถอะ แต่จะทำทุกคนหมดแรงจูงใจเอาเปล่าๆ ผมเลยมากรรมการตกแต่งแทน ถึงอย่างนั้นคุณซาโกะดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจคำแถลงของผม ก็เลยทำแขนไขว้เป็นกากบาท
“ส่วนตัวฉันว่าคนที่มีแรงจูงใจอยากเป็นคณะกรรมการก็ควรเป็นคนที่รับมือกับงานไหวนะ อย่างฉันเองก็เป็นหัวหน้าห้อง”
หัวหน้าห้องเป็นคนที่มีหน้าที่รวมทุกคนในห้องให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ยังไงก็เถอะ ตอนที่มีใครไม่รู้ที่จู่ๆก็พูดโพล่งว่า ’คุณซาโกะควรเป็นหัวหน้าห้องนะ!’ แล้วคนทั้งห้องก็พากันเห็นด้วยกันหมด ด้วยเหตุนั้นคุณซาโกะก็ได้กลายเป็นหัวหน้าห้องไปโดยปริยาย
“ฉันคิดว่าสึโยชิคุงสุดยอดเลยนะ ปกติการรับหน้าที่แบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอก การทำตามความตั้งใจของตัวเองมันยากเอาเรื่องเลยล่ะ”
“ผมว่ามันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่พิเศษขนาดนั้นนะ”
“แต่ฉันคิดนะ แล้วก็เป็นอะไรน่าชื่นชมมากเลยด้วย”
ไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี แต่ถูกชมแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ แถมยังได้จากผู้หญิงสุดป๊อปในห้องด้วย
“ว่าแต่สึโยชิคุงทำมาอะไรที่นี่เหรอ? งานของทางคณะกรรมการจัดแต่งเหรอ?”
พอถูกคุณซาโกะถามอย่างนั้น ผมเลยนึกขึ้นได้
“อื้ม ก็งานเบ็ดเตล็ดนั้นแหละ ผมแค่มาเช็คว่ามีอุปกรณ์ทำความสะอาดพอรึเปล่าเฉยๆ”
ผมพูดขณะเปิดตู้ล็อคเกอร์แล้วเอาของข้างในมาวางเรียงเป็นแถวที่พื้น
คุณซาโกะลุกขึ้นจากนั้นก็มานั่งยองข้างผม
“ให้ช่วยไหม?”
“ไม่เป็นไร แปปเดียวก็เสร็จแล้ว”
“แล้วไม่ต้องไปเช็คห้องอื่นต่อเหรอ?”
“ไม่แล้วล่ะ แค่ห้องนี้ห้องเดียว”
“หืม? พวกนี้มันของของพวกปีหนึ่งนี่นา”
“ก็…ที่จริงนี่เป็นงานของอาจารย์ชิบาโตะที่เป็นอาจารย์ประจำชั้นห้องนี่น่ะ แต่ผมรับงานมาทำแทน…”
“จริงเหรอ? แบบนี้ก็แย่เลย…”
“ไม่เป็นไรหรอก ที่ทำก็เพราะผมอยากทำเอง การช่วยเหลือผู้อื่นมันรู้สึกดีมากเลยล่ะ”
“ช่วยเหลือผู้อื่น…ว้าว…”
“แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าอาจารย์ชิบาโตะเป็นคนไม่เอาอ่าวที่เอาแต่คิดเรื่องกลับบ้านไวๆหรอกนะ”
“เฮะๆ”
คุณซาโกะหัวเราคิกคัก
“อาจารย์เป็นแบบที่เขาลือกันจริงๆสินะเนี่ย”
“บอกเลย ว่าส่วนใหญ่ที่เขาพูดกันก็เรื่องจริงทั้งนั้น”
รู้ตัวอีกทีผมก็หัวเราะไปด้วยซะแล้ว ดูเหมือนจะมีข่าวลือหนาหูกระจายไปทั่วโรงเรียนเลย
ก็หวังว่าอาจารย์จะจัดการจริงๆจังๆสักที
“สึโยชิคุงก็เป็นตามที่เคยได้ยินเลยนะ”
“เอ๊ะ มีข่าวลือเรื่องผมด้วยเหรอ?”
นี่มีคนนินทาผมลับหลังด้วยงั้นเรอะ?
“เปล่าหรอก เป็นเรื่องที่ฉันเคยได้ยินเฉยๆน่ะ ถ้าจะให้พูด ก็ได้ยินมาจากมายุโกะซะส่วนใหญ่”
“เอ๊ะ มายุโกะนี่คือ?”
“นิชิดะ มายุโกะไง ตอนปี 1 อยู่ห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ?”
“อะ-อ้อ คุณนิชิดะนี่เอง”
ได้ยินนามสกุลปุ๊บ หน้าก็เด้งขึ้นมาปั๊บเลย จริงๆแบบนี้มันค่อนข้างไร้มารยาทเลยล่ะ
“ยังไงก็เถอะ ฉันดีใจที่ได้คุยกับสึโยชิคุงนะ นายสุดยอดอย่างที่ฉันคิดไว้เลย”
“ไม่หรอกๆๆ ถ้าเทียบกับสุดยอดอัจฉริยะอย่างคุณซาโกะล่ะก็ ผมเป็นไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บด้วยซ้ำ”
“ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นสักหน่อย”
“ได้คะแนนสอบระดับท๊อปตลอดเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ก็อาจจะจริง แต่…ลองดูนี่ก่อนสิ ถึงจะไม่ใช่อะไรที่น่าดูนักก็เถอะ”
คุณซาโกะพูด แล้วหันหลังไปชี้สมุดที่อยู่บนโต๊ะของเธอ
“ฉันกะว่าจะทบเรื่องที่เรียนวันนี้ก่อนจะไปชมรมน่ะ”
“ก่อนไปชมรม? ในเวลาแค่นี้?”
ขยันไปหน่อยมั้ง? พึ่งจะขึ้นเทอมใหม่มาหยกๆ แท้ๆ แถมเรื่องที่เรียนก็ยังไม่ยากขนาดนั้นด้วย
“อย่าบอกนะว่า…”
“คงเคยได้ยินใช่ไหม ว่าฉันจบมาจากโรงเรียนสาทิต น่ะ”
“อื้ม เคยได้ยินอยู่”
จำได้ว่ามาจากโรงเรียนสาธิตที่สุดยอดสุดๆ ด้วย
“หลังจากที่เข้าโรงเรียนนั้นได้ คะแนนฉันดิ่งลงเหวเลยล่ะ จะสอบเล็กสอบใหญ่ก็เข้าขั้นหายนะ”
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ขนาดคุณซาโกะมาพูดเองแบบนี้ผมยังทำใจเชื่อยากเลย
“แล้วที่ผลการเรียนดีแบบทุกวันนี้นี่ทำยังไงเหรอ?”
“ไม่ใช่เรื่องน่าอวดอะไรหรอก แต่พ่อแม่กับอาจารย์ของฉันท่านกระวนกระวายใหญ่เลยล่ะ ฉันเลยตั้งใจเก็บรายละเอียดทุกเรื่องที่เรียน หมั่นทำแบบฝึกหัดที่บ้านด้วยตัวเอง เพื่อที่จะมาถึงขั้นนี้ได้หลังจากที่เข้าเรียนที่นี่”
ฟังที่คุณซาโกะพูดดูเหมือนจะง่าย แต่ผมก็รู้อยู่เต็มอกว่าจริงๆไม่ใช่แบบนั้นเลย
ถึงจะเรียนด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องมีทั้งความสามารถกับวิธีการที่ถูกต้อง แล้วไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่ถ้าประมาทแม้แต่นิดเดียว ก็คงไม่ได้คะแนนระดับนี้
ผมนึกหวนคืนสู่ช่วงที่ผมสอบเข้าที่นี่ เพราะอย่างนั้นผมถึงเข้าใจ ว่าเธอไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรเลย แค่มีความขยันหมั่นเพียรในเรื่องเรียนเท่านั้น
และถ้าเป็นแบบนั้น การเรียกเธอว่า อัจฉริยะ ก็ถือเป็นเรื่องเสียมารยาท
“ขอโทษที่เรียกออกไปโดยไม่คิดนะ!”
“เอาน่า ฉันไม่ใส่ใจหรอก”
“แต่คุณซาโกะเองก็พยายามมากเลยใช่ไหมล่ะ? เรียนแบบนี้ตลอดตั้งแต่เปิดเทอม…การที่ผมเรียกคุณซาโกะว่าอัจฉริยะก็เหมือนไปเหยียบย่ำความพยายามของเธอน่ะสิ”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษขนาดนั้นก็ได้น่า”
ถึงจะพูดแบบนั้นเถอะ แต่เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้หรอก
“ผมคิดว่ามันยากเลยนะที่จะทำแบบคุณซาโกะได้ อีกอย่างถ้าเกิดเห็นว่าความพยายามไม่เป็นผลล่ะก็ ก็คงจะจิตตกได้ง่ายๆเลย เพราะงั้นผมถึงไม่อยากพูดอะไรที่มันบั่นทอนความตั้งใจนั้นน่ะ”
ทุกคนคงจะคิดว่าคนที่ได้ผลการเรียนอันดับหนึ่งในระดับชั้นจะต้องเป็นอัจฉริยะหรืออะไรเทือกนั้น แต่จริงๆแล้วคุณซาโกะพยายามอย่างยกาลำบากเพื่อจะไปถึงจุดนั้น
ขณะที่ผมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด คุณซาโกะจ้องผมด้วยแววตาสับสน
“แปลกคนจังเลยนะสึโยชิคุงเนี่ย ปกติทุกคนแค่เห็นผลการเรียนฉันก็เอาแต่ชมไม่หยุดปากแล้ว ได้เจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย”
“ผมแค่รู้สึกว่าแบบนี้มันดูจริงจังกว่าน่ะ”
“อื้ม พูดแบบนี้ฉันก็ชอบ ขอบคุณมากนะ”
คุณซาโกะยิ้มอย่างเคอะเขิน
พริบตานั้นผมเกือบจะหลงในรอยยิ้มนั้นไปแล้ว แต่ยังพอตั้งสติกลับมาทำงานต่อได้ ถ้าทำตรงนี้นานไป ได้โดนอาจารย์ชิบาโตะบ่นแน่
ตอนนั้นเองคุณซาโกะก็มานั่งยองข้างผมอีกครั้ง
“ให้ฉันช่วยทำงานเถอะนะ”
“ไม่เป็นไร แค่งานง่ายๆเอง”
“ก็ฉันอยากช่วยนี่นา”
“อืมมม…งั้นช่วยทำความสะอาดอุปกรณ์พวกนี้หลังผมเช็คเรียบร้อยหน่อยได้ไหม?”
“รับทราบ”
อย่างที่คิด คุณซาโกะนั้นช่างสมบูรณ์แบบ ทั้งมีเสน่ห์ทั้งงดงาม เรื่องเรียนก็ขยันขันแข็ง ใจดีกับทุกคน แล้วยังพยายามมากกว่าคนอื่นด้วย คนธรรมดาอย่างผมคงไม่มีหวังที่แม้แต่คิดจะไปเคียงข้างเธอได้
ผมรู้เรื่องนั้นดี แล้วกว่าจะรู้ตัวผมก็ชื่นชมในตัวเธอซะแล้ว
“ถ้าผมมีความตั้งใจแบบคุณซาโกะล่ะก็”
“แต่ส่วนตัวฉันอยากเป็นแบบสึโยชิคุงมากกว่านะ”
“เอ๊ะ? ผมมีดีอะไรงั้นเหรอ?”
คุณซาโกะเอานิ้วแตะปากแล้วยิ้มเยาะ
“เฮะๆ ความลับ”
“ให้ตายเถอะ…”
ทำเอาอยากรู้เลยแฮะ แต่คุณซาโกะคงจะไม่บอกผมแน่
เนื่องจากพวกเราช่วยกันทำงานกันสองคน งานเลยเสร็จในเวลาอันสั้น และเมื่อเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดชิ้นสุดท้ายกลับสู่ที่เดิม ผมก็ปิดประตูล็อคเกอร์ทันที
“ขอบคุณที่ช่วยนะ เดี๋ยวผมจะไปบอกอาจารย์ว่าเสร็จงานแล้วเอง”
“จ้า แล้วเจอกันนะ”
คิดว่านั้นคงเป็นครั้งแรกที่ผมกับคุณซาโกะได้คุยกัน จนตอนนี้มันก็ยังเป็นความทรงจำอันมีค่าของผม เธอบอกกับผมว่าผม’เป็นตามที่เคยได้ยิน’ แต่สำหรับผมคุณซาโกะน่ะยิ่งกว่าที่เขาพูดกันอีก ผมเคยนึกว่าเธอเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดนั่นกลับมาจากความขยีนหมั่นเพียร
ผมรู้ว่าสำหรับผมมันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ยังจำความปรารถนาที่สักวัน ผมจะเป็นแบบคุณซาโกะได้
เสียงอิเล็กทรอนิกส์แหลมๆแสบหูทำเอาหัวผมสั่นสะเทือนไปหมดจนผมตื่นจากห้วงความฝัน
ผมหาโทรศัพท์แล้วกดหยุดการแจ้งเตือนการปลุกด้วยอาการสะลึมสะลือ
“ฝันเรื่องคุณซาโกะ…”
ทั้งๆที่ปฏิเสธคนเขาไปเองแท้ๆ แต่ผมก็ยังคอยเฝ้ามองคุณซาโกะทุกฝีก้าว ไม่ว่าตอนตัดผม ตอนใส่กระโปรงสั้น หรือกระทั่งตอนที่ป้อนอาหารสุดห่วยนั่นให้ผม ตอนแรกก็คิดว่าเธอจะทำแบบนั้นไปทำไม สงสัยในตัวผู้หญิงที่มีชื่อว่าซาโกะ มาจิกะ
ถึงอย่างนั้นรู้ตัวอีกที ผมก็เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องของเธอซะแล้ว สีหน้าตอนที่เธอทำอะไรพวกนั้นมันช่างมีชีวิตชีวา ทำอดคิดว่าน่ารักไม่ได้
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุขแล้วริมฝีปากของเธอก็ปั้นรอยยิ้มที่เย้าแหย่ แก้มที่แดงเรื่อ ทั้งหมดนั้นมันทำให้หัวผมร้อนรุ่มไปหมด ผมรู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร โกหกตัวเองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ผมแค่แอบชื่นชมในตัวคุณซาโกะมาจนถึงตอนนี้ ความพยายามอันเหลือล้นนั่นก็น่านับถือ
แต่ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว ผมถูกคุณซาโกะดึงดูด แม้ว่าผมจะปฏิเสธคำสารภาพของเธอไปแล้วก็ตาม ผมก็อยากจะเคียงข้างเธอให้ได้
ผมอยากเป็นผู้ชายที่คู่ควรกับคุณซาโกะผู้สมบูรณ์แบบ แม้ตอนนี้ผมจะไม่มีอะไรที่คู่ควร แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากจะสนิทสนมกับเธอ และเพื่อการนั้นผมต้องมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ต้องเป็นผู้ชายที่เคียงข้างคุณซาโกะอย่างเต็มภาคภูมิให้ได้
ปัญหาคือ…ต้องทำยังไงล่ะ? ผมลองช่วยทำงานอะไรหลายๆอย่างจนถึงตอนนี้เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้นแต่ก็ไม่เห็นผลเท่าไร ผมอยากเปลี่ยนตัวเอง แต่กลับไม่รู้วิธี
และราวกับถูกความเจ็บปวดและบิดเบี้ยวกลืนกิน ผมก็ลุกออกจากเตียงได้เสียที
แม้กระทั่งคาบเรียนวันนี้ ผมก็เอาแต่คิดถึงแต่คุณซาโกะ ผมอยากมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเดินไปด้วยกันกับเธอคนนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบก็ได้ ขอแค่มีความมั่นใจในอะไรสักอย่างก็พอ แต่ผมดันหลงทางตั้งแต่จุดเริ่มต้นซะได้
ความคิดผมวนเวียนอยู่แค่นั้นจนออดคาบสุดท้ายดังขึ้น อาจารย์ออกไปจากห้อง
ผมก็หยิบกระเป๋าแล้วเตรียมไปที่ห้องแนะแนวอนาคต ส่วนทาคุมิที่อยู่ข้างผมก็เอากระเป๋ามาพาดบ่าแล้วหันมาทางผม
“สึโยชิ นายนี่เอาแต่ถอนหายใจทั้งวันเลยนา”
“จริงเหรอ? โทษที ไม่ได้ตั้งใจนะ”
“ไม่เคยนายเป็นไข้ใจขนาดนี้เลยนะเนี่ย”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
ผมปฏิเสธไปในทันที แต่จริงๆแล้วผมคงเป็นแบบนั้นจริงๆก็ได้
ทาคุมิกดดันผมมากขึ้น ถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“แล้วถอนหายใจเรื่องอะไรกันล่ะ? เอาตรงๆมันกวนใจฉันตอนยังอยู่ระหว่างคาบสุดๆไปเลย เพราะงั้นเลิกทำซะเถอะ”
หรือก็คือ หมอนี่กำลังเร้าให้ผมบอกปัญหาอยู่ ยังไงซะทาคุมิก็ทั้งฉลาดทั้งเก่ง บางทีอาจจะให้คำตอบที่ผมตามหาได้ก็ได้
ความคาดหวังพวกนั้นทำให้ผมเลือกที่จะถามออกไป
“ผมต้องทำยังไงถึงจะมั่นใจในตัวเองได้เหรอ?”
“แค่บอกกับตัวเองว่า’ฉันนี่มันสุดยอดจริงๆ!’ก็พอแล้วนี่?”
“นั่น…ก็จริง แต่ผมอยากได้รากฐานความมั่นใจน่ะ”
“ไอ้แบบนั้นมันหมายความว่าไงเนี่ย? มันต้องมีใครสักคนที่เหนือกว่ากว่าตัวเองอยู่แล้ว หรือยังไง พวกนักกีฬาจะไม่มั่นใจในตัวเองเพราะตัวเองไม่ใช่อันดับหนึ่งของประเทศรึไงล่ะ?”
“นายก็พูดถูกนะ”
“ถึงจะไปได้ไม่สุดทาง แต่แค่ชนะการแข่งขันระดับเขตได้ก็พอจะทำให้มั่นใจได้แล้วล่ะ ไม่ว่าจะระดับประเทศหรือระดับเขต การชนะก็จะทำให้ความมั่นใจพุ่งขึ้นสูงปรี๊ดเลยล่ะ”
“คือ…ผมก็ไม่ควรถามหรอกนะ แต่นายมั่นใจในชมรมเบสบอลของโรงเรียนนิชิจินรึเปล่า?”
ที่โรงเรียนนี้จะโฟกัสเรื่องเรียนมากกว่าชมรม พวกชมรมต่างๆเลยไม่ดังขนาดนั้น พวกชมรมเบสบอลยังไม่ผ่านรอบอุ่นเครื่องรอบแรก เลยด้วยซ้ำ
ผมรู้ว่าการถามแบบนี้มันเสียมารยาทกับทาคุมิที่คอยฝึกทั้งวันทั้งคืน แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี
และโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ทาคุมิได้ให้คำตอบกับผม
“ตอนนี้ก็ไม่มีขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าทัวนาเม้นรอบหน้าเริ่มเมื่อไร เราก็ต้องเร่งเครื่อง ตัวเองกันสักหน่อย”
“แล้วมันได้ผลยังไง?”
“ก็อย่างทีฉันพูดของแบบนี้มันแล้วแต่คน พอการแข่งจริงมาถึง การฝึกฝนอย่างหนักของพวกเราจะเปลี่ยนเป็นความมั่นใจเอง พวกเราเชื่อว่าเราจะไม่รู้ผลลัพธ์ตราบจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย แล้วพวกเราก็สู้ตายสุดตัวเลยล่ะ”
ผมเห็นเหตุผลต่างๆที่แฝงมากับคำพูดของทาคุมิ ตอนผมสอบเข้าที่นี่ ผมก็บอกตัวเองว่า’ตัวเราก็เรียนมาพอสมควร เพระงั้นไม่เป็นไรหรอก’
“อย่างนี้นี่เองแล้วแต่คนสินะ …”
“ท้ายที่สุดแล้ว ถ้านายยืนอยู่ตรงนี้แล้วบอกตัวเองว่า’ตัวเราสุดยอด!’ ในเสี้ยววินาทีนั้นก็ถือว่านายมั่นใจแล้วล่ะ”
ทาคุมิพูดเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดา
กะแล้วเชียว ทาคุมิฉลาดขึ้นยิ่งกว่าตอนแรกที่เจอกันซะอีก โชคดีจริงๆที่ผมได้เขาเป็นเพื่อน
ระหว่างที่ผมกำลังชื่นชมเขาอยู่ ทาคุมิก็ยกกระเป๋าขึ้น
“แล้วฉันไปได้ยัง? จะเข้าชมรมสายแล้วเนี่ย”
“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะ ช่วยได้มากจริงๆ ขอบคุณหลายๆ”
“อ่า งั้นพรุ่งนี้ก็อย่ามาถอนหายใจให้ได้ยินอีกล่ะ ไม่งั้นนายได้เสียไปทั้งความสุขทั้งซาโกะแน่”
“ให้ตายสิ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
หรือถ้าให้ผมพูด ผมมั่นใจเลยว่าเขามองผมออกแบบทะลุปรุโปร่ง ใช่ว่าความกังวลของผมจะหายไปหมด แต่อย่างน้อยผมก็ได้ก้าวสำคัญมาแล้ว
และเพราะการให้คำแนะนำจบลง ทาคุมิก็ทิ้งผมไว้พร้อมกับคำบอกลา’ไว้เจอกันนะ’
ผมตัดสินใจมุ่งไปที่ห้องแนะแนวอนาคตอย่างที่ทำเป็นประจำ
อาจารย์ชิบาโตะเป็นคนที่หมกมุ่นเรื่องงานจนผิดปกติ
‘ไปจัดชั้นหนังสือซะ’ นี่คือทั้งหมดที่เขาบอก ก็อยากจะไปขอคำแนะนำจากเขาอยู่หรอก แต่ผมไม่อยากรบกสนอาจารย์ตอนที่เขายุ่ง เพราะฉะนั้นผมจึงเดินไปที่ชั้นหนังสือ ซึ่งก็เหมือนกับห้องสมุดทั่วไป โครงสร้างระบบชั้นหนังสือของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เพราะงั้นก็เลยต้องเอาหนังสือไปเก็บที่เดิมทุกครั้งที่มีการยืม และนั่นคืองานของผมวันนี้
ผมเอาพวกหนังสือที่ได้รับการคืนแล้วกลับไปวางไว้ที่เดิมที่มันเคยอยู่ และเพราะผมชินกับงานพวกนี้แล้ว ก็เลยรู้ตำแหน่งของหนังสือส่วนใหญ่
แล้วระหว่างที่ผมทำงานอย่างตั้งใจ ผมก็พึมพำกับตัวเองไปด้วย
“ตัวเราสุดยอด ตัวเราสุดยอด ตัวเราสุดยอด…”
พอจะเข้าใจเรื่องที่ทาคุมิพยายามพูดอยู่ แต่การพูดยอตัวเอง แบบนี้มันยากกว่าที่คิดซะอีก ผมเผชิญหน้ากับเหล่าชั้นหนังสือพร้อมกันกับที่พึมพำกับตัวเองตอนที่มีนักเรียนคนอื่นเข้ามาพอดี เมื่อหันกลับไปก็พบคุณซาโกะ
คงเพราะผมฝันถึงเธอเมื่อคืน ผมเลยถูกเธอดึงดูดอีกครั้ง ตอนนี้ที่ผมเอาแต่คิดถึงคุณซาโกะ ไม่รู้เลยว่าจะมีระยะห่างประมาณไหนดี
ผมพยายามสุดชีวิตที่จะสงบสติตัวเองแล้วเรียกชื่อเธอออกไป
“มีอะไรให้ช่วยไหม คุณซาโกะ?”
“อ๊ะ สึโยชิคุงเองเหรอ ฉันมาขอคำแนะนำเรื่องอนาคตน่ะ”
คุณซาโกะมุ่งไปที่ชั้นวาง มองผ่านเอกสารของมหาลัยมากมาย ดูเหมือนว่ากำลังคิดเรื่องการสอบเข้ามหาลัยเรียบร้อยอยู่
ขณะที่ผมแอบมองด้วยหางตา ผมก็เอาหนังสือแบบฝึกหัดสอบเข้ามหาลัยไปวางที่ชั้นวาง
ในเวลาที่ผมจัดการกับหนังสือส่วนใหญ่ส่วนใหญ่แล้ว คุณซาโกะก็หันมาหาผม
“คนที่เก็บหนังสือให้เข้าที่คือสึโยชิคุงเองเหรอ?”
“อื้ม อาจารย์เขาไม่ค่อยอยากทำน่ะนะ”
มีเสียงเคืองๆพูดว่า ‘เงียบหน่อย’ ดังมาจากทางโต๊ะ ทำเอาคุณซาโกะขำน้อยๆ
“บางครั้งฉันก็จะมายืมหนังสืออ้างอิงน่ะ เอาเป็นว่าขอบคุณที่คอยเก็บหนังสือให้เป็นระเบียบพวกนี้นะ”
เธอโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
ผมเกาหัวนิดๆ
ระหว่างนั้นเอง ผมก็สังเกตถึงเอกสารที่คุณซาโกะถือเอาไว้ หรือถ้าจะให้พูดจริงๆ เป็นปึกเอกสารเลยต่างหาก แล้วบางอันยังเป็นของจากต่างประเทศด้วย
“มีมหาลัยให้เลือกเยอะเลยสินะ สมแล้วจริงๆ”
“จริงๆแล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะไปเข้าที่ไหนดี”
“งั้นหรอเหรอ?”
“เพราะฉันไม่เคยคิดถึงสิ่งที่อยากทำเลยไม่มีที่ที่อยากไปเป็นพิเศษน่ะ ฉันเลยจะมาเช็คพวกมหาลัยนิดหน่อย”
“รวมถึงมหาลัยต่างประเทศด้วย?”
“อื้ม เจ้านี่น่ะ”
คุณซาโกะโชว์เอกสารบางใบให้ผมดู
“ฉันค่อนข้างเก่งอังกฤษ ก็เลยกำลังคิดๆอยู่”
“อ่า ภาษาอังกฤษของคุณซาโกะก็ดีจริงๆนั่นแหละ เขาเรียกว่าอะไรนะ B2?”
“ไม่ใช่ B1 ต่างหากเล่า แต่ฉันแค่ถูกคุณพ่อเขาสอนมาน่ะ ไม่ได้ชอบภาษาอังกฤษหรอก…”
เสียงดังโทนต่ำลง ก่อนที่เธอจะเอาเอกสารใส่กระเป๋านักเรียนของตัวเอง
“อย่างงั้นเหรอ…การเลือกมหาลัยนี่ก็ดูยุ่งยากดีนะ”
“แต่ฉันว่าสึโยชิคุงจะเลือกที่นึงได้ทันทีเลยล่ะ”
“ไม่หรอกๆๆ ยังไงก็ไม่มีอะไรที่ผมอยากเรียนเป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย”
“แต่ถ้าตัดสินใจอะไรไปแล้ว สึโยชิคุงก็จะพยายามจนถึงที่สุดนี่นา”
“ก็นั้นสินะ”
ผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนั้นมาก่อนเลย
“หมายถึง สึโยชิคงก็มาช่วยอาจารย์ชิบาโตะใช่ไหมล่ะ? นายเลือกมาช่วยเขาด้วยความตั้งใจของตัวเอง ฉันไม่คิดว่าคนธรรมดาจะทำได้หรอกนะ”
ผมรู้สึกว่าผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้น ก็เลยตอบไปแบบถ่อมตัวที่สุดเท่าที่ทำได้
“ก็แค่งานง่ายๆน่ะ ใครๆก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่สึโยชิคุงก็ที่ทำทั้งหมดนี่ตามความต้องการของตัวเอง ก็คงจะมีเหตุผลที่ทถึงขนาดนี้ใช่ไหมล่ะ”
“ก็ใช่ แต่…”
“บอกฉันสิ ว่าทำไมถึงมาทำงานที่นี่? ฉันอยากรู้ว่าสึโยชิคุงกลายเป็นแบบทุกวันนี้ได้ยังไง”
แววตาของคุณซาโกะเปล่งประกายไปด้วยความคาดหวัง แต่น่าเศร้าที่เหตุผลที่ผมมาทำงานที่นี่ไม่ใช่อะไรที่น่าอวดแต่อย่างใด
“เป็นเหตุผลเห่ยๆน่ะนะ…”
“ฉันไม่ว่าหรอก ฉันนับถือสึโยชิคุงที่เป็นสึโยชิคุงตอนนี้ เพราะงั้นถึงอยากรู้ไงล่ะ”
ถ้าพูดอะไรแบบนั้นล่ะก็ คงจะตอบไม่ไม่ได้แล้ว
ผมเตรียมใจเผื่อสถานการณ์เลวร้ายที่สุดแล้วเปิดปากพูด
ช่วงมัธยมต้น ผมเป็นพวกครึ่งๆกลางๆ เผลอๆอาจจะต่ำกว่ามาตรฐานซะอีก ไม่ว่าจะทำอะไร ผมก็เริ่มเกลียดตัวเองที่ช่างไร้ประโยชน์ จะยอมแพ้ก่อนจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงแบบนั้นผมก็ยังทนได้ ผมอยากจะเปลี่ยนตัวเอง เพราะงั้นผมเลยตั้งใจเรียนแบบเป็นบ้านเป็นหลัง ซึ่งถ้าผมอยากจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จะทำอะไรนอกจากเรื่องเรียนผมก็ไม่เกี่ยง อย่างไรก็ตาม ผมรู้แค่วิธีตั้งใจเรียนอย่างหนักเท่านั้น
พอนึกย้อนกลับไป ผมก็นั่งตั้งใจเรียนจนตาเหลือกตาพอง เวลาว่างทุกวิยาทีถูกทุ่มให้กับการเรียนทั้งหมด และผลลัพธ์ก็คือ ผมไต่ลำดับผลการเรียนในช่วงมัธยมต้นและสอบเข้าที่โรงเรียนนิชิจินได้สำเร็จ
“ตอนที่เริ่มเรียนมัธยมปลายน่ะ ผมสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปจนหมด ก็เลยใช้เวลาว่างมาทำงานอะไรแบบนี้ ผมน่ะอยากจะช่วยเหลือผู้คน แต่ก็แอบดูเกินตัวแปลกๆ”
ลองมองย้อนกลับไปแล้วคิดถึงชีวิตนักเรียนของผนจนป่านนี้ ผมก็ได้รู้ว่าส่วนใหญ่มันช่างสูญเปล่า ดิ้นรนโดยไร้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าให้กล่าวถึง ถ้าได้ยินเรื่องพวกนี้ล่ะก็ คุณซาโกะต้องผิดหวังในตัวผมแน่…
ทั้งๆที่ผมคิดแบบนั้น แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผมคือรอยยิ้มอันอ่อนโยนเหนือสิ่งใด
“การพยายามเปลี่ยนตัวเองแบบนั้นน่ะ น่าชื่นชมมากเลยนะ”
“แบบว่าผมอาจพยายามเปลี่ยนตัวเองก็จริง แต่ผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ที่ทำได้ก็แต่คุยโวไปทั่วเท่านั้นแหละ”
“ฉันว่าสิ่งที่นายทำตอนนี้มันเห่ยกว่าอีก”
“หา?”
เสียงของคุณซาโกะได้ดุดันมากขึ้นไปพริบตานึง
“ฉันคิดว่าสึโยชิคุงสุดยอดจริงๆนะ แต่การกดตัวเองให้ต่ำกับดูถูกตัวเองแบบนั้นน่ะ มันดูไม่ได้เลยสักนิดเดียว”
ผมเองก็รู้ตัวดี แต่ก็พูดอะไรสวนไปไม่ได้ กระนั้นพอถูกคุณซาโกะพูดแบบนั้นใส่มันช่างเจ็บปวด
แบบว่าลองจินตนาการว่าผู้หญิงที่เราสนใจพูดว่า ‘เห่ย’ กับ ‘ไม่น่าดู’ ใส่เราดูสิ
“แล้วก็นะ”
คุณซาโกะพูดต่อ
“การที่ยอมแพ้เพราะทำคะแนนแย่ในการสอบครั้งเดียวแบบนั้นมันไม่ดีนะ อย่าไปตีตราตัวเองกับอีแค่ความล้มเหลวครั้งเดียวแบบนั้น ฉันรู้ว่าสึโยชิคุงน่ะพยายามอย่างหนักเพื่อผู้อื่นเสมอ เพราะงั้นอย่าปฏิเสธตัวเองแบบนั้นเลยนะ”
จริงสิ คุณซาโกะเคยพูดว่าตัวเองมาจากโรงเรียนสาธิต นี่นะ แถมตอนนั้นยังเป็นพวกเกือบโดนไล่ออกด้วย คงเป็นเพราะเราทั้งคู่เคยอยู่ตำแหน่งคล้ายๆกันมาก่อน ถึงอย่างนั้นคุณซาโกะก็ไปไกลกว่าผม ผมคงจะเอาชนะเธอไม่ได้จริงๆนั่นแหละ
แต่ในเวลาเดียวกัน ความต้องการที่จะเคียงข้างเธอของผมก็เพิ่มมากขึ้น
“ผม…”
ผมเปิดปากพูด
“ผมอยากจะเป็นแบบคุณซาโกะ”
ตาของคุณซาโกะเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ฉัน? ทำไมล่ะ?”
“เพื่อพยายามหนักให้หนักได้มากขึ้น เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และเพื่อมั่นใจในตัวเองมากขึ้น”
เธอกระพริบตา แล้วลดศีรษะต่ำลงนิดหน่อย
“ฉันก็กระเสือกกระสนเอาเรื่องเลยนา? แต่ความพยายามก็เปลี่ยนเป็นความมั่นใจได้ ถ้าจะให้พูดน่ะนะ”
ได้ยินดังนั้น ก็ทำให้หวนนึกถึงคำพูดของทาคุยะที่เคยพูดกับผม
‘พอการแข่งจริงมาถึง การฝึกฝนอย่างหนักของพวกเราจะเปลี่ยนเป็นความมั่นใจเอง’
ตามที่คุณซาโกะบอก ว่าเธอมั่นใจในตัวเองได้เพราะความพยายามอย่างหนักที่สั่งสมมา แล้วผมล่ะ? มีอะไรที่ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายรึเปล่า? อะไรสักอย่างที่ทำให้ผมมั่นใจได้ แล้วถ้ามีแล้วผมจะคิดว่าตัวเองสุดยอดได้รึเปล่านะ?
“บางทีผมเองก็…”
ผมก้มหน้าลง เหมือนกับพวกลูกหมาที่ถูกทิ้งท่ามกลางสายฝน
จู่ๆคุณซาโกะก็เอามือทั้งสองมาจับที่แก้มของผม แล้วยกมันขึ้น
“หว่า…”
ผมสะดุ้งโหยง
“สึโยชิคุงที่ยืดอกมั่นใจน่ะ เท่กว่าเยอะเลยนะ”
ความอบอุ่นส่งผ่านมายังแก้มของผม พร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับยอมรับทุกสิ่งอย่างในตัวผม
ผมอยากตอบแทนความอ่อนโยนนี้ อยากจะเคียงข้างเธอ เพราะงั้นตอนนี้มีสิ่งเดียวที่ต้องทำ
“ผม…อยากได้โอกาสอีกครั้ง”
“จ้ะ หวังว่าจะมั่นใจมากขึ้นนะ”
คุณซาโกะยิ้มอย่างมีความสุข
หลังบทสนทนาเงียบลงไปสักครู่ ผมก็เริ่มจะรู้สึกเขินขึ้นมา เหมือนกับว่าพวกเราเป็นคู่รักที่แอบมาจู๋จี๋กันเลย
“คุณซาโกะ พวกเรา-”
“ทั้งสองคน”
เสียงตายด้านดังมาจากข้างๆพวกเรา
“คงไม่คิดจะจูบกันที่นี่หรอกใช่ไหม? นี่คิดจะทำให้อาจารย์ผู้โสดซิงคนนี้ต้องมานั่งเศร้าตอนนั่งทำงานหรอกใช่ไหม?”
อาจารย์ชิบาโตะโผล่มาจากไหนไม่รู้
“อ๊ะ เดี๋ยว ไม่ใช่นะคะ!”
ส่วนคุณซาโกะก็แก้งแดงและผละออกจากผม
มาเห็นช่วงที่แย่ที่สุดซะได้ ทำเอาผมอายจนทำอะไรไม่ถูก คุณซาโกะเองก็ถอยห่างจากผมไปสองสามก้าวแล้วหันหลัง
“ต้องไปเข้าชมรมแล้วล่ะ! แล้วเจอกันนะ!”
คุณซาโกะพูดแบบไม่อยากจะเสียเวลาแม้แต่วินนาทีเดียว แล้ววิ่งออกไปจากห้อง
ส่วนผมก็ถูกทิ้งไว้ จะไปมองอาจารย์ก็รู้สึกอึดอัดเกินไป มีแวบนึงที่ผมคิดจะวิ่งหนีตามคุณซาโกะไปอยู่เหมือนกัน แต่อาจารย์ก็คว้าไหล่ผมไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวก่อน สึโยชิ”
จะต้องถูกบ่นชัวร์ป้าบ
อาจารย์พาผมที่โต๊ะ แล้วบังคับให้นั่งลงบนเก้าอี้
ขณะที่อาจารย์กำลังจะเปิดปากบ่น ไอ้ผมก็กำลังคิดข้ออ้างอย่างสุดชีวิต
“สึโยชิ ไม่ใช่ว่ามีอะไรต้องบอกฉันหรอกเรอะ?”
นี่คงเป็นการดุแบบที่ไม่ใช้อารมณ์โกรธสินะ ผมคงทำได้แค่หวังว่าการขอโทษอย่างบริสุทธิ์ใจจะช่วยผมได้
“ขอโทษที่มาจู๋จี๋กันในโรงเรียนครับ แตว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
“ฟังนะ ฉันไม่ได้มาดุนาย ถึงการที่นายสนิทกับเด็กผู้หญิงจะทำให้ฉันหงุดหงิดนิดๆก็เถอะ”
“แล้วโกรธเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“นี่นายคงไม่ได้หูหนวกหรอกใช่ไหม จะถามอีกครั้งแล้วกัน สึโยชิ ไม่ใช่ว่ามีอะไรต้องบอกฉันหรอกเรอะ?”
อาจารย์ชิบาโตะอาจเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้ขยันอะไรมาก แต่ผมก็บอกได้ว่า ณ ตอนนี้ เขากำลังจริงจังกับผมอยู่
“ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่ฉันได้ยินเรื่องที่นายคุณกับซาโกะ นายถึงพึ่งจะเปลี่ยนทัศนคติตัวเองได้ใช่ไหม? ถ้าใช่ นายก็ควรจะบอกอะไรฉันหน่อยสิ”
ผมมองไปที่อาจารย์ ขณะที่หอบหายใจหนัก
เพราะแบบนั้นถึงหยุดพวกเราไว้เหรอ?
ผมสูดหายใจลึก แล้วพูดออกไป
“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากทำงานเบ็ดเตล็ดน้อยลงครับ…”
“น้อยลง? จะเลิกทำฉันก็ไม่ว่าหรอก”
“เอ๋?”
อาจารย์พูดโพล่งออกมา ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย ทั้งๆที่โยนงานมาให้ผมตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ตอนนี้มาบอกว่าผมไม่มาก็ได้งั้นเหรอ?
“นายกลับมาสนใจเรื่องเรียนอีกครั้งแล้วนี่นา? ฉันเลยคิดว่านายน่าจะอยากเอาเวลาที่มาทำงานให้ฉันไปนั่งตั้งใจเรียนตั้งแต่นี้ไป”
เหมือจะมองออกทะลุปรุโปร่งเลย แต่ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่อาจารย์เขายอมปล่อยผมไปอยู่ดี
“จะดีเหรอครับ? ถ้าผมไปแล้วอาจารย์อาจจะไม่ได้กลับบ้านเร็วอีกเลยนะครับ”
“ยังจำได้ใช่ไหมว่าฉันยังเป็นอาจารย์อยู่เนี่ย? ฉันไม่ได้อยากจะ…จริงๆฉันก็อยากกลับบ้านเร็วๆแหละ”
“อาจารย์เป็นคนที่ให้โอกาสผมมาเจิดจรัสด้านอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเรียนนะครับ ไม่ใช่ว่าผมออกไปแบบนี้มันเหมือนหักหลังกันหรอกเหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอก พอนายมาที่นี่ นายก็หมดความมั่นใจเรื่องเรียน แล้วฉันก็แค่ให้นายทำอะไรที่เติมเต็มช่องว่าง นั่นเท่านั้น”
“เติมเต็มช่องว่าง …งั้นที่ผมที่ทำมาโดยตลอดก็ไร้ค่างั้นเหรอ?”
ได้ยินความเห็นผมดังนั้น เสียงอาจารย์ชิบาโตะก็ทุ่มต่ำลงมาก
“ไม่อยู่แล้ว บื้อจริงนะ นายจะเติบโตเป็นผู้เป็นคนได้แน่นอนต้องขอบคุณงานนอกหลักสูตรนั่นล่ะนะ รับรองว่างานนี้ได้เอาประสบการณ์พวกนั้นไปใช้ประโยชน์ได้แน่ ”
“เติบโตเหรอ……ผมว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้นนะ”
“นายทำงานพวกนี้มาเป็นปีๆ นายต้องเติบโตขึ้นอยู่แล้ว ผลลัพธ์จะต้องผลิดอกออกผลเร็วๆนี้แน่ ฉันมั่นใจ”
“ถ้าพูดแบบนั้นล่ะก็…”
ผมยังไม่หนำใจเลย
ตอนนี้เองที่อาจารย์ส่งสายตาแปลกๆมาหาผม
“ถ้าจะให้เจ็บใจล่ะก็ คงเป็นเรื่องที่มีผู้หญิงทำให้นายมีแรงกระตุ้นอะไรแบบนั้นนั่นล่ะ ฉันว่าบางทีเด็กคนนั้นอาจจะมีความตั้งใจกว่าอาจารย์แก่ๆบางคนอีก พูแล้วก็อยากร้องไห้ชะมัด”
“…”
“นี่เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ ความรักน่ะควรเป็นสิ่งที่ซื่อตรงก็จริง การตั้งใจเรียนเพื่อผู้หญิงที่ชอบก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าพวกนายยังเด็กม.ปลายกันอยู่ จะปล่อยให้อารมณ์พาไปนิดๆหน่อยๆก็ได้”
“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะครับ แต่ก็ขอบคุณมากครับ”
ทำไมอาจารย์ชิบาโตะถึงมองผมออกถึงขนาดนี้กันนะ? อาการมันชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ถ้านายเลือกแล้วฉันก็จะไม่ยุ่ง แต่ว่าแยกแยะเรื่องเรียนกับความรักหน่อยน่าจะดีนะ”
“เข้าใจแล้วครับ คราวนี้ก็ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวทีเถอะ!”
“แล้วก็เพราะฉันมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่านายเยอะ ถ้านายรับคำแนะนำของฉันจะดีใจมากเลยล่ะ แต่…ก็นะ เดี๋ยวนายก็เรียนรู้จากประสบการณ์ได้เอง คุณลุงแบบฉันจะอยู่เงียบๆแล้วกัน”
ทั้งที่ไม่มีแฟนแท้ๆ แต่อาจารย์ก็ยังทำเป็นเท่ ทำเป็นรู้อีก แล้วพอผมจ้องด้วยสายตาหมดศรัทธา อาจารย์เขาก็โบกมือ
“เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เอาเป็นว่าฉันไปทำงานต่อดีกว่า แล้วก็ไม่มี ‘เดี๋ยวผมจะมาทำพรุ่งนี้’ แล้วนะ เข้าใจไหม?”
“คร้าบๆ”
ผมลุกขึ้นแล้วกล่าวขอบคุณเขา
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ อาจารย์”
“ขอบคุณที่คอยช่วยงานฉัน อย่างน้อยก็โผล่หน้ามาบ้างล่ะ จะใช้ห้องสัมภาษณ์ตามใจชอบก็ได้นะ”
ผมโค้งคำนับอย่างสุภพให้อาจารย์แล้วออกจากห้องแนะแนวอนาคต
ในช่วงม.ต้น มันมีการสอบซ่อมอยู่ ซึ่งทำให้ผมได้คะแนนระดับท๊อปของชั้นปี และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลที่ผมคิดว่าผมมีค่า ปีต่อมาผมก็ทำงานนอกห้องเรียนซะส่วนใหญ่ แต่ผมก็ไม่เคยมั่นใจขึ้นเลย
เอาจริงๆแล้ว ผมรู้สึกว่าไปทำงานอะไรพวกนั้นก็ไม่ได้อะไรต่างจากการเห็นชื่อผมโชว์หราอยู่บนจุดสูงๆ
ที่ผมต้องการตอนนี้คือความมั่นใจที่เห็นได้ชัด อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเคียงข้างเธอคนนั้นได้ อาจจะดูเป็นเหตุผลเห่ยๆ แต่นั้นก็คือสิ่งที่ผมต้องการ ผมตัดสินใจแล้วที่จะตั้งใจเรียนจนถึงที่สุดแม้ว่าผมจะเป็นอะไรไปก็ตาม เป้าหมายก็คืออันดับที่สูงกว่าคุณซาโกะในการสอบปลายภาคครั้งหน้า และเมื่อถึงตอนนั้น ผมจะสารภาพกับเธอเอง