คุณซาโกะผู้เพียบพร้อมอยากจะเป็นเหมือนอย่างผม - ตอนที่ 3: แล้วชอบกระโปรงแบบไหนเหรอ?
“ชุดเครื่องแบบของพวกผู้หญิงนี่ดูแปลกเนอะ ว่าปะ?”
บางครั้งบางคราว เจ้าทาคุมิก็โพล่งเรื่องประหลาดๆออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ผมก็มักจะสนใจแล้วตามน้ำไปเรื่อยแทบทุกครั้ง
“แล้วเครื่องแบบนั้นมันเป็นยังไงล่ะ”
ผมถามกลับเสียงเบา
ถึงตอนเช้าๆจะไม่ค่อยมีคนอยู่ในห้องก็เถอะ แต่ผมก็กลัวว่าพวกผู้หญิงจะมาได้เข้าอะนะ ถึงอย่างนั้นทาคุมิก็ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติ
“ทั้งๆที่พวกเครื่องแบบควรจะทำให้รู้สึกดูดีมีระเบียบแท้ๆ แต่ก็ดันให้ความรู้สึกน่าค้นหาในเวลาเดียวกันเลย”
ไม่เข้าใจเลยว่าพูดถึงเรื่องอะไร
“หมายถึงมันให้ความรู้สึกขัดแย้งกันงั้นเหรอ?”
“เครื่องแบบมีไว้เพื่อป้องกันความแตกต่าง แต่ก็ยังเอาไปปรับแต่งกันตามใจชอบใช่ไหมล่ะ?”
“ผมไม่คิดว่ามันถูกออกแบบให้ปรับแต่งได้ขนาดนั้นนะ”
“ไม่จริงซะหน่อย แล้วจะอธิบายเรื่องความยาวกระโปรงยังไงล่ะ?”
จู่ๆก็เข้าเรื่องกระโปรงเฉยเลย หวังว่าทาคุมิจะเงียบลงสักหน่อยนะ เพราะถ้ามีคนมาได้ยินรื่องที่เราพูดล่ะก็แย่แน่
“เหตุผลที่คนเราใส่กระโปรงสั้นๆ…นั้นสินะ คงเพราะอยากจะโชว์ให้ชาวบ้านรู้ว่าตัวเองดูดีมีสไตล์ อยากจะบอกว่าตัวเองมั่นใจในรูปลักษณ์ขนาดไหน ไม่ก็คงจะอยากหาเรื่องแหกกฏเฉยๆ”
“อะ-อืม”
“ขณะเดียวกัน กระโปรงยาวก็ให้ความรู้สึกเอาจริงเอาจังกับขยันขันแข็ง นั่นแหละคือวิธีรักษาบาลานส์ และเรื่องความสั้นยาวของกระโปรงก็ถูกกำหนดขึ้น”
“บาลานซ์สินะ…”
เข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“เอาง่ายๆ ถ้ามองไปกระโปรงของใครสักคน นายก็พอจะเดาอุปนิสัยของเจ้าตัวได้แล้ว ขณะเดียวกัน โรงเรียนก็เตรียมกระโปรงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ให้”
“นี่ผมฟังทฤษฎีสมคบคิดอะไรอยู่เนี่ย?”
“เอาล่ะ สึโยชิ คำถามหลักๆก็คือตัวนายน่ะชอบกระโปรงแบบไหน?”
เมื่อถูกทาคุมิถามแบบนี้ สิ่งแรกที่แล่นเข้าในหัวคือกระโปรงพลีทของคุณซาโกะ กระโปรงของหล่อนสูงเหนือเข่าแค่ไม่กี่ซม. ช่วยเน้นย้ำถึงอิมเมจแข็งขันและบริสุทธิ์ของเจ้าตัวเป็นอย่างดี ตลอดจนความน่ารักแบบผู้ใหญ่นิดๆหน่อยๆ แล้วพอพูดถึงกระโปรงของคุณซาโกะ ผมก็รู้สึกว่ามันสะท้อนถึงบุคลิกของเธอจริงๆ และด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมก็เริ่มรู้ซึ้งถึงปรัชญากระโปรงของเจ้าทาคุมิมันแล้ว…แต่ที่สำคัญที่สุด ทำไมผมถึงคิดถึงกระโปรงของคุณซาโกะกันล่ะเนี่ย?
“เห้ย สึโยชิ พอเห็นนายคิดจริงจังแบบนั้นแล้วฉันแหยงว่ะ”
“ฝ่ายถามก่อนคือนายไม่ใช่หรือไง?!”
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาว่าผมในเวลาแบบนี้ แต่ที่หมอนั่นพูดมันก็ไม่ผิด ตอนคุยเรื่องกระโปรงแล้วเงียบแบบนั้นมันก็ดูน่ากลัวจริงๆนั้นแหละ
“แล้วนายล่ะ ทาคุมิ นายชอบความยาวระดับไหน?”
“ฉันชอบแบบสั้นนะ แต่ถ้าสั้นเกินก็ไม่ไหว ฉันชอบแบบที่ลมพัดแล้วกกน.จะไม่โผล่น่ะ”
“ผมว่าคนที่น่าขยะแขยงมันทาคุมิมากกว่านะ”
พอการพูดคุยของพวกผมจบลง ประตูหน้าห้องก็ได้เปิดออก เผยบุคคลที่ได้มาถึงห้อง
แล้วคุณนิชิดะก็ส่งเสียงร้องกรี๊ด
“มาจิกะ?! นี่ไปเปลี่ยนอิมเมจมาแล้วเหรอเนี่ย?!”
ประโยคเพียงประโยคเดียวนั้น ได้รวบรวมความสนใจจากทั้งห้องมาไว้ที่เดียวกัน แล้วก็พบกับความจริงที่ว่า กระโปรงของคุณซาโกะสั้นกว่าปกติ 10 ซม. แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขัดต่อกฎของโรงเรียนแต่อย่างใด และเพราะกระโปรงมันคอยยังอยู่ตลอด ผมก็เลยพึ่งได้ความจริงอย่างนึงเอาตอนนี้ว่า คือคุณซาโกะนั่นมีขาที่สวยเรียวยาว ดูบอบบางแต่ก็ไม่ได้ดูผอมแห้ง แล้วยังต้นขาสีขาวนวลงดงามตระการตานั่นอีก
สายตาของผมได้ถูกขาคู่นั้นของคุณซาโกะดึงดูดอย่างสมบูรณ์ ถึงอย่างนั้นจะพูดแบบนั้น สติของผมก็ยังอยู่ดีครบถ้วน เพราะงั้นผมถึงรู้สึกผิดกับความต่ำช้าของตัวเอง แต่ทาคุมิก็ดูจะเห็นด้วยกับความคิดของผม ก็เลยจ้องขาของคุณซาโกะอยู่เหมือนกัน
“สวยจัง…”
หมอนี่ไม่คิดจะปิดบังสายตาตัวเองเลยสักนิด และเมื่อผมมองไปรอบๆห้อง เพื่อเช็คดูปฏิกริยาของผู้ชายคนอื่น สรุปคือเจ้าพวกนั้นก็จ้องคุณซาโกะตาเป็นมันกันแทบจะทุกคน-ใช่ รวมถึงผมด้วย แล้วนั้นก็นำมาซึ่งคำถามที่ว่า…ทำไมคุณซาโกะถึงใส่กระโปรงสั้นแบบนี้ ถ้าเหตุผลที่ทาคุมิพูดมันถูกล่ะก็ งั้นมันต้องมีนิสัยของคุณซาโกะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่
ตอนนี้คุณซาโกะกำลังคุยอะไรบางอย่างกับคุณนิชิโนะ และทุกครั้งที่เธอยิ้ม กระโปรงก็จะพริ้วไหวตามแรงลม
“นี่ทาคุมิ ถ้าเกิดว่าสามารถตัดสินนิสัยของคนคนนึงจากกระโปรงได้ล่ะก็ แปลว่าคุณซาโกะเปลี่ยนไปแล้วงั้นเหรอ?”
“เป็นคำถามที่ดี ฉันว่าต้องมีบางอย่างเปลี่ยนไปแน่เลยล่ะ”
พูดจบเจ้าทาคุมิก็ยิ้มกริ่มใส่ผม
“เรื่องที่เป็นไปได้ที่สุดก็คง…เป็นเพราะถูกผู้ชายที่ชอบปฏิเสธมาล่ะมั้ง?”
คำพูดนั่นทำเอาผมกลืนน้ำลาย เพราะผมรู้ว่าหมอนี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร ถึงผมจะไม่มีอะไรไปพูดตอบ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าการถูกปฏิเสธกับการทำให้กระโปรงสั้นลงมันเกี่ยวข้องกันตรงไหน แล้วพอผมมองไปที่คุณซาโกะเพื่อพยายามเดาความคิดเธอให้ออก ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง
อย่างที่สองที่ทำให้ผมยอมแพ้คือ ผมไปสบตากับคุณซาโกะเข้าให้ และด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมได้เห็นรอยยิ้มจางๆของเธอ ทำเอาตัวผมแทบจะกระเด้งออกโต๊ะเลยรีบมองไปทางอื่นทันที นี่คุณซาโกะ…รู้ว่าผมกำลังมองอยู่งั้นเหรอ? แต่ถ้าไม่ เธอก็คงจะไม่ยิ้มแบบนั้น…รึเปล่า?
จากนั้นออดก็ส่งเสียงดัง คาบเรียนตอนเช้าได้เริ่มขึ้นโดยที่ปริศนาในหัวผมไม่ได้รับคำตอบสักอย่างเดียว
ผมนั่งอยู่ที่แถวหลังสุดของห้องซึ่งติดกับหน้าต่างพอดี แล้วผมก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจ้องมองแผ่นหลังของคุณซาโกะอยู่ทั้งๆที่อยู่ในคาบ ผมเอาแต่คิดถึงเหตุผลว่าทำไมคุณซาโกะถึงใส่กระโปรงสั้นลง แต่จะอย่างไรก็ตามคำถามในหัวผมก็ยังไม่ได้คำตอบจนหมดเวลาสอนของคาบสุดท้าย
“ทาคุมิ คาบสุดท้ายเลิกแล้วนะ”
“อืม…อาา”
ผมเขย่าไหล่ของทาคุมิ ผู้หลับลึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขึนปล่อยไว้มีหวังหมอนี่ได้ไปซ้อมเบสบอลสายแน่ๆ
ทาคุมิค่อยเอาตัวลุกขึ้นแล้วขยี้ตา
“ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย…”
“เร็วเข้า ไม่งั้นจะเข้าชมรมสายเอานา”
“รับทราบ ว่าแต่นายกำลังไปที่ห้องแนะแนวใช่มะ?”
“อื้ม”
“พยายามเข้าล่ะ”
“ทางนั้นก็ด้วยนะ”
ผมปล่อยทาคุมิที่กำลังสะลึมสะลือแล้วก้าวออกจากห้อง จากนั้นเดินลงจากชั้นสามไปที่ชั้นสอง กว่าจะถึงห้องแนะแนวก็เดินผ่านนักเรียนคนอื่นนิดหน่อย
ห้องแนะแนวทางแผนในอนาคตเป็นห้องที่มีขนาดกลางๆ แต่เต็มไปด้วยชั้นวางกับตู้หนังสือ ก็เลยรู้สึกว่ามันดูแคบลงเยอะ แล้วก็สามารถยืมหนังสือแบบทดสอบเตรียมเข้ามหาลัยหรือหนังสืออ้างอิงได้ด้วย ตลอดจนเอกสารเกี่ยวกับมหาลัยก็ยังมี ซึ่งโรงเรียนนิชิจินเป็นที่โรงเรียนมีชื่อเสียงในระดับเขต ก็เลยมีการสนับสนุนด้านการเลือกอนาคตอย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการสอบเข้ามหาลัย กลับกันผมเรียกหาคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลังตู้หนังสือแทน
“อาจารย์ชิบาโตะ สวัสดีครับ”
“โอ๊ะ มาแล้วสินะสึโยชิ”
ผู้ชายผมกระเซอะกระเซิงหยุดทำงานแล้วหันมามองผม อาจารย์ชิบาโตะเป็นอาจารย์ที่มีหน้าที่ดูแลห้องแนะแนว แล้วเขาก็เป็นอาจารย์ประจำชั้นของผมตอนอยู่ปีหนึ่งด้วย ลักษณะเด่นคือเป็นคนที่ดูจืดๆและไม่ดูแลตัวเองเท่าไร เขาจะโกนหนวดทุกๆสองวัน ซึ่งวันนี้ไม่ใช่หนึ่งในวันที่เขาโกน แล้วถึงไม่นับความรู้สึกซกมกจากตัวเขา แต่เขาก็ดูแก่เกินไปสำหรับอายุคน 20 ปลายๆ
ผมเดินผ่านตู้หนังสือที่รายล้อมราวกับหุบเหว แล้วเดินเข้าไปที่โต๊ะของอาจารย์ ถึงตรงนั้นจะมีโต๊ะถึง 4 โต๊ะในสภาพพร้อมใช้ ปกติผมก็เคยเห็นแต่อาจารย์ชิบาโตะที่อยู่ที่นี่เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่จะไปนั่งกันที่ห้องพักอาจารย์ซะมากกว่า อาจารย์ชิบาโตะเป็นพวกที่ทำอะไรพิลึกๆ เลยมีปัญหากับอาจารย์คนอื่นอยู่บ่อยครั้ง นั้นทำใหเขาต้องหนีออกมาจากห้องพักอาจารย์แล้วหลบอยู่ที่ห้องแนะแนวแทน ส่วนหตุผลที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อช่วยเขาเรื่องงานกับเรื่องทำความสะอาด
ตามที่อาจารย์บอก ภาระงานของอาจารย์ที่ปรึกษาอนาคตนั้นค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
ทันทีที่เลิกเรียนในวันนั้นผมก็มักจะมาช่วยงานที่นี่เสมอ ถึงจะบางงานมันก็เป็นงานที่อาจารย์ทำได้แต่อาจารย์ยังโยนมาให้ผมก็เถอะนะ และนี้ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่ห้องพักอาจารย์ไม่ได้
แล้วก็อย่างที่คิด อาจารย์ก็โยนกองเอกสารมาให้ผมอีกตามเคย
“วันนี้ ฉันอยากให้นายเอาเอกสารพวกเข้าแฟ้มหน่อย เรียงตามวันที่ด้วยนะ”
“ไม่เยอะไปหน่อยเหรอครับเนี่ย?”
“อย่าบ่นนักเลยน่า ฉันแค่อยากกลับบ้านเร็วๆเท่านั้นเอง”
“นั่นใช่คำที่คนเป็นอาจารย์ควรพูดเหรอครับ?”
นี่ก็น่าจะราวปีนึงได้แล้วล่ะมั้งที่ผมมาช่วยงานของอาจารย์ที่นี่ ส่วนเหตุผลที่ผมต้องมาช่วย มันก็เริ่มจากสาเหตุแปลกๆล่ะนะ
ฤดูร้อนตอนปีหนึ่ง ผมดันสอบตกในการสอบครั้งแรกๆ คะแนนทุกวิชาต่ำเตี่ยเรี่ยดิน
แล้ววิชาภาษาอังกฤษผมได้ที่โหล่ของชั้นปีจากนักเรียน 280 คน แล้วมันก็มีบทลงโทษสำหรับคนที่เป็นที่โหล่อยู่ หรือก็คือแม้แต่โรงเรียนระดับสูงแบบนี้มันก็มีการไล่ออกเหมือนกัน ซึ่งก็อาจจะเป็นผมเองที่เป็นคนโดน ผมเลยมาขอคำปรึกษากับอาจารย์ชิบาโตะที่ห้องแนะแนวแห่งนี้
“ตอนม.ต้นผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างขยันอยู่พอตัวแท้ๆ แต่พอขึ้นม.ปลายมาก็เจอปัญหาเยอะแยะไปหมด จนผมเริ่มจะเสียความมั่นใจในตัวเองแล้วครับ”
ขณะที่ถูกล้อมรอบไปด้วยโต๊ะ อาจารย์ชิบาโตะพยักหน้า
“นั้นสินะ ที่นี่มีคนที่ขยันขันแข็งกับพวกมีพรสวรรค์อยู่เต็มไปหมด เพราะงั้นนายก็เลยรู้สึกว่าถูกทิ้งอยู่ข้างหลังคนเดียวสินะ”
“ใช่แล้วครับ อย่างน้อยๆผมก็ไม่อยากถูกทิ้งไว้”
“อืมมม…”
อาจารย์ทำท่าครุ่นคิดอยู่สักครู่นึง
หลังจากเงียบมาได้สักพัก อาจารย์ก็ลุกแล้วไปหยิบกองกระดาษขึ้นมา
“นี่คือรายชื่อของมหาลัยที่นักเรียนที่จบการศึกษาแล้วของโรงเรียนเราตั้งใจจะไปเรียนต่อ”
เขาวางกองกระดาษนั้นไว้ตรงหน้าผม
“ช่วยแยกระหว่างพวกที่มีที่เรียนแล้วกับเด็กซิ่วทีจะได้รึเปล่า สรุปยอดให้ด้วย จะใช้ปากกาตรงนั้นก็ได้นะ”
“ค-ครับ…”
ตามสถานการณ์ไม่ทันแล้ว นี่เราถูกโยนงานมาให้เหรอ? ทั้งๆที่มาขอให้ช่วยเนี่ยนะ? แล้วก็นักเรียนอย่างเราต้องไปตรวจเอกสารพวกนี้จริงดิ?
“ยังไงก็เถอะ จัดการเอกสารพวกนั้นให้เสร็จก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันต่อ”
“…เฮ้ออ เข้าใจแล้วครับ”
ในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าอาจารย์จะเป็นคนที่ไม่สนโลกและไร้ความรับผิดชอบขนาดไหน ผมก็เลยรับงานมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
เวลาผ่านไปสักพัก ผมก็ทำงานเสร็จ
“อาจารย์ ผมทำเสร็จแล้วครับ”
“เอาจริงอะ! ยะฮู้ว เท่านี้ก็กลับได้บ้านไวสักที”
อาจารย์พูดพร้อมกับเก็บของบนโต๊ะ
“เดี๋ยวก่อนสิครับ แล้วคำแนะนำของผมล่ะ?!”
อาจารย์ชิบาโตะหยุดชะงัก
“อา นั้นสินะ เกือบลืมไปเลย ฮะๆๆ…”
พอผมจ้องไปที่เขา เขาก็เอามือไปเกาหัวแบบเก้ๆกังๆ
“ก็แบบว่า เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันโยนงานให้นักเรียนได้จริงๆน่ะ”
“ขอกลับตอนนี้เลยได้ไหมครับ?”
“เดี๋ยวสิ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญนา ที่โรงเรียนนี้น่ะ มันก็เป็นเรื่องปกติที่ยิ่งผลการเรียนดีมันก็ยิ่งดีใช่ไหมล่ะ นายเองก็กังวลเรื่องนั้นอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
ผมทิ้งตัวกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง
“รู้รึเปล่า จริงๆนี่เป็นฌรงเรียนท่สามแล้วที่ฉันได้มาสอน แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบที่นี่นักหรอก”
“…ทำไมล่ะครับ?”
“ก็เด็ที่นี่ตั้งใจเรียนกันหมดเลยนี่ อาจจะเป็นห่วงตรงนี้บ้างตรงนั้นบ้าง แต่พวกนั้นก็รู้ดีว่าการเรียนเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ”
“คือจะบอกว่าการเรียนมันไม่สำคัญเหรอครับ? ทำไมเป็นแบบนั้นกันล่ะครับ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงนักเรียนที่ขยันเกินไปมันน่าเบื่อต่างหาก มันไม่มีอะไรให้ฉันทำสักอย่างเดียว เพราะงั้นฉันเลยโล่งใจที่ได้เจอกับนักเรียนที่มีปัญหา และถ้าจะให้ตอบคำถามนายก็…ใช่ การเรียนน่ะสำคัญมากๆ”
“…”
“อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ของจริงมันเริ่มต่อจากนี้”
อาจารย์กระแอม แล้วพูดต่อ
“ว่าแต่รู้สึกยังไงบ้างล่ะที่มาทำงานที่ห้องแนะแนว?”
“รู้สึก…ยังกับทาสเลยครับ”
“ฮะๆ ก็คงจะอย่างนั้น ยังไงก็ตาม ไอ้พวกข้อมูลที่นายทำน่ะจะถูกเอาไปจัดเก็บที่โฮมเพจเพื่อให้ผู้สมัครกับผู้ปกครองมาดู เป็นเหมือนกับแสงนำทางให้กับคนที่พึ่งจบจากมัธยมต้น และเพราะนายช่วยฉัน ฉันก็เลยได้กลับบ้านไว กะว่าจะทำมื้อเย็นกินเองด้วย ฟังดูเจ้าท่าไหมล่ะ?”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…”
“ที่จะสื่อก็คือ นายได้ช่วยใครสักคนไว้ สึโยชิ ไม่มว่านายจะเรียนเก่งขนาดไหน แต่ก็ใช่ว่าจะถูกใช้งานได้ทันที เพราะงั้นสิ่งที่นายทำน่ะมันยอดเยี่ยมมาก ถึงจะมีผลการเรียนที่ไม่ดี แต่นายก็เป็นผู้ช่วยที่ดีได้ไม่ใช่รึไง นายควรมั่นใจในตัวให้มากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
นั้นมันแค่งานเบ็ดเตล็ดไม่ใช่เรอะ เพราะงั้นผมถึงไม่เข้าใจว่ามันช่วยให้ผมมั่นใจในตัวเองมากขึ้นได้ยังไง ยังไงก็ตามเรื่องที่ได้ช่วยเหลือผู้คนนั้นเริ่มจะเข้ามาสะกิดใจผม ใช่ว่าความกลัวที่มีต่อเกรคของผมจะหายไปเลย แต่อย่างน้อยๆมุมมองของผมก็เปิดกว้างขึ้นแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะยอมรับได้ทันที ผมก็เลยตอบกลับไปด้วยความกระด้างกระเดื่อง
“ถึงจะพูดแบบนั้น การเรียนก็ยังเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่เหรอครับ? ผมอาจได้ช่วยคนอื่น แต่เกรดผมก็ไม่ได้ดีขึ้นสักหน่อย”
“มันก็ถูกของนาย แต่ถ้านายอยากให้ผลการเรียนดีขึ้น ก็มีแต่ต้องตั้งใจเรียนนั้นแหละ”
คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยแม้แต่นิดเดียว รู้สึกเหมือนตาตัวเองกลายเป็นจุดโง่ๆยังไงไม่รู้ ผมมาที่นี่เพราะอยากจะคำแนะนำที่แก้ไขความกังวลของผมได้ แล้วพอโดนบอกให้ ‘ตั้งใจเรียนสิ’ แบบนี้มันไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรได้เลย ขณะที่ผมกำลังอยากจะบ่นอาจารย์อีกสักยก อาจารย์ก็พูดต่อ
“แต่นายไม่ได้เป็นห่วงเรื่องผลการเรียนแย่สักหน่อยนี่ ใช่ไหมล่ะ? นายก็แค่เกลียดตัวเองที่ไม่พรสวรรค์หรือทักษะพิเศษอะไรเลย ถึงยังไงมันมันก็มีวิธีแก้อยู่ การช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“งั้นความกังวลใจของผมจะถูกแก้ไขถ้าผมช่วยทำงานเบ็ดเตล็ดอีกเหรอครับ?”
“ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับตัวนายเอง สึโยชิ แต่มันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ? ถึงอย่างนั้นจะทิ้งการเรียนเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน”
สุดท้ายแล้วมันก็ยังเกี่ยวกับการเรียนสินะ? แต่อย่างน้อยผมก็คงจะได้รับบางสิ่งกลับมาเช่นกัน ถึงจะหวังพึ่งอาจารย์ชิบาโตะที่โยนงานมาให้นักเรียนไม่ได้มากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ดูเป็นคนไม่ดี
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ”
“โอ้ว มันช่วยได้เหรอเนี่ย”
“คงประมาณครึ่งนึงได้ล่ะมั้งครับ”
ด้วยเหตุนี้ การแนะนำของผมก็ได้จบลง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอาจารย์ชิบาโตะก็เช่นกัน ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ แต่ผมก็มาที่ห้องแนะแนวอีกหลังจากนั้น แล้วพออาจารย์เห็นว่าผมมา อาจารย์ก็มีแววตาสับสน
“ว่าไง มีอะไรมากวนใจอีกล่ะ?”
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่สงสัยว่ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยอาจารย์ได้รึเปล่าน่ะครับ”
แล้วพอผมพูดแบบนั้นสีหน้าของอาจารย์ก็ผ่องใสขึ้นทันตา
“จริงเหรอ? งั้นวันนี้ฉันก็กลบเร็วได้อีกแล้วน่ะสิ!”
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมโผล่หน้ามาที่ห้องแนะแนวของอาจารย์บ่อยๆ ไม่ใช่เพราะถ้าทำแบบนี้จะทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเด็กธรรมดาที่เรียนไม่เก่งได้ แต่จากคำพูดของอาจารย์
ผมคิดว่าผมอาจกลายเป็นคนที่พิเศษสักเรื่องแม้ไม่ใช่เรื่องเรียนได้ บางทีสักวันนึงผมอาจจะมั่นใจในตัวเองได้มากกว่านี้ แล้วด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปนิดหน่อย
ผ่านประมาณปีนึงแล้วตั้งแต่ตอนนั้น อาจารย์ชิบาโตะเองก็ไม่ได้เป็นครูประจำชั้นของผมอีกต่อไป แต่ผมก็ยังมาช่วยงานเขาบ้างเป็นครั้งคราว พูดไม่ได้เต็มปากว่าผมมีความมั่นใจมากขึ้น ถึงอย่างนั้นผมก็เชื่อในวันเวลาที่ผมสละไป และเพราะแบบนั้นผมถึงมาทำงานเยี่ยงทาสอีกในวันนี้
“อาจารย์ ผมขอใช้ห้องสัมภาษณ์ได้ไหมครับ?”
“ได้สิ เปิดอยู่พอเลย”
ห้องแนะแนวทางแผนในอนาคตอยู่ติดกับห้องเล็กๆที่ใช้เป็นสถานที่ซ้อมสัมภาษณ์ แต่ก็ไม่มีใครที่เป็นเจ้าของห้องนี้ ทำไห้ผมสามารถใช้ได้ตามใจชอบ ผมเลยจะมาทำงานที่ห้องนี้เป็นประจำ พอรับเอกสารกับแฟ้มมาจากอาจารย์แล้วเปิดประตู ก็เจอโซฟา 2 ตัวที่มีพื้นที่เพียงพอที่จะให้คน 2 คนนั่งหันหน้าเข้าหากันได้ โดยมีโต๊ะเตี้ยๆคอยคั่นกลางอยู่ ที่จริงผมเคยใช้โซฟาพวกนี้เป็นที่นอนด้วยล่ะนะ
ผมนั่งลงบนโซฟาตัวนึง แล้วก็เริ่มทำงาน วันนี้ที่ต้องทำก็จัดเอกสารง่ายๆเท่านั้น ซึ่งก็ไม่เลว ที่ต้องระวังคือการเขียนวันที่ผิดเท่านั้น และหลังจากผมเริ่มทำงาน จู่ๆประตูห้องก็เปิดออก ตอนแรกผมนึกว่าเป็นอาจารย์ชิบาตะ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาดู คนที่ผมเห็นกลับกลายเป็นคุณซาโกะซะงั้น
“เจอตัวแล้ว!”
กระโปรงของคุณซาโกะสั้นลงกว่าเดิม ตอนตอบกลับ ผมเลยพยายามสุดชีวิตที่จะไม่มองต้นขาของเธอ
“มีอะไรเหรอ? ต้องการอะไรรึเปล่า?”
“พอดีฉันยังมีเวลาว่างก่อนชมรมจะเริ่มนิดหน่อยน่ะ เลยอยากมาคุยกับสึโยชิคุงสักนิดนึง นี่ฉันมารบกวนอะไรรึเปล่า?”
“ไม่เป็นไรหรอก เชิญตามสบาย…”
ถึงผมจะตอบกลับนิ่งๆแบบนั้นก็เถอะ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ คุณซาโกะมีเพื่อนตั้งเยอะแยะ เพราะงั้นไม่เห็นมีเหตุผลเลยที่จะมาหาผมแบบนี้
“กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”
คุณซาโกะถามขณะนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามผม
“อาจารย์ขอให้ผมจัดแฟ้มพวกนี้น่ะ”
“ขยันขันแข็งเหมือนทุกทีเลยนะ สมกับเป็นสึโยชิคุง”
“ก็…เป็นเรื่องที่ผมพอจะทำได้ล่ะนะ”
พอบทสนทนาของพวกเราจบลง คุณซาโกะก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ว่าแต่ว่า คิดว่าวันนี้ฉันเปลี่ยนไปรึเปล่า?”
พอได้ยินแบบนั้นมือไม้ผมก็อ่อนจนเกือบทำแฟ้มหลุดมือ ตอนนี้คุณซาโกะกำลังพูดถึงกระโปรงของตัวเองแน่ๆ คงเพราะรู้ว่าผมแอบมองมันไปตั้งขนาดไหน
เหงื่อเย็นไหลผ่านหลังผมจนสันหลังวาบ เอาเถอะ จะปิดบังไปคงไม่ช่วยอะไร เพราะงั้นก็พูดเจาะประเด็นเลยแล้วกัน
“หมายถึงที่กระโปรงของคุณซาโกะสั้นลงเหรอครับ?”
“สังเกตด้วยสินะ? ก็ เอาแต่มองทั้งวันเลยนี่เนอะ”
รู้ตัวจริงด้วยวุ้ย!
มือผมกำลังสั่นสะท้านแถมเหงื่อยังโชกอีกต่างหาก แต่ผมก็ยังทำงานของผมต่อไป ตอนนี้อาจจะช้าไปหน่อย แต่ต้องสงบจิตสงบใจเอาไว้
“ทุกคนน่าจะรู้แหละ ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยนี่”
“ก็จริงนะ ถ้าสั้นลงขนาดนี้ คงไม่มีทางไม่รู้อยู่แล้ว”
คุณซาโกะพูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ ทำให้ผมเขินขึ้นไปอีก
“คุณซาโกะ นี่มาเพื่อแหย่ผมเล่นงั้นเหรอ?”
“นั้นสิน้า ใครจะรู้”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เจ้าตัวก็ค่อนข้างยอมรับแล้ว สรุปคือที่ใส่กระโปรงสั้นมาก็เพื่อแหย่ผมเล่น? ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ให้สมองมีสมาธิมากขึ้น จากนั้นก็นั่งทำงานต่อ ถ้าผมไปสบตากับคุณซโกะตอนนี้ล่ะก็ มีหวังโดนเธอรังแกแน่ แล้วยังกับอ่านใจผมออก คุณซาโกะเปล่งเสียงหวาน
“สงสัยจังเลยว่าสึโยชิคุงเนี่ย-”
คุณซาโกะค่อยนั่งไขว้ห้าง ราวกับต้องการจะโชว์ขาแสนงดงามนั้น
“ระหว่างกระโปรงยาวกับกระโปรงสั้น ชอบแบบไหนมากกว่ากันเหรอ?”
พอนั่งไขว้ห้างแบบนั้น ทำให้กระโปรงยกขึ้น แค่นั้นไม่พอยังหันหน้ามาหาผมอีก จนผมเกือบจะเห็นบางสิ่งที่ไม่ควรเห็น ผมพยายามจ้องไปที่เอกสารตรงหน้าผมแบบไม่ละสายตา แล้วตอบคำถามนั้นไป
“ผมชอบกระโปรงยาว”
“ทำไมถึงชอบล่ะ?”
“…เพราะมันทำให้ดูขยันแล้วก็จริงจัง ผมคิดว่ามันเหมาะกับคุณซาโกะมากกว่านะ”
“เฮ…งั้นเหรอ…”
ผมรู้ว่าผมพูดเรื่องแปลกๆออกไป ในฐานะผู้ชายคนนึง สายตาผมย่อมถูกดึงดูดด้วยกระโปรงสั้นอยู่แล้ว ประเด็นคือ ต้นขาของคุณซาโกะดันเป็นพิษต่อสายตาของผม พอมานั่งคุยกันแบบนี้ ผมไม่รู้เลยว่าจะเอาสติสตางค์ไปไว้ที่ไหนดี นั้นแหละที่ทำให้ผมอยากจะเปลี่ยนกระโปรงของเธอ
“ชอบกระโปรงยาวมากกว่าจริงๆเหรอ?”
คุณซาโกะขยับขาเพื่อเปลี่ยนท่าทาง สายตาของผมถูกดึงดูดไปจนเกือบสมบูรณ์ แต่ผมยังพอประคองสติได้อยู่
“ชอบแบบยาวมากกว่าแน่นอน”
ผมพูดอย่างมั่นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อ๊ะ ถึงเวลาแล้วเหรอเนี่ย”
จู่ๆคุณซาโกะก็ลุกขึ้น
“ฉันต้องไปชมรมแล้วล่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“อืม ไว้เจอกัน…”
ในที่สุดก็จะได้หายใจทั่วท้องสักที ทว่า
พักหายใจได้ไม่ทันไร คุณซาโกะดันไปหยุดอยู่ที่หน้าประตู
“ถ้าชอบแบบยาวๆล่ะก็ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะใส่สั้นมาอีกแล้วกัน”
คุณซาโกะยิ้มให้ผมก่อนจะออกจากห้องไป
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย…?”
ผมบอกว่าชอบแบบยาวๆแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงตอบแบบนั้นกันนะ? ไม่เข้าใจเลย
จนสุดท้าย สาเหตุที่คุณซาโกะแปลกไปก็ยังเป็นปริศนา แล้วคำพูดสุดท้ายอขงเธอก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผม
ผมเลยหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วส่งข้อความหาทาคุมิ
‘ทฤษฎีกระโปรงของนายมันอาจจะผิดก็ได้’
ทาคุมิอาจจะแก้ปริศนานี้ได้ก็ได้ ผมส่งข้อความนี้ด้วยความหวัง
…
หลังจากที่ฝนตก สิ่งที่ฉันพบคือฟ้ายามเย็นที่งดงาม แม่น้ำไหลผ่านย่านที่อยู่อาศัยที่ถูกสร้างขึ้น กระนั้นกระแสน้ำก็ยังสงบนิ่ง มันจึงสะท้อนแสงอาทิตย์อย่างสวยงาม
การซ้อมวงดุริยางค์ค่อนข้างจะหนักพอสมควร แต่พอเจอสายลมยามเย็นที่เย็นสบายแบบนี้ ความเหนื่อยล้าก็เหมือนกับถูกพัดหายไปตามสายลม
“มาจิกะ ไอ้นั่นดีขึ้นรึยัง?”
คนที่เดินตามแม่น้ำไปด้วยกันกับฉัน มายุโกะ-นิชิดะ มายุโกะเอ่ยถาม
“อืมมม…ฉันเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ”
เพราะเราเล่นเครื่องดนตรีคนละอย่างกัน บางทีมายุโกะคงจะไม่รู้รายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ แต่ขลุ่ยของฉันตอนนี้เสียงมันทั้งแปลกทั้งแห้ง ดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรนิดหน่อย ขณะเดียวกันมายุโกะก็จ้องมาที่หน้าของฉัน
“แล้วเรื่องสึโยชิล่ะเป็นไงบ้าง? เห็นเธอลองทำทุกวิธีทางเลยนี่”
“ฉันว่าได้ผลล่ะ”
“อืมมม…”
เพราะเราอยู่ด้วยกันมานาน ฉันเลยบอกเรื่องความรักกับเรื่องอะไรต่อมิอะไรกับหล่อนไปหมด เป็นเพื่อนที่ฉันเชื่อใจที่สุดเลยล่ะ
“จะว่าไป เธอไม่เคยบ่นหรือตั้งคำถามเรื่องที่ฉันเลือกสึโยชิคุง’เลยนี่เนอะ?”
“หืม?”
“แบบว่าปกติเธอจะบอกว่า’อย่าไปยุ่งกับหมอนั่นเลย’อะไรแบบนั้นไง”
ฉันถูกสารภาพมาค่อนข้างบ่อยเลยในชีวิตนักเรียนนี้ และทุกครั้งฉันก็จะไปถามความเห็นจากมายุโกะ ซึ่งเธอก็จะบอกเสมอว่าปฏิเสธเจ้านั่นไปเถอะ
“เพราะสึโยชิดูเป็นคนดีไงล่ะ เพราะงั้นเลยยอมปล่อยๆไป จริงๆแอบเอาใจช่วยทั้งสองคนเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมเป็นงั้นล่ะ?”
“ก็เคยเล่าไปแล้วไม่ใช่เรอะ”
“ก็อยากฟังอีกรอบอ่า”
“ก็ได้ๆ คือพวกเราเคยอยู่ห้องเดียวกันตอนอยู่ปีหนึ่ง เพราะงั้นฉันเลยรู้ว่าหมอนั่นทำงานหนักแค่ไหนทั้งในฐานะกรรมการห้องและระหว่างช่วงงานเทศกาลโรงเรียน หมอนั่นเองทำหลายๆอย่างโดยไม่หวังอะไรหวังแค่อยากให้ทุกคนมีความสุขแค่นั้น ฉันเลยคิดว่าหมอนั่นต้องเป็นคนดีแหงๆ”
“อย่างงั้นเองเหรอ ฟังดูก็เหมือนสึโยชิคุงจริงๆด้วย”
“ถึงหมอนั่นจะดูเป็นพวกจืดจางที่นั่งตามมุมห้องก็เถอะ แต่จริงๆก็แค่เป็นพวกที่ไม่อยากออกแรงโดยไม่จำเป็นเท่านั้นแหละ ”
วันนี้สึโยชิคุงก็ไปช่วยงานที่ห้องแนะแนว งานอาจจะดูงาน แต่การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ถึงอย่างนั้นสึโยชิคุงก็ใจดีพอจะทำแบบนั้น
“นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เธอชอบสึโยชิเหรอ มาจิกะ”
มายุโกะยิ้มกริ่มแล้วมองมาที่ฉัน
“ไม่เอาน่า อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ”
หน้าของฉันเริ่มจะร้อนจี๋ขึ้นมา ฉันเอามือพัดอากาศเย็นๆใส่ตัวเองขณะที่มายุโกะถามอีกคำถาม
“เออ จะว่าไปที่เธอใส่กระโปรงสั้นลงมีผลอะไรไหม?”
“แน่นอน ถึงสึโยชิคุงจะบอกว่าชอบกระโปรงที่ยาวกว่านี้ก็เถอะ แต่ฉันว่าใส่สั้นนี่แหละเป็นตัวเลือกที่ถูกแล้ว ตอนคุยกันเขาไม่แม้แต่จะกล้าสบตาด้วยซ้ำ”
“แน่ใจนะว่าหมอนั่นไม่ได้แค่เขินเฉยๆอะ?”
“ไม่อยู่แล้ว”
มายุโกะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ฉันก็ยังคิดว่าการรุกแบบนั้นเป็นการเดินเกมที่ผิดอยู่ดีแฮะ”
“จริงเหรอ?”
“สึโยชิอาจจะปฏิเสธเพราะเธอสมบูรณ์แบบเกินไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลายเป็นผู้หญิงต่ำตมได้นะ”
“แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้น ฉันก็คบกับสึโยชิคงไม่ได้น่ะสิ”
“เธอน่ะใสซื่อเกินไปแล้วมั้งมาจิกะ จะรุกมันก็ได้ แต่ปกติกว่านี้หน่อย ให้ตายเถอะทั้งที่เรื่องเรียนฉลาดเอาฉลาดเอาแท้ๆ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องความรักดันเป็นยัยบื้อได้ล่ะเนี่ย?”
“ไม่ได้บื้อสักหน่อย”
“ฟังนะเป็นคนขยันกับจริงจังมันก็ดี แต่เธอจะไปไกลเกินไปแล้ว ฉันเป็นห่วงตรงจุดนี้ และเธอก็พอจะรู้ตัวเองใช่ไหม?”
“มันก็จริง แต่…”
ฉันสมบูรณ์แบบทุกอย่างไม่ว่าทำอะไร และมายุโกะก็รู้ว่าฉันเป็นคนแบบไหน
“ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเธออยากจะคบกับสึโยชิจริงๆล่ะก็ อย่าทำอะไรแปลกอีกจะดีกว่านะ”
“หว่าาาาา ฉันว่าฉันทำดีแล้วแท้ๆ”
“คิดเองเออเองดีแท้หนอ”
มายุโกะถอนหายใจ
ฉันรู้สึกว่าวันนี้สึโยชิคุงออกจะตอบสนองดีแท้ๆ ถ้าฉันทำลายอิมเมจสมบูรณ์แบบของตัวเองไปเรื่อยๆล่ะก็ สึโยชิคุงจะต้องยอมรับฉันแน่ ถึงอย่างนั้นมายุโกะก็ยังส่ายหน้า
“ฉันว่าอย่าไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ชินเลย ใส่กระโปรงก็เรื่องนึงละ ต้องเคลื่อนไหวแบบระมัดระวังมากขึ้นนะ”
“ผู้หญิงที่ใส้สั้นกว่าฉันก็มีเยอะแยะเลยนะ?”
“งั้นคงไม่ลือใช่ไหมว่าพวกนั้นใส่สั้นเป็นประจำอยู่แล้ว?”
“ฉันก็ระวังมากขึ้นแล้วนะ?”
“โอ๊ย อยากจะบ้า…”
มายุกะเอามือมาหยุมผมตัวเอง
แล้วเธอเงยหน้าขึ้น จู่ก็พึมพำออกมา
“…สีน้ำเงิน”
“น้ำเงิน?”
“กางเกงในของเธอวันนี้ไงมาจิกะ! พอเห็นเธอใส่กระโปรงสั้นขนาดนี้ นึกว่าจะนุ่งซัพในสั้นๆทับมาข้างใต้ซะอีก!”
“หะหะหะ-เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?! เดี๋ยวนะ วันนี้เราใส่สีน้ำเงินงั้นเหรอ?!”
“อย่างน้อยๆก็ช่วยจำจุดนั้นหน่อยเถอะ!”
เดี๋ยวนะ ถ้างั้นหรือว่าบางทีสึโยชิคุงก็เห็นตอนอยู่ในห้องแนะแนวทางแผนในอนาคตแล้วสิ พยายามจะรุกเขาพร้อมกับซ่อนไอ้นั่นแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังโดนเห็น…
“อันนี้ขอถามเลยนะ ว่าพรุ่งนี้จะเอาไง? จะสั้นอย่างนี้อะนะ?”
“ฉันจะกลับไปใส่แบบเดิม…”
“ดีมาก”
พระอาทิตย์ตกดินที่หลังภูเขา ความมืดเข้าครอบงำทางริมน้ำที่ฉันเคยเดินผ่าน แต่ฉันก็โล่งใจที่ไม่มีใครเห็นใบหน้าเขินอายแดงแปร๊ดของฉันได้