ตอนที่ 13
ในห้องที่มีแสงสลัวๆที่ปิดผ้าม่านเอาไว้ ได้ยินแค่เสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น หลายสิ่งหลายอย่างมนเต็มหัวผมไปหมด ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเทศกาลฤดูร้อนเมื่อวาน จนทำให้ผมนอนไม่ค่อยจะหลับเลย ได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงทั้งคืน พอเอามือถือที่ชาร์จทิ้งไว้จนถึงตอนนี้มาดู ก็ไม่เห็นข้อความใหม่บนหน้าจอเลยสักข้อความเดียวจนผมได้แต่ถอนหายใจ
แค่นั้นยังไม่พอ คุณซาโกะไม่ได้ติดต่อมาหาผมเลยตั้งแต่งานเทศกาลนั่น ไม่แม้แต่อ่านข้อความด้วยซ้ำ ปกติถ้าตื่นก็จะตอบผมในเวลาไม่ถึงชั่วโมงแท้ๆ
ผมกำลังกังวล กังวลว่าผมอาจจะไปทำอะไรสักอย่างให้เธอเกลียด หรือบางทีเธออาจจะเคืองที่ผมไม่สังเกตุเรื่องที่เธอเจ็บเท้ากันนะ?
ถ้าเป็นอย่างงั้น สิ่งที่ผมคิดได้ก็มีแต่ไปเจออุบัติเหตุไม่ก็ป่วยแบบกะทันหันเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่อะไรที่จะคิดไม่ถึง แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงผมก็ยังกังวลเรื่องคุณซาโกะอยู่ดี ผมส่งข้อความไปหาเธอว่า ‘ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ ช่วยบอกผมทีนะ’ จากนั้นก็เอามือถือไปวางทิ้งไว้อีกครั้ง
ตอนนี้ สิ่งที่ทำได้มีแค่รอคุณซาโกะตอบกลับเท่านั้น คิดไม่ออกเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ผมคงทำได้แค่ภาวนาให้เรื่องนั้นถูกแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น
ผมกลิ้งไปมาอีกหนึ่งตลบ แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัว ผมว่าผมจะหลับได้มากกว่านี้ได้แหละ และเนื่องจากผมยังเหนื่อยอยู่เลยทำให้สติผมล่องลอยไปในทันที ยังไงก็เถอะ ก่อนที่ผมจะได้หลับไปจริงๆ ผมก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากมือถือผม จำได้มาไม่ได้ตั้งแจ้งเตือนอะไรไว้นี่นา มีคนโทณมางั้นเหรอ? พอผมเอาขึ้นมาดู ก็พบว่าคนที่โทรมาคือคุณนิชิดะนั่นเอง แล้วผมก็ไม่คิดนี่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญด้วย ผมเลยพุ่งตัวลุกจากเตียง
“ฮัลโหล ผมสึโยชิเองนะ”
(จะไม่ไปส่งเจ้าตัวหน่อยเหรอ?)
เสียงของคุณนิชิดะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ถึงจุดที่ทำให้เธอไม่แม้แต่จะบอกชื่อก่อนด้วยซ้ำ
“คือว่า มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
(ฉันบอกว่าให้นายมาส่งมาจิกะไง กล้าดียังไงถึงแกล้งบื้อแบบนั้นห๊ะ?)
ผมไม่รู้จริงๆว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่ รู้แค่ว่ามันเดี่ยวกับคุณซาโกะเท่านั้น
“หมายความไงที่ว่าไปส่งน่ะ?”
(ลืมไปว่ามันเป็นวันนี้หรือยังไง?)
“ไม่ นี่ผมไม่รู้จริงจังนะ ผมไม่เลยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร…”
ทันทีที่ผมพูดจบ คุณนิชิดะก็สูดหายใจเข้า
(…อย่าบอกนะ ว่ามาจิกะไม่ได้บอกเรื่องที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศน่ะ?)
“เรียนต่อต่างประเทศ?…อะไรนะ?”
หมายความว่าไงกัน? คุณซาโกะจะไปเรียนต่อเมืองนอก? แต่ว่า…เอ๋?
ผมงงเป็นไก่ตาแตก ตอนนั้นเองที่คุณนิชิดะถอนหายใจราวกับไม่อยากจะเชื่อ
(เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วล่ะ ไม่แปลกที่ทำไมตลอดเวลามานี้ท่าทีของนายถึงเป็นแบบนั้น)
“ถ้าเข้าใจแล้ว ก็ช่วยอธิบายผมทีเถอะ…”
ตลอดเวลามานี้ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เรื่องแรกและสำคัญที่สุดที่ผมอยากรู้คือคุณซาโกะกับการไปเรียนต่อเมืองนอกมันเกี่ยวข้องอะไรกัน
(ขอให้ฉันได้ขอโทษนายก่อนเถอะ ฉันได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้วลาะ ทีแรกฉันนึกว่านายเป็นเศษขยะไร้ทางเยียวยา แต่ฉันเข้าใจผิดไปเอง)
“แล้วสรุปเมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
ผมมั่นใจว่าต้องมีปัญหาอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังแน่ ถึงผมจะพึ่งรู้สึกตัวก็เถอะ
(สึโยชิ ตั้งสติแล้วฟังฉันดีๆนะ)
คุณนิชิดะพูด
“อื้ม”
(…มาจิกะกำลังจะไปต่างประเทศเพื่อเรียนต่อ วันนี้เป็นวันที่เธอต้องออกเดินทางแล้ว กว่าจะกลับมาก็พฤษภาคมปีหน้า พูดอีกอย่างก็คือ กว่าจะได้เจอกันอีกทีก็ปี 3แล้ว ทั้งเทศกาลวัฒนธรรม ทั้งงานแข่งเบสบอล ทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นโดยไม่มีมาจิกะ)
เธออธิบายอย่างใจเย็น ไม่พูดถึงรายละเอียดที่ไม่จำเป็น มันทำให้ผมรู้สึกว่าในที่สุดผมก็เห็นภาพรวมของเรื่องนี้สักที
“เออ แต่ทำไม…แล้วเธอต้องออกเดินทางวันนี้งั้นเหรอ!?”
(ฉันว่ามาจิกะคงจะปิดบังเรื่องนี้จากนาย เจ้าตัวไม่เคยบอกเพื่อนร่วมชั้นคนไหนเลยด้วย)
“ละ-แล้วทำไมคุณซาโกะถึงไม่บอกผมล่ะ?”
(มีแต่มาจิกะเท่านั้นแหละที่รู้! ฉันก็นึกว่านายรู้แล้วซะอีกสึโยชิ!)
พอลองมองย้อนกลับไป ผมก็เห็นสัญญาณตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด ทั้งเรื่องที่คุณซาโกะดูเจ็บปวด ลังเล และดูเศร้าจนอยากจะร้องออกมาขนาดนั้น ทั้งหมดเป็นคำใบ้ถึงเรื่องที่เธอจะออกเดินทางนี่เองสินะ
(สึโยชิ นายมาส่งเธอที่นี่เดี๋ยวนี้เลยนะ ยัยนั่นทำท่าจะร้องไห้ได้ตลอดเวลาแล้ว)
“คุณนิชิดะอยู่กับคุณซาโกะสินะ?”
(ใช่ ที่สนามบิน)
“ขอสายคุณซาโกะหน่อยได้รึเปล่า?”
คุณนิชิดะตอบตกลงและเสียงของเธอก็เริ่มไกลออกไป เมื่อผมลองตั้งใจฟังเสียงแว่วๆที่หลุดมานั้น ผมได้ยินเสียงคุณซาโกะพูดว่า ‘ฉันไม่อยากทำเลย’ แต่คุณนิชิดะก็ยังพยายามบังคับเธอให้ได้ ใช้เวลาสักพักกว่าผมจะได้ยินเสียงของคุณซาโกะแบบชัดๆ
(…ซาโกะเองนะ)
“ผมสึโยชินะ พอจะมีเวลาสักเดี๋ยวรึเปล่า?”
(ฉันอยู่ห่างๆจากคนอื่นๆนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก)
“งั้นเหรอ…ถ้างั้นเธอก็อยู่กับครอบครัวด้วยสินะ”
(ใช่แล้วล่ะ…)
ผมบอกผ่านจากได้มือถือได้เลยว่าเธอกำลังกังวลอยู่
เรื่องที่อยากพูด เรื่องที่อยากขอโทษ ทุกอยากมันตีกันในหัวผมไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องถามเธอให้ได้ก่อน
“ทำไมถึงไม่บอกผมเรื่องไปเรียนต่อเมืองนอกล่ะ?”
คุณซาโกะสูดหายใจลึก ราวกับกำลังคิดว่าผมจะพูดอะไรต่อ
(วันนั้นในเดือนมิถุนาที่ฉันสารภาพกับสึโยชิคุง… จริงๆแล้วเป็นวันที่กำหนดการไปเรียนต่อของฉันถูกกำหนดแล้วน่ะ พอรู้ว่าฉันเหลือเวลาอีกแค่สองเดือนที่จะได้อยู่กับทุกคน ฉันก็ตื่นตกใจไปหมดเลยไปสารภาพแบบไม่ทันคิดน่ะ)
“เพราะจู่ๆเลยมาสารภาพแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยสินะ…”
เนื่องจากปกติตอนนั้นผมกับคุณซาโกะไม่ค่อยได้คุยกันเลย การสารภาพครั้งนั้นเลยทำให้ผมตกใจโดยสมบูรณ์ มันเป็นเพราะคุณซาโกะมีเหตุผลให้สารภาพแบบนั้นนี่เอง
(ตอนนั้นฉันไม่ได้บอกสึโยชิคุง ฉันบอกไม่ได้ จะไปขอให้คบกันเพราะฉันเหลือเวลาแค่สองเดือนแบบนั้นไม่ได้หรอก)
“ทำไมล่ะ? ตอนนั้นบอกผมไปเลยก็ได้นี่…”
(สมมติว่าฉันสารภาพไปแบบนั้นจริงๆ สึโยชิคุงจะปฏิเสธฉันได้เหรอ? ถ้ารู้ว่าฉันเหลือเวลาอีกแค่สองเดือนล่ะก็ สึโยชิคุงคงจะตกลงคบกับฉันถึงแม้จะไม่ได้ชอบฉันขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ?)
บอกไม่ได้เลยว่าที่เธอพูดว่ามันผิด แม้แต่ผมยังจินตนาการออกได้ง่ายๆเลย ตัวเองที่ตอบตกลงไปนั่นน่ะ
“ผมคงปฏิเสธไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ”
(กะแล้วเชียว เพราะแบบนั้นฉันถึงไม่ได้บอกสึโยชิคุงไง ฉันมั่นใจว่าการที่ไปคบกับคนที่ไม่ได้สนใจก็มีแต่ทำให้เหนื่อยเปล่าเท่านั้นแหละ แล้วฉันก็อยากให้สึโยชิคุงชอบฉันเหมือนที่ฉันชอบสึโยชิคุง)
ปกติผมจะเป็นพวกที่ไม่อยากคบใครด้วยความรู้สึกก่ำกวม เพราะงั้นผมจะไปโทษคุณซาโกะที่ปิดเรื่องนี้ไว้กับผมก็ไม่ได้
(ขอโทษที่จู่ทำตัวเอาแต่ใจตอนที่สึโยชิคุงมาเยี่ยมฉันนะ ทั้งกายทั้งใจฉันมันล้าจากไข้ แล้วจู่ๆก็เกิดกลัวการไปเรียนต่อขึ้นมาน่ะ เพราะฉะนั้นช่วยลืมเรื่องนั้นไปทีเถอะ)
ผมมองไม่เห็นหน้าของคุณซาโกะตอนนี้ แต่ผมมั่นใจเลยว่าเธอจะต้องฝืนยิ้มอย่างทุกทีแน่ และตอนนั้นเองที่ผมสังเกตอะไรบางอย่างได้ คือเธอไม่เคยตรงไปตรงมาเรื่องเรียนต่อเลย คุณซาโกะมักจะใช้คำว่า‘กลัว’หรือ‘เหงา’ จำได้ว่าคุณมิจิฮิโกะเคยพูดไว้ว่าบางทีเขาอาจบังคับให้คุณซาโกะทำในสิ่งที่ไม่อยากทำก็ได้ หรือบางทีเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณซาโกะต้องไปเรียนต่องั้นเหรอ?
คุณซาโกะน่ะอ่อนโยนเกินไปและเอาจริงเอาจังเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ไม่แปลกถ้าเธอจะตอบตกลงไปง่ายๆ
“คุณซาโกะอยากจะไปเรียนต่อสินะ? เธอบอกกับตัวเองว่าอยากจะไปเรียนต่อใช่ไหม?”
ผมอยากให้เธอยืนยันมันในทางที่ถูก แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตอบกลับมาก็มีแต่ความเงียบงัน
“คุณซาโกะ…?”
(สึโยชิน่ะมีความเชื่อมั่นที่มั่นคงมากเลยล่ะ เริ่มทำงานเบ็ดเตล็ดนู้นนี่เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง… เพราะอย่างนั้นฉันถึงชอบสึโยชิคุงไงล่ะ เพราะนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่ตัวฉันไม่มี)
คุณซาโกะสะอื้น และพูดต่อด้วยเสียงที่เหมือนกับใกล้จะพังทลาย
(ถ้าฉันซื่อตรงอย่างที่ฉันต้องการได้ เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น…)
ผมรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้ทำอะไรบางอย่าง
ณ ตอนนี้ คุณซาโกะจะต้องเจอเรื่องร้ายแน่ๆ
“จะออกเดินทางเมื่อไร?”
(เวลาออกเดินทางคือ 4 โมงเย็นน่ะ…)
ยังดีที่ยังพอมีเวลา
“ผมกำลังไป รออยู่ที่นั่นแหละ”
(อะ-)
ผมตัดสายแล้วลุกขึ้นยืน แล้วไปหาอะไรก็ได้มันใส่ได้ และก็ยัดพวกของที่ใช้ในขั้นต่ำใส่กระเป๋า ผมเช็คเส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะไปสนามบินได้จากในมือถือ จากนั้นก็ใส่รองเท้าผ้าใบแล้วรีบพุ่งตัวออกจากประตูบ้าน
เนื่องจากผมพึ่งออกมาจากห้องเย็นๆ แล้วดันมาเจออากาศสุดร้อนระอุ ทำให้ผมเจอกกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนเห็นอากาศสั่นไหวได้เลย
ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วก้าวเท้าลงไปบนพื้น จะต้องรีบไปหาคุณซาโกะให้เร็วที่สุด
หลังจากวิ่งมาไม่กี่นาที ผมก็ถึงสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด ตัวผมตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ขณะที่เสียงสัญญาณว่ารถไฟกำลังมาเล่นอยู่พอดี ผมรีบโดดเข้าไปในนั้นทันที
ข้างในนี้มันเย็นสบายสุดๆ ทำให้ร่างกายที่ร้อนระอุของผมผ่อนคลายและสดชื่นขึ้นมาได้ และเมื่อผมนั่งลงบนที่นั่งที่ว่างอยู่ ผมก็ได้พักกหายใจดีๆสักที
ผมทำอะไรโดยไม่คิดแล้วออกบ้านมาในทันที แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองตัดสินใจถูก คุณซาโกะถูกยับยั้งชั่งใจด้วยนิสัยของตัวเอง และพูดในสิ่งที่อยากพูดไม่ได้ เพราะงั้นเธอเลยไม่ได้ตอบปฏิเสธตอนที่คุณมิจิฮิโกะบอกให้ไปเรียนต่อเมืองนอก นี่เป็นแค่การคาดเดาของผมเท่านั้น แต่คุณมิจิฮิโกะก็น่าจะเสียใจที่ไปบังคับคุณซาโกะเขาแบบนั้นเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นตราบใดที่คุณซาโกะบอกว่าไม่อยากไป เขาก็คงไม่ดึงดันต่อเหมือนกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครหวังให้คุณซาโกะไปที่ต่างประเทศ และผมก็เป็นคนเดียวที่รู้ถึงเรื่องนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะได้อะไรรึเปล่าจากการเร่งรีบไปหาคุณซาโกะแบบนี้ ถึงเป็นแบบนั้น ร่างกายของผมก็บอกกับผมว่าให้ไปให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นวิวของเขตที่อยู่อาศัยค่อยๆผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น ความเร็วระดับนี้ก็ยังช้าเกินไปสำหรับผม ในขณะที่ผมกำลังตัดสินใจอะไรบางอยู่ ผมก็เปลี่ยนท่านั่งไปด้วย
มาถึงสถานีสุดท้ายสักที ผมรีบวิ่งออกจากประตูทันทีที่ประตูเปิด ต่อจากนั้นก็วิ่งต่อไปตามที่ระบบนำทางบอก และต่อให้ผมจะไปได้ทันเวลา ผมก็ไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว
ชั้นใต้ดินนี่ให้ความรู้สึกเหมือนเขาวงกตเลย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรตราบใดที่ผมยังทำตามระบบนำทางอยู่
ผมเจอจุดที่ผมตามหาแล้ว เลยมองไปที่ระบบนำทางอีกที แล้วมันยังมีอีกหลายจุดต้องไป เพราะฉะนั้นจะมาผิดตั้งแต่ตรงนี้ไม่ได้ ผมลองเปรียบเทียบชื่อบนมือถือกับป้ายอิเล็กโทรนิกส์ ตอนนี้รถไฟใกล้จะออกแล้ว ได้ยินเสียงประกาศมาจากทางบันได
ต้องรีบแล้ว…แต่ทันทีที่ผมจะขึ้นไป ใครบางคนก็คว้าไหล่ผมไว้
“เห้ยเจ้าบ้า ไม่ใช่ทางนั้นเว้ย”
“ทาคุมิ!? ทำไมถึง…”
เป็นทาคุมิที่กำลังใส่ชุดกีฬาและหายใจหอบอยู่ เหมือนว่าเขากำลังมองหาผมอยู่พอดี
“มีหลายๆอย่างเลยล่ะ…ไงก็เหอะ นายจะไปสนามบินใช่ไหมล่ะ? ตามมาสิ”
“รู้ได้ไงน่ะ?”
“นิชิดะโทรมาหาฉันน่ะ เดี๋ยวเราจะไปขึ้นรถไฟกัน มาสิ”
“เข้าใจแล้ว”
ผมฟังที่ทาคุมิบอกแล้วกระโดดขึ้นรถไฟที่มาถึง หลังจากที่พวกเราออกตัวมา ทาคุมิก็เริ่มพูดขึ้น
“นี่คงเป็นการชดใช้กรรมของฉันสินะ”
เขาพูดไปพร้อมยึดสายรัดขณะที่พูดไปด้วย
“เช้านี้ นิชิดะบ่นฉันซะหูชาเลยน่ะสิ บอกว่าฉันไปให้อิทธิพลแปลกๆกับนายน่ะ”
ทาคุมิพยายามเลียนแบบโทนเสียงของคุณนิชิดะจนผมหลุดขำพลืด
“หมายความว่าไง? ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณนิชิดะต้องโกรธนายด้วยล่ะ”
“นายอยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับซาโกะใช่ไหมล่ะ?”
“เออ ก็ใช่นะ?”
“ฉันคิดว่ามันก็น่าจะดี ก็เลยให้คำแนะนำกับนาย แต่รู้ไรปะ…”
ผมเริ่มจะเดาได้แล้วว่าทาคุมิจะพูดอะไร
“ที่ผมเป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”
“เอาจริงดิ ในที่สุดก็รู้ตัวแล้วเหรอเนี่ย”
ผมไปถึงคำตอบนั้นได้แล้ว ตอนที่ผมคุยกับคุณซาโกะในมือถือ ผมได้คำใบ้จนมากเกินพอ
“คุณซาโกะบอกเหตุผลที่ตกหลุมรักผมให้ฟังน่ะ ผมเคยคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาๆไม่โดดเด่ดด้านไหนเลยสักอย่าง แต่คุณซาโกะไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย”
ผมพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อคุณซาโกะ แต่เธอไม่ได้หวังอะไรแบบนั้น ถ้าจะให้พูด เธอชอบผมคนเก่ามากกว่าอีก ทาคุมิก็คงจะได้บทสรุปเดียวกัน ก็เลยแสดงสีหน้าขอโทษออกมา
“เพราะงั้นนิชิดะเลยด่าฉันซะเละเลยไง แล้วก็บอกว่านายเป็นแบบเมื่อก่อนก็ดีอยู่แล้วส่วนฉันก็ไม่น่าไปทำให้เรื่องมันซับซ้อนขึ้นเลย ตอนนั้นแหละที่ฉันรู้ตัวว่าตัวเองไปทำให้เรื่องมันยุ่งขึ้นมากขนาดไหน นายน่ะไม่มีอะไรให้ต้องเปลี่ยนมาตั้งแต่แรกแล้ว และฉันก็ไม่ควรไปให้คำแนะนำนายเรื่องเดตด้วย ฉันน่ะไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของนายเท่าไรเลย”
ทาคุมิตอนนี้ดูเหมือนจะกำลังเศร้าใจอยู่ แม้แต่หลังของเขายังดูขดอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ถ้าไม่ใช่ในเวลาแบบนี้ ฉันจะไม่พูดอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันคิดว่านายเป็นคนที่ยอดมากเลยล่ะสึโยชิ ฉันพอจะนึกออกแล้วล่ะว่าทำไมซาโกะถึงได้มาชอบนายและตัวนายเองก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรหรอก ทั้งหมดก็แค่นี้ล่ะ ลืมทุกอย่างที่ฉันพูดไปซะเถอะนะ”
ทาคุมิคงจะรู้สึกหดหู่จริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น เขาคงไม่มาส่งผมถึงสนามบินหรอก แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าคำแนะนำของทาคุมิมันสูญเปล่าเช่นกัน
“มีเรื่องนึงที่ผมที่ได้รู้และผมต้องขอบคุณทาคุมินะ เมื่อก่อนนายเคยบอกใช่ไหมล่ะว่าความพยายามที่สั่งสมกันจะกลายเป็นความพยายามน่ะ?”
“…อ่า ใช่แล้วล่ะ”
เมื่อก่อนหน้านี้ คุณซาโกะพูดไว้ว่าส่วนนี้ของผมนั่นเองที่คุณซาโกะตกหลุมรัก ผมมีสิ่งที่พิเศษกับตัวอยู่แล้วโดยที่ไม่รู้ตัว และเพราะแบบนั้นคุณซาโกะเลยมีความรู้สึกสเน่หากับผม ถึงทาคุมิจะบอกว่าเขาคิดว่าผมเป็นคนที่ดี ถึงอย่างนั้น…
“การที่รู้ว่ามีใครสักคนชื่นชมในสิ่งที่ผมทำมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้น่ะ มันทำให้ก้าวไปข้างหน้าได้ ผมบอกได้เลยล่ะว่าความรู้สึกนี้ของผมตอนนี้คือความมั่นใจอย่างแน่นอน”
“สึโยชิ นี่นาย…”
“ถ้าทาคุมิไม่บอกผมเรื่องนั้นล่ะก็ ผมไม่คิดว่าตอนนี้ผมจะรู้สึกแบบนี้หรอก เพราะงั้นขอบคุณนะ”
ในที่สุดผมก็สามารถคว้าความรู้สึกที่เรียกว่าความมั่นใจมาได้ มันไม่ได้อารมณ์แบบออกจากผมเป็นดักแด้ที่กลายเป็นผีเสื้อแสนงดงามอะไรแบบนั้น แต่เป็นการที่ผมยอมรับทุกอย่างที่ผมทำบางเรื่องเป็นข้อดีของตัวเอง
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว นายก็มั่นใจขึ้นแบบนี้…จะสารภาพรักกับซาโกะรึเปล่า?”
“สารภาพเหรอ…ก็อาจจะ แต่ตอนนี้ผมคิดแค่เรื่องที่จะห้ามไม่ให้เธอไปต่างประเทศยังไงนี่ล่ะ”
ทาคุมิมองผมด้วยสายตายังกับมองภูติผีปีศาจ
“เอาจริง? นายทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
“ผมมีความคิดอยู่ แต่ไม่รู้จะได้ผลไหมนะ”
“แต่นายก็ยังจะลองใช่ปะล่ะ?”
“ถึงคุณซาโกะจะไปต่างประเทศ ก็ไม่มีใครมีความสุขหรอก แล้วเข้าตัวก็คงไม่อยากไปเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นแล้วผมจะทำในสิ่งที่ทำได้”
“งั้นเหรอ สมเป็นนายดี ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ”
จริงๆโอกาสของผมมันริบหรี่สุดๆเลยล่ะ แต่เพื่อคุณซาโกะ ผมจะทำอะไรก็ตามที่ผมพอทำได้
เสียงประกาศดังมาถึงหูผม ดึงผมกลับสู่ความเป็นจริง ใกล้ถึงจุดหมายเต็มทีแล้ว ทาคุมิเช็คเส้นทางด้วยมือถือตัวเอง ขณะเดียวกันก็เล่นผมตัวเองพร้อมพูดขึ้น
“นี่สึโยชิ วันนี้ฉันพูดอะไรที่ไม่สมเป็นตัวเองเลย เพราะงั้นลืมๆไปเถอะนะ”
หายากเลยที่ทาคุมิผู้ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลาจะทำหน้าเหนียมอายแบบนี้
“ก็นะ ผมไม่คิดว่าผมจะลืมลงหรอก แต่นั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าทาคุมิเป็นคนที่สุดยอดไปเลยล่ะ”
“หุบปากไปเลย ขอให้โดนซาโกะปฏิเสธทีเถอะ สาธุ”
“ต้องแช่งกันขนาดนั้นเลยเรอะ!?”
ทาคุมิพ่นลมหายใจออกมา ช่างเป็นความเห็นที่ฟังดูโหดร้ายชะมัดแต่ก็สมก็เป็นทาคุมิดีเพราะงั้นก็เลยรู้สึกโล่งอกไม่ว่าจะเป็นตอนไหนที่หมอนี่ซื่อตรงแบบนี้ผมก็อดเกร็งไม่ได้เลย
แล้วการเดินทางด้วยการนั่งรถไฟที่เหลือนั้นพวกเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยทำได้แค่รอไปจนกว่าจะถึงจุดหมายเท่านั้น
หลังจากออกมารถไฟ ทาคุมิกับผมก็แยกทางกัน เขาบอกว่าตัวเขาจะมีแต่เกะกะเท่านั้นถ้าไปด้วยกันกับผม ส่วนผมก็ตอบตกลงไป และหลังจากที่ไปถามคุณนิชิดะ เธอบอกว่าคุณซาโกะกับครอบครัวกำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้สำหรับสายการบินต่างประเทศ
ครั้งนี้ผมสังเกตแผนที่เป็นอย่างดีแล้ววิ่งผ่านกำแพงไป ในที่สุดผมก็มาถึงล็อบบี้ได้สักที
บนม้านั่งจรงหัวมุมของล็อบบี้ ผมเจอคน 4 คนที่ดูคุ้นตา คุณซาโกะ, คุณมิจิฮิโกะ, คุณเมย์โกะ และคุณนิชิดะ โดยมีกระเป๋าเดินทางอันใหญ่อยู่ข้างหน้าม้านั่ง เรื่องที่ผมกำลังจะทำต่อไปนี้เป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากการยุ่งไม่เข้าเรื่อง ผมเคยคิดว่าผมเตรียมใจได้แล้วนะ แต่ผมก็ยังเกร็งๆอยู่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าผมไม่ทำอะไรเลยที่นี่ คุณซาโกะจะต้องเป็นทุกข์ เพราะงั้นผมจะไม่ทนอยู่เฉยๆแน่
ผมเดินเข้าไปที่ม้านั่ง ซึ่งคุณนิชิดะก็สังเกตเห็นผมพอดี
“สึโยชิ!”
อีกสามคนก็หันมามองที่ผม ส่วนคุณซาโกะนั้นกำลังหน้าซีดเป็นได่ต้ม
“เอ่อ คือว่า ไม่เจอกันนานเลยนะครับ…”
วินาทีที่ผมสบตากับคุณซาโกะ เธอ็เบือนหน้าหนี
คุณเมย์โกะเป็นคนที่เข้ามารับหน้าผมแทนเธอ
“อ้าวตายแล้ว สึโยชิคุงเองเหรอจ๊ะ ดูท่ามาจิกะจะไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้สินะ ถ้ารู้แบบนี้ฉันคงจะบอกเธอไปแล้ว…”
คุณเมย์โกะมีท่าทางรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแบบนี้มันช่วยไม่ได้”
นี่คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง จะมามัวพูดสัพเพเหระไม่ได้ ดังนั้นผมเลยต้องลงมือเดี๋ยวนี้เลย
ผมถามคุณเมย์โกะด้วยเสียงที่ดูสุภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ขอโทษนะครับ แต่ผมขอเวลากับคุณมาจิกะสักครู่ได้มั้ยครับ? ผมไม่ได้อยากขโมยช่วงเวลาสุดท้ายแสนสำคัญนี่หรอกนะครับ แต่…”
ระหว่างที่พูดแบบนั้น ผมก็แอบชำเลืองตาไปทางคุณมิจิฮิโกะที่กำลังมีสีหน้าไร้อารมณ์ เนื่องจากเขาส่งคุณซาโกะไปเรียนต่างประเทศด้วยเหตุผลงูๆปลาๆ สภาพจิตใจของเขาแสดงออกมาถึงด้านนอกเลย
ส่วนคุณเมย์โกะก็ยังยิ้มแบบทุกที ก็เลยเดายากว่าเธอรู้สึกยังไงกันแน่
“จ้ะ ได้แน่นอน ถ้าไม่นานเกินไปล่ะนะ”
“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวพวกเราจะรีบกลับมานะครับ”
คุณซาโกะไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยครั้งนี้ เอาแต่ใช้สายตาจ้องมองลงกับพื้น
“นี่มาจิกะ สึโยชิคุงเขาอุตส่าห์มาหาเลยนะ อย่างน้อยก็คุยกับเขาสักหน่อยเถอะ”
“ค่ะ…”
หลังจากถูกดันหลังโดยคุณเมย์โกะ คุณซาโกะก็ยืนขึ้น สีหน้ายังคงมัวหมองเช่นดิม
“พวกเราจะไปชั้นสังเกตุการณ์ชั้น 5 แล้วจะกลับมาใน 10 ถึง 20 นาทีนะครับ”
ผมก้มหัวให้พ่อแม่ของคุณซาโกะ แล้วพาคุณซาโกะไปกับผม
ขณะนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงอันเฉียบแหลมของคุณนิชิดะมาจากทางด้านหลัง บอกเตือนกับผมว่า
“อย่าทำให้ร้องไห้ล่ะ”
รู้ดีอยู่แล้วล่ะ ผมล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งกว่าจะมาถึงจุดนี้ ผมถึงที่นี่มาเพื่อจะชดใช้เรื่องทั้งหมด ไม่ได้กะว่าจะทำคุณซาโกะร้องไห้สักหน่อย
พวกเราหยุดอยู่หน้าลิฟต์ โดยที่คุณซาโกะพึมพำทั้งๆที่ก้มหน้าอยู่
“…ฉันไม่อยากให้นายมาที่นี่เลย มันมีแต่ทำให้เจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นแหละ…”
“ขอโทษนะ แต่มันมีสิ่งที่ผมต้องพูดอยู่ ไม่งั้นพวกเราคงจะแยกจากกันด้วยความเศร้าแน่”
แสงจากหลอดไฟในลิฟต์ส่องสว่างขึ้น และประตูก็เปิดออกผมก้าวเข้าไปด้านในส่วนคุณซาโกะก็เดินตามผมมาแบบเงียบๆ
บนชั้นสังเกตุการณ์มันไม่มีอะไรมากันสายลมที่พัดผ่าน พวกเราเลยรับลมเข้าไปเต็มๆ พอแหงนหน้ามองขึ้นก็เห็นเครื่องบินที่กำลังจะบินขึ้นไม่ก็กำลังลงจอด
ผมพาคุณซาโกะไปที่ม้านั่งที่มีเงาบังแล้วนั่งถัดจากเธอ เหตุผลก็ง่ายๆ
คุณมิจิฮิโกะแนะนำให้ทำแบบนี้โดยที่ยังคิดไม่ถี่ถ้วนพอ แล้วก็ชัดเจนว่าคุณซาโกะไม่ได้สนใจในด้านนั้นเลย แต่ก็ยังตอบรับเพื่อไม่ให้เขาผิดหวัง ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร คุณซาโกะก็ยิ่งไม่อยากไปเรียนต่างประเทศมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อตอบรับไปแล้ว จะมาคืนคำทีหลังก็ไม่ได้ และเมื่อเป็นแบบนั้นคุณมิจิฮิโกะเลยไม่ได้ฉุดความคิดนั้นไว้ ด้วยความที่มันซับซ้อนทับถมกันมาเรื่อยๆแล้ววันออกเดินทางก็มาถึงจนได้
ในวันที่ผมไปเยี่ยมคุณซาโกะ คุณมิจิฮิโกะกับคุณเมย์โกะทั้งคู่ต่างอยากให้คุณซาโกะเห็นแก่ตัวสักครั้ง แล้วถ้าความเห็นตัวมันเกี่ยวกับอุปสรรคครั้งนี้ล่ะก็ มันก็มีทางที่จะยกเลิกเรื่องพวกนี้ได้หมดอย่างแน่นอน
แค่คุณซาโกะพูดว่าไม่อยากไป ก็พอจะแก้สถานการณ์ได้แล้ว ดังนั้นแล้วหน้าที่ของผมก็คือดึงความเห็นแก่ตัวจากคุณซาโกะออกมา
แล้วเงื่อนไขที่จะทำให้คุณซาโกะเป็นแบบนั้นได้ล่ะ? เรื่องนั้นผมได้รับคำตอบมาจากคุณเมย์โกะเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีความรักมาเกี่ยวข้องล่ะก็ คุณซ่าโกะจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล และผมก็คิดว่าเธอพูดถูกด้วย
เมื่อไรก็ตามที่คุณซาโกะอยู่ด้วยกันกับผม เธอจะหลงใหลกับความโรแมนติคไปเลย แล้วมันทำให้เธอแสดงด้านเห็นแก่ตัวกับผมเรื่อยๆ ถ้าเป็นไปตามนั้น มันก็มีเพียงอย่างเดียวที่ผมต้องทำ
กล่าวคือต้องบอกความรู้สึกของผมทั้งหมดให้คุณซาโกะได้รู้
“อาจจะรู้อยู่แล้ว แต่ผมน่ะอยากเป็นชายที่คู่ควรกับคุณซาโกะ เพราะแบบนั้นผมถึงอยากจะมั่นใจมากขึ้น แล้วยังทั้งตั้งใจเรียนอย่างหนักกับเป็นคนนำเดทด้วย…”
คุณซาโกะไม่ได้พูดอะไร ผมเลยถือว่าเธอกำลังฟังผมอยู่และพูดต่อ
“แต่เพราะคุณซาโกะสอนผมให้รู้ถึงข้อดีของตัวเอง ผมเลยเริ่มปล่อยวางเรื่องนั้น และเพราะคุณซาโกะตกหลุมรักผม ผมเลยสามารถชอบตัวเองได้”
คุณซาโกะยังคงก้มหน้าลง ผมเลยขอไปว่า ‘ขอร้องล่ะ เงยหน้าขึ้นเถอะ’ เธอถึงค่อยๆใช้สายตานั้นจ้องมองมาที่ผมอย่างช้าๆ
“ถ้าจะให้พูดจริงๆ ผมกก็ไม่คิดว่าพวกเราจะเข้าคู่กันได้ดีหรอก แต่เพราะคุณซาโกะให้ความมั่นใจกับผม ผมถึงเลิกกังวลกับอะไรพวกนั้น”
ผมรู้สึกทรมาณมาโดยตลอด ด้วยความที่ไม่มีความมั่นใจนั่น
ยังไงก็ตาม ความรู้สึกชื่นชอบของคุณซาโกะได้ช่วยผมเอาไว้ เพราะแบบนั้นผมถึงอยากตอบแทนเธอ สายตาของผมสอดประสานกับคุณซาโกะ และผมก็ยืนยันได้อีกครั้งว่าความรู้สึกของเรามีต่อกันนั้นเหมือนกัน หลังจากงานเทศกาลฤดูร้อน ผมก็สัญญาง่าผมจะสารภาพกับคุณซาโกะถ้าเดทครั้งหน้าไปได้ด้วยดี แต่ผมไม่มีเวลาว่างจะมามัวห่วงเรื่องเวลากับสถานที่แล้ว ถ้าจะบอกล่ะก็ ต้องที่นี่ ตอนนี้เท่านั้น
ผมสูดหายใจเข้าลึกและตัดสินใจอย่างหนักแน่น
“ผมชอบเธอนะ คุณซาโกะ ไม่ว่าจะสมบูรณ์แบบหรือไม่ก็ตาม ผมก็ยังชอบเธออยู่ดี”
คุณซาโกะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจโดยที่พ่นลมหายใจออกมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเธอก็ถูกเติมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดในทันที และหยดน้ำตาใหญ่ก็ได้ก่อตัวที่หางตานั้น
“ทะ-ทำไมล่ะ! เราต้องบอกลากันวันนี้แล้วนะ มาบอกตอนนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว…!”
เธอเอามือไปทาบที่ดวงตาแต่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหลอยู่ดี ส่วนผมได้แต่ขมักเขม่นโบกมือไปมา
“ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การบอกลาสักหน่อย ยังจำสัญญาที่เราให้กันเมื่อวานได้รึเปล่า? ว่าเราจะไปงานเทศกาลฤดูร้อนอาทิตย์หน้ากันน่ะ”
“เอ๋…?”
คุณซาโกะเอามือออกไปจากใบหน้า ดวงตาเธอเบิกกว้างจ้องมองมาที่ผม
“ผมหาเทศกาลใกล้ๆนี้ไม่ได้น่ะ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเทศกาลดอกไม้ไฟนะ ไปด้วยกันเถอะ”
“ไม่ได้หรอก! ฉันจะไปต่างประเทศวันนี้แล้ว คงได้แต่รอจนกว่าจะถึงปีหน้า…”
“ผมไม่ปล่อยให้รอนานขนาดนั้นหรอก ก็เพราะว่า…ในที่สุดผมก็เข้าใจในสิ่งที่ต้องทำแล้วไงล่ะ”
จนถึงจุดนี้ ความสัมพันธ์ของเรามันบิดเบี้ยวไปหมด ไม่ว่ายังไงก็มีแต่ทำให้ห่างกันไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ ผมควรจะบรรลุถึงบางสิง่อย่างแท้จริงสักที
ดังนั้นแล้วตอนนี้ ไม่ว่ายังไงผมก็ปล่อยมือของคุณซาโกะไปไม่ได้เด็ดขาด
“อาทิตย์หน้าไปด้วยกันเถอะ ในฐานะแฟนหนุ่มกับแฟนสาว”
เมื่อผมบอกไปแบบนั้น คุณซาโกะก็ยิ่งร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
“ฉันอยากไป…อยากไปใจจะขาดเลย! แต่…วันนี้ฉันต้องไปแล้ว…ทั้งๆที่ไม่อยากไปเลยแท้ๆ”
ในจังหวะที่เธอกำลังอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่นั้น ผมก็เห็นโอกาสในที่สุดก็เผยความรู้สึกซื่อตรงที่ไม่อยากจะไปนั่นแล้ว
“งั้นไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณซาโกะกันเถอะ แล้วก็บอกไปแบบนั้นเลย ถ้าแสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วเธอรู้สึกยังไงล่ะก็ พวกท่านจะต้องเข้าใจแน่”
“…ไม่ได้ ฉันไม่เคยซื่อตรงกับสิ่งที่ต้องการเลยนะ ไม่มีทางที่ฉันจะไปบอกพวกท่านว่าฉันไม่อยากไปได้อยู่แล้ว…!”
“อย่างน้อยก็บอกไปเถอะ ไม่งั้น เราคงไม่ได้ไปดูดอกไม้ไฟด้วยกันแล้วนะ”
“ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี…! ฉันจะไปเห็นแก่ตัวแบบนั้นไม่ได้หรอก!”
อย่างกับเขื่อนแตกอย่างไรอย่างนั้น เธอทิ้งตรรกะทุกอย่างไปหมดแล้วจนทำได้แต่คร่ำครวญ
แย่แล้วสิ ขืนเป็นมีหวังได้จบลงด้วยการที่เธอดื้อดึงเกินไปแน่ ผมรีบหาคำพูดที่ดีที่สุดที่จะพูดกับคุณซาโกะอย่างร้อนรน คิดว่าจะสามารถโต้ตอบอะไรไปได้บ้าง
‘ผมอยากเป็นเหมือนคุณซาโกะ’
‘ฉันอยากเป็นเหมือนสึโยชิคุง’
คุณซาโกะมีสิ่งที่ผมขาดไป แล้วผมก็มีสิ่งที่เธอขาดไปเช่นกัน แล้วมันก็จบที่พวกเราดึงดูดซึ่งกันและกัน วินาทีที่ผมรู้สึกได้ถึงเรื่องนั้น ผมก็คว้าไหล่คุณซาโกะและเขย่าตัวเธอ
“ผมเปลี่ยนตัวเองได้แล้ว ผมน่ะชื่นชมเธอ อยากจะเป็นเหมือนกับเธอ และผมในตอนนี้ก็มีความมั่นใจที่จะเคียงข้างเธอแล้ว เพราะงั้น-”
ผมใส่แรงจับให้มากขึ้น
“คุณซาโกะเองก็ทำได้เหมือนกันนะ เธอน่ะเปลี่ยนตัวเองได้”
ไม่มีทางที่คุณซาโกะจะทำในสิ่งที่ผมทำได้ไม่ได้อยู่แล้ว เธอจะต้องทิ้งทัศนคติที่คอยทำตามคนอื่นได้แน่
และดางตาของเธอก็สั่นไหว
“นี่…นี่ฉันทำได้จริงๆเหรอ…?”
“ทำได้อยู่แล้วสิ แม้แต่ผมยังทำได้เลย”
ผมเกรงว่านั่นจะเป็นวิธีที่ดูฝืนบังคับมากเกินไป แต่ผมก็เชื่อว่าวิธีนั้นเป็นคำพูดที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วที่จะใช้ให้ความกล้ากับคุณซาโกะ
“…งั้นเหรอ นั้นสินะ ฉันเองก็ทำได้…”
คุณซาโกะนึกทบทวนคำพูดของผมและขบริมฝีปากแน่น น้ำตาของเธอหยุดไหลไปอย่างรวดเร็ว
“ฉันอยากจะเป็นเหมือนกับสึโยชิคุง…!”
เธอเงยหน้าขึ้นมาพบสายตาของผม
“หมายความว่า…!”
“ฉันจะไปคุยกับคุณพ่อ”
“เอาจริงเหรอ!?”
“ไม่รู้ว่าจะได้ผลรึเปล่า แต่…”
คุณซาโกะเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว ส่วนผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก คุณซาโกะมองขึ้นมาที่ผม
“…ทำได้ไหม?”
“อะไรเหรอ?”
คุณซาโกะไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วโอบแขนของเธอมาที่เอวของผม จากนั้นก็นำหน้าผากเข้ามาซบกับหน้าอกของผม
“วะ-หวา…”
“…ขอโทษนะ ขอแค่นิดเดียวได้ไหม? ฉันอยากได้กำลังใจน่ะ”
การกอดแบบกะทันหันนี้ทำหัวใจผมแทบหยุดเต้น หรือถ้าจะให้พูดจริงๆ ผมว่ามีนหยุดไปแป๊บนึงจริงๆแหละ
ผมกอดกลับ ค่อยปลอบโยนหัวเธออย่างอ่อนโยน
“สุดยอดจังเลยนะสึโยชิคุงเนี่ย ทำแต่สิ่งที่ฉันทำไม่ได้เสมอเลย…”
เธอพูดขณะเอาหัวถูไปมากับหน้าอกผม
“ตั้งแต่ที่เจอกัน ฉันก็พยายามเปลี่ยนตัวเองมาโดยตลอดเลย จนถึงตอนนี้ ฉันเอาแต่เชื่อฟังคุณพ่อเสมอไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เพราะงั้นครั้งนี้ ฉันจะเลือกทางเลือกของฉันเอง ฉันมีบางสิ่งที่อยากจะทำแล้ว…ดังนั้นฉันจะไปจากญี่ปุ่นไม่ได้เด็ดขาด…!”
“ดีใจจัง…”
“ในเมื่อพวกเราตัดสินใจว่าจะทำอะไรได้แล้ว เราก็ต้องทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้”
คุณซาโกะพูดและถอยห่างจากผม
ขณะเดียวกัน เธอก็เกาแก้มด้วยท่าทีเหนียมอาย
“แบบว่า…มีอย่างนึงที่ฉันอยากยืนยันก่อนจะไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่น่ะ…คือว่า สึโยชิคุงจะคบกับฉัน ใช่ไหม?”
“ใช่ เพราะงั้นผมถึงสารภาพกับเธอไง”
“ถ้าฉันบ่ายเบี่ยงจนไม่ต้องไปต่างประเทศได้ล่ะก็ สึโยชิคุงจะไปเทศกาลดอกไม้ไฟกับฉันรึเปล่า?”
“แน่นอน”
“แต่ถ้าฉันต้องไปต่างประเทศ สึโยชิคุงจะรอจนถึงปีหน้าใช่ไหม? จะไม่นอกใจฉันแน่นะ?”
“ผมสัญญา จะโทรไปหาเยอะๆเลยเอ้า”
“ถ้างั้น…ต่อให้ฉันกลายเป็นยายแก่หงำเหงือกสึโยชิคุงก็จะยังทะนุทนอมฉันสินะ?”
“นะ-แน่นอนอยู่แล้ว”
เนื่องจากขอบเขตของคำถามมันยกระดับไปไกลซะเหลือเกิน ผมเลยลังเลที่จะตอบไป ไงก็เหอะ คุณซาโกะก็ยิ้มแหย่เล่นกับผม
“เฮะๆ ล้อเล่นน่า ฉันไม่ยึดติดขนาดนั้นหรอก”
“ฟิ้ว…”
“งั้นสึโยชิคุงจะแต่งงานกับฉันตอนที่พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ?”
“อื้ม”
“แค่พูดเล่นเฉยๆนะ ทำไมถึงตอบแบบทันทีแบบนั้นเลยกันล่ะเนี่ย…”
ทำเอาผมอยากจะขุดรูหนีหายไปเลยนะนั่น
พวกเราทั้งคู่ต่างเงียบ ทำให้มันอึดอัดจนน่าขนลุก แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น ผมก็สามารถรู้ถึงความอบอุ่นของคุณซาโกะที่อยู่ข้างๆผมได้ ซึ่งก็ไม่ได้แย่เท่าไรนัก เรามองเครื่องบินลำนึงบินขึ้นฟ้าไป แล้วคุณซาโกะก็ยืนขึ้น
“รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ เพราะงั้นคงต้องไปแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่มันก็เป็นการเดิมพันที่น่าเสี่ยง”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอพูดด้วยตัวเองล่ะก็ จะต้องก้าวผ่านไปได้แน่”
ถ้าสิ่งที่คุณมิจิฮิโกะกับคุณเมย์โกะพูดเป็นจริงล่ะก็ งั้นคุณซาโกะก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับตัวเองมากเท่าไร พอรู้ถึงเรื่องนั้น คุณซาโกะคงจะต้องใช่ความกล้ามากเพื่อที่จะไปขอยกเลิกการไปเรียนต่อต่างประเทศ ถึงกระนั้น ในแววตาของเธอก็ไร้ซึ่งความลังเล
“ทำได้แล้ว คุณซาโกะ”
“อื้ม ผมจะคอยดูอยู่ข้างๆเอง”
ผมลุกขึ้นจากม้านั่ง แล้วพวกเราก็เดินไปที่ลิฟต์กัน
…
เมื่อพวกเรากลับมาถึง คุณเมย์โกะก็เรียกคุณซาโกะไปด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
“ไปบอกลากันดีๆได้รึเปล่าจ๊ะ?”
“เอ่อ คือ…จริงๆแล้ว…”
แน่นอนว่า คุณซาโกะกับผมไม่มีความตั้งใจจะบอกลากัน ก็เลยยังอ้อยอิ่งนิดหน่อย
คุณนิชิดะเป็นคนแรกที่สังเกตุเห็นถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป
“เป็นอะไรรึเปล่า มาจิกะ?”
“เอ่อ ก็ไม่ค่อยมีอะไรหรอก…”
“ดูไม่ค่อยจะเป็นแบบนั้นเลยนะ ตาก็แดงแจ๋เลยด้วย”
“อ๊ะ ไม่ใช่นะ”
คุณนิชิดะหันหน้ามาทางผม และจ้องมองด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“สึโยชิ ไอ้สารเลว…”
“ใจเย็นก่อนๆ ไม่ใช่อย่างที่คิดนะ”
เออ จริงด้วย คุณนิชิดะเตือนผมว่าอย่าทำคุณซาโกะร้องไห้นี่นะ
“มาจิกะ เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
คุณนิชิดะหันกลับไปหาคุณซาโกะ
“นั้นสิ ตาแดงแจ๋เลย เป็นอะไรรึเปล่าลูก?”
คุณเมย์โกะเองก็ถามเช่นกัน
คุณซาโกะเซถอยหลังนิดนึงแต่ก็ยังตอบบกลับไป
“ก็ มีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะค่ะ…”
เป็นที่แน่นอนว่า คุณนิชิดะกำลังจ้องผมเหมือนกับผมไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ใครมา ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่คุณมิจิฮิโกะก็ส่งสายตาสงสัยมาทางผม เหงื่อเย็นๆเริ่มไหลลงมาที่หลัง ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย เพราะงั้นอย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ
ผมเบือนหน้าหนีไป จนไปสบตากับคุณซาโกะ สีหน้าของเธอกำลังแข็งทื่อ แล้วผมก็เริ่มจะสงสัยแล้วว่าเธอจะพูดในสิ่งที่อยากพูดได้รึเปล่า ผมเลยขยับปากเป็นคำว่า ‘เธอทำได้’ จนทำให้เธอพยักหน้ากลับมา
“ขอโทษที นี่ไม่ใช่เวลามาทำตัวไม่ชัดเจนนี่เนอะ”
คุณซาโกะแสดงถึงการตัดสินใจได้แล้ว
เธอไปยืนตรงหน้าคุณมิจิฮิโกะกับคุณเมย์โกะ แล้วค่อยก้มหัวลงจนมีองศาสูงชัน
“ทั้งชีวิตนี้หนูมีคำขออย่างนึงค่ะ ช่วยรับฟงัหนูทีนะคะ”
คุณเมย์โกะมีท่าทีตกใจจนเอามือไปปิดปาก ในเวลาเดียวกัน คุณมิจิฮิโกะก็ยังทำหน้าตาบกอบุญไม่รับต่อไป
“มีอะไรล่ะ?”
เขาถาม
“หนูรู้ค่ะว่าขอมากเกินไป แต่หนูข้อร้องล่ะนะคะ…หนูไปอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น พูดอย่างชัดเจนแจ่มแจ๋วจนผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
คุณนิชิดะเองก็เหมือนกัน เธอจ้องคุณซาโกะด้วยความงงงวย อย่างไรก็ตาม คุณมิจิฮิโกะ
ไม่ได้ดูตกใจอะไรเลย
“มาจิกะ บอกเหตุผลลูกมา”
คุณซาโกะดูจะเสียหลักไปชั่วครู่ แต่ก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
“…จนถึงตอนนี้ หนูทำทุกอย่างที่คุณพ่อบอก และหนูก็ไม่ได้เสียใจเลย แล้วก็เพราะหนูคิดเรื่องที่หนูอยากจะทำไม่เก่งเท่าไร หนูเลยเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนานและเดินตามทางที่คุณพ่อสร้างได้อย่างดี แต่ว่า หนูพึ่งพาคุณพ่อมามากพอแล้ว ถ้าหนูไปเรียนต่อตอนนี้ล่ะก็ หนูคงจะเป็นอิสระไม่ได้แน่”
ทั้งคุณมิจิฮิโกะกับคุณเมย์โกะต่างฟังคุณซาโกะอย่างเงียบเชียบ
“คุณซาโกะตั้งใจเรียนอย่างไร้ที่ติเลยล่ะครับ และความเสมอต้นเสมอปลายก็แสดงผลของตัวมันออกมาด้วย ผมเลยคิดว่าการที่เธอไม่ไปเรียนต่อแล้วทุ่มสุดตัวอยู่ที่ญี่ปุ่นน่าจะมีประโยชน์กับตัวเธอเองมากกว่าครับ ผมน่ะชื่นชมคุณซาโกะแบบที่เธอเป็นอยู่ แล้วก็นับถือเธอมากๆเลยด้วย เพราะงั้นขอร้องล่ะครับ-”
ผมก็ค่อยก้มหัวลงอย่างช้าๆ
“จะไม่ช่วยพิจารณาความเห็นแก่ตัวของเธอสักครั้งนึงเลยเหรอครับ?”
คุณซาโกะเองก็ก้มหัวให้อีกครั้ง
“คุณแม่ คุณพ่อ ขอร้องเถอะนะคะ”
ช่วงเวลาที่เรารอคอยคำตอบจากพวกท่านมันช่างยาวนาน คงจะหลายวินาทีหรือไม่ก็เป็นนาทีเลย
“พูดได้ดีเลยจ้ะ มาจิกะ”
คุณเมย์โกะพูดพร้อมกับสูดหายใจเข้าไปด้วย
“แม่รอเราให้พูดเพื่อตัวเองแบบนั้นมานานแล้วล่ะ…”
เมื่อเรามองขึ้นไป พวกเราก็เห็นคุณเมย์โกะกำลังเช็ดตาด้วยผ้าเช็ดหน้า
“ถ้างั้น…เดี๋ยว…อะไรนะคะ?”
คุณซาโกะมีท่าทีงงงวย
“ตามนั้นแหละ ยกเลิกแผนการไปเถอะ”
ตัดสินใจง่ายๆแบบนั้นมันจะดีเหรอครับ?
ผมนึกว่าจะมีการพูดคุยกันกว่านี้ซะอีก… ตอนที่ตามเหตุการณ์อะไรไม่ทัน ผมก็หันไปมองคุณซาโกะ ซึ่งก็งงเป็นไก่ตาแตกไม่ต่างอะไรจากผม
“คุณแม่ ยอมรับง่ายๆแบบนั้นจะดีเหรอคะ? เรียนต่อต่างประเทศเลยนะคะ? แล้วคุณพ่อจะไม่แย้งอะไรสักหน่อยเหรอคะ?”
คุณมิจิฮิโกะกอดอก แล้วย่นคิ้วของเขา
“พ่อมีเงื่อนไขข้อนึง ถ้าลูกจะไม่ไปเรียนต่อ งั้นพ่อก็อยากให้ลูกคิดไว้ว่าอยากจะทำอะไรต่อจากนี้ แล้วก็-”
“หนูคิดเรื่องนั้นไว้แล้วค่ะ”
แผ่นหลังของคุณซาโกะยืดออก ขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับคุณมิจิฮิโกะ
“เพราะหนูมีแผนที่จะเป็นรองประธานชมรมดุริยางค์ ไม่ใช่ไปเรียนต่อค่ะ หนูกะไว้ว่าจะพาทุกคนไปชนะงานประกวดด้วยกัน และเพราะหนูคิดว่าการช่วยผู้คนแบบสึโยชิคุงมันเท่สุดๆ เลยอยากจะเข้าสภานักเรียนแล้วทำงานเพื่อนผู้อื่นค่ะ แถมหนูก็อยากเลือกมหาลัยที่อยากเข้าเองด้วย ถึงหนูจะตั้งใจเรียนมาตั้งมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้หนูอยากกำหนดอนาคตของตัวเอง หลังจากนั้น-”
คุณซาโกะชำเลืองมาทางผม แล้วหน้าแดงนิดๆ
“…ไม่เอาดีกว่า นั้นมันความลับ ยังไงก็เถอะ! หนูมีหลายอย่างที่อยากทำเลยล่ะค่ะ”
แม้แต่สีหน้าบูดบึ้งของคุณมิจิฮิโกะยังแตกเป็นเสี่ยงไม่มีชิ้นดี ราวกับเขาไม่เชื่อหูตัวเอง ก็นะ ผมไม่โทษเขาหรอก ผมเองก็คาดไม่ถึงเลยว่าคุณซาโกะจะมีเรื่องที่อยากทำมากถึงขนาดนี้ ในเวลาสั้นๆถือคืบหน้าไปเยอะเชียวล่ะ ถึงอย่างนั้นคุณซาโกะเหมือนจะไม่ได้รู้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ดูจากท่าทางก็รู้เลย
“คุณแม่คะ! คุณแม่น่ะยอมรับเรื่องนี้เกินไปแล้ว! มายกเลิกเอาวันออกเดินทางแบบนี้มันแต่สร้างปัญหาไม่ใช่เหรอคะ!”
“แม่รู้สึกว่าอะไรแบบนี้มันจะเกิดขึ้นมาโดยตลอดเลยล่ะ แต่เพราะลูกไม่เคยบอกว่าไม่อยากไปเรียนต่อเมืองนอก แม่เลยทำได้แค่รอน่ะ”
“ระ-รู้ได้ยังไงกันคะ?”
คุณมิจิฮิโกะพูดขึ้นมาแทน
“ไดอารี่ลูกน่ะ แม่เขาไปเจอในห้องลูก”
“ที่รักคะ นั่นควรจะเป็นความลับสิ…”
“ดะ-ไดอารี่…!?”
คุณซาโกะเริ่มตัวสั่น
“เออ…ขอโทษนะลูก”
หน้าคุณซาโกะแดงเป็นมะเขือเทศ แดงไปยันหูเลยแหละ
“คะ-คุณแม่…!”
“แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้านั้นนะ เราเลยสังเกตสัญญาณอันตรายจากตัวลูกได้ เพราะงั้นแม่เลยทำให้มั่นใจว่าจะทำเรื่องยกเลิกให้ง่ายๆไง ดังนั้นยกโทษให้แม่เรื่องที่แอบดูไดอารี่ของลูกเถอะนะ? นะ?”
คุณซาโกะบังใบหน้าที่แดงแจ๋ของเธอด้วยฝ่ามือ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนม้านั่ง
“…น่าอายเกินไปแล้ว…อยากตายจัง…”
“แต่พ่อเขางานหนักยิ่งกว่าแม่อีกนะไปคุยเรื่องเงื่อนไขนู่นนี่เยอะแยะเลยล่ะแต่แม่มั่นใจเลยว่าพ่อเขาเป็นคนที่อยากให้ลูกอยู่ที่นี่มากที่สุด ใช่ไหมล่ะคะ?”
คุณมิจิฮิโกะหันหน้าหนีไปอย่างว่องไว เหมือนว่าเขาพยายามจะปิดความจริงที่ว่าเขาเอาใจใส่คุณซาโกะอย่างสุดหัวใจ อย่างไรก็ตามคุณเมย์โกะยังไม่จบ
“รู้ไหมว่าพ่อเขาเสียใจแค่ไหนที่แนะนำให้ลูกไปเรียนต่อต่างประเทศน่ะ พ่อเขาคงอยู่ไม่ได้แน่ถ้าลูกไปจริงๆ”
เหมือนคุณมิจิฮิโกะที่ผมรู้จักจริงๆนั่นแหละ
ทางคุณซาโกะก็ดูเหงาหงอยขึ้นทันตา สองคนนี้ก็มีด้านที่คล้ายๆกันสินะ
คุณเมย์โกะยืดอกแล้วถอนหายใจ
“พ่อของลูกกับแม่ต้องคุยกันเรื่องยกเลิกกันแล้วล่ะตอนนี้ เพราะงั้นไปใช้เวลาว่างกันที่อื่นก่อนได้ไหมจ๊ะ? ไม่ต้องห่วงค่าธรรมเนียมตอนยกเลิกด้วยนะ”
“แต่หนูเป็นคนก่อเรื่อง หนูก็ควร…”
“ฟังนะมาจิกะ ลูกไม่เคยก่อปัญหาให้พวกเราเลย ฉะนั้นให้พวกแม่จัดการเรื่องที่เหลือได้รึเปล่า?”
“แต่…”
“ไม่มีแต่”
คุณซาโกะพยายามจะเถียงแม่ของตัวเอง แต่คุณเมย์โกะก็สู้กลับด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มอันเข้มแข็งที่จะให้ความรู้สึกโล่งใจ พอได้เห็นว่าแม่ของตัวเองน่าเชื่อถือขนาดไหน คุณซาโกะก็ได้แต่ยอมแพ้
“เข้าใจแล้วค่ะ…ขอบคุณนะคะคุณแม่”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แม่ดีใจซะอีกที่ในที่สุดก็ได้ทำอะไรให้ลูกสักที”
คุณซาโกะดูมีความสุขอย่างแท้จริง แล้วค่อยๆลูบหัวคุณซาโกะที่ยิ้มแบบเหนียมอายอย่างอ่อนโยน
หลังจากเสร็จจากตรงนั้นแล้ว คุณเมย์โกะก็มองที่กลุ่มพวกผม
“เลิกคุยเรื่องเรียนต่อกันเถอะจ้ะ ไปเช็คเอ้าท์แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเราเอง มายุจังก็ด้วยนะ”
คุณนิชิดะไม่ได้มีท่าทีอะไร แค่มองคุณเมย์โกะกลับเท่านั้น
“โกหกไม่ใช่เหรอคะ?”
“เออ อะไรเหรอจ๊ะ…พูดเรื่องอะไรน่ะ?”
“เห็นไดอารี่ของมาจิกะแล้วใช่ไหมคะ?”
“อ่า เอ่อ คือว่า…”
คุณเมย์โกะเริ่มดูร้อนรน
ทำให้นึกถึงเลยแฮะ สองคนนี้เคยคุยกันเรื่องไดอารี่ตอนผมไปเยี่ยมคุณซาโกะนี่นา
“ไดอารี่นี่…ของคุณซาโกะใช่ไหม ไปเขียนอะไรงั้นเหรอ?”
“ไม่จำเป็นต้องรู้”
คุณนิชิกะตอบกลับผมทันควัน
“พูดเรื่องอะไรอยู่กันล่ะเนี่ย?”
คุณเมย์โกะแกล้งทำเป็นใสซื่อ
“พอทีเถอะค่ะ…”
คุณซาโกะดูจะเขินยิ่งขึ้นไปอีก
ท่าทีของพวกคุณเธอมีแต่ทำให้ผมสงสัยยิ่งขึ้น ผมรู้ว่ามันเป็นของสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์นี้หยุดลง แต่ทางเนื้อหายังคงเป็นปริศนาอยู่
คุณเมย์โกะดูจะมีวุ่นวายใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กำลังดันหลังพวกเรา
“เอาน่า ไปได้แล้วล่ะจ้ะ!”
“เปลี่ยนเรื่องห่วยมากค่ะ…”
คุณนิชิดะวิจารณ์แบบนั้น
“คุณแม่ แย่ที่สุดเลย…”
“พอๆ! รีบไปได้แล้ว!”
เธอดันพวกเราไปไกลกว่าเดิม จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงอันอบอุ่นเรียกชื่อของผม เมื่อหันไปก็เห็นคุณมิจิฮิโกะที่กำลังก้มหัวลง
“ช่วยทำให้มาจิกะมีความสุขทีนะ”
“อา ครับ แน่นอน”
ผมให้คำตอบแบบกำกวมไปในโดยไม่ทันคิด แต่ผมก็ไม่คิดว่าการพยักหน้าเฉยๆจะเป็นตัวเลือกที่ถูก
เอาเถอะ ยังไงก็ตาม ด้วยเรื่องที่ไดอารี่ยังคงเป็นปริศนา พวกผมย้ายกันไปที่ล็อบบี้ คุณซาโกะดูเหมือนจะอารมณ์ดีสุดๆ ระหว่างที่คุยกับคุณนิชิดะ ส่วนผมก็เหมือนเป็นส่วนเกินไปแล้ว
แต่แล้วคุณนิชิดะก็หันมาหาผมและถามผมอย่างไม่ทันคาดคิด
“งั้น พวกนายก็คบกันแล้วสิ?”
“อ่า ก็ใช่ คบกันแล้วล่ะ”
ผมตอบไปอย่างซื่อตรง ขณะที่คุณซาโกะดูจะร้อนรนแปลกๆ
“ฉะ-ฉันนึกว่าจะเก็บเป็นความลับซะอีก!”
“งั้นเหรอ? ผมคิดว่าบอกคุณนิชิดะไปก็ไม่เป็นไรน่ะ โทษทีนะ”
“ได้ยินแล้วล่ะ จะเก็บเป็นความลับกับทุกคนให้เอง”
“ขอบคุณนะ มายุโกะ”
“ไงก็เหอะ”
คุณนิชิดะหยุดฝีเท้า
“นี่ไม่ทำให้เธออยากกินของหวานหน่อยเหรอ?”
“จริงๆก็ประมาณนั้นแหละ”
คุณซาโกะตอบเห็นพ้องต้องกัน
พวกเธอเห็นร้านของฝากอยู่ใกล้ๆ ซึ่งกำลังขายไอศกรีมแบบลิมิเต็ดอยู่พอดี
“เอาล่ะ ให้สึโยชิเลี้ยงเรากันสักหน่อยดีกว่าเนอะ”
“เอ๋? ฉันคิดว่าเรา…”
“ไม่ใช่บอกไปแล้วเหรอว่าจะเปิดใจเรื่องความต้องการของตัวเองหน่อยน่ะ?”
“อ๊ะ นั้นสินะ!”
“ได้เรียนรู้ไปแล้ว งั้นก็เริ่มจากจุดนี้แหละ”
“ทำไมไปตัดสินเอาเองแบบนั้นล่ะ!?”
พอผมตอบกลับไปแต่ก็โดนเมิน แล้วคุณซาโกะเดินมาข้างหน้าผม
“สึโยชิคุง”
“ครับ”
“ฉันอยากกินไอศกรีมอะ!”
พอเจอกับรอยยิ้มที่เปล่งประกายแบบนี้ ผมก็ไม่อาจจะปฏิเสธคำขอเธอได้
ผมเอากระเป๋าตังค์ออกมา ส่วนคุณนิชิดะก็ยิ้มกริ่ม
“แล้วก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหมถ้าจะเลี้ยงเพื่อนรักของแฟนสักคนน่ะ หืม?”
“เข้าใจแล้วๆ โธ่…”
“มาจิกะ หมอนี่โคตรคนดีเลย!”
“ใช่ม้า ใช่ม้า?”
ระหว่างที่พวกเราสามคนไปสั่งไอศกรีม ผมก็คิดกับตัวเอง
เธออาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่คุณซาโกะที่เห็นแก่ตัวก็น่ารักใช่ย่อยเลย
ตอนหน้าตอนสุดท้ายเเล้วจ้าาา
Chapters
Comments
- ตอนที่ 13 พฤษภาคม 29, 2022
- ตอนที่ 12 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 11 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 10 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 9 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 8: ผมก็อยากจะเป็นเหมือนกับเธอนะ เมษายน 16, 2022
- ตอนที่ 7: ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยเหรอ? เมษายน 10, 2022
- ตอนที่ 6: คุณซาโกะอยากจะคุยด้วย? เมษายน 6, 2022
- ตอนที่ 5: ความมั่นใจ เมษายน 2, 2022
- ตอนที่ 4: อร่อยมั้ย? มีนาคม 19, 2022
- ตอนที่ 3: แล้วชอบกระโปรงแบบไหนเหรอ? มีนาคม 15, 2022
- ตอนที่ 2: ฉันดูเป็นยังไงบ้าง? มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 1: เพราะเธอสมบูรณ์แบบเกินไป มีนาคม 11, 2022
MANGA DISCUSSION