ตอนที่ 10
แม้จะการสอบจะ จบไปเกือบ 10 นาที แต่ห้องเรียนก็ยังเต็มไปเสียงอึกทึกครึกโครม การสอบปลายภาคผ่านมาถึงจุดจบเสียที พวกเพื่อนร่วมชั้นก็ไปคุยเรื่องกำหนดการช่วงวันหยุดฤดูร้อนกัน และเนื่องจากผมไม่มีอะไรจะทำช่วงฤดูร้อนแม้แต่นิดเดียว
ผมเลยกะว่าจะกลับบ้านไปเลย ทันใดนั้นเองมือถือของผมก็สั่น
‘นี่นิชิดะที่อยู่ห้องเดียวกันเองนะ ขอโทษนะที่จู่ๆก็ปุบปับก็แอดมาคือว่าฉันแค่อยากจะคุยกับนายเรื่องมาจิกะนิดหน่อยน่ะ ขอความกรุณามาที่สวนมาสึคิตะด้วยนะคะ’
การใช้ภาษาสุภาพแม้แต่ในการส่งข้อความแบบนี้ แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีเลยถึงระยะห่างระหว่างผมกับคุณนิชิดะ พวกเราไม่ค่อยจะคุยกันสักเท่าไรทั้งๆที่อยู่ห้องเดียวกัน ถึงแบบนั้นยังไงผมก็ต้องไปอยู่ดี ยังไงซะคุณซาโกะก็กลับบ้านไปแล้วเพราะไม่ค่อยสบาย
ถ้าเป็นคุณนิชิดะน่าจะรู้อะไรสักอย่างแน่ๆ เพราะฉะนั้นผมเลยส่งข้อความไปว่า ‘เข้าใจแล้วครับ’ และออกจากห้องไป
ผมเช็คแผนที่ในมือถืออยู่เนื่องๆ ใช้เวลาไปประมาณ 20 นาทีกว่าจะมาถึงสวนมาสึคิตะ สวนนี่ตั้งอยู่ตรงใจกลางของเขตที่อยู่อาศัย ก็เลยค่อนข้างแคบ และต้องขอบคุณที่มันเป็นแบบนั้น ผมถึงหาคนที่ผมกำลังตามหาได้เจอทันที
ผมเดินเจ้าไปที่ม้านั่งตรงหัวมุมและเรียกชื่อของเธอออกมา
“ขอโทษที่ให้รอนะ คุณนิชิดะ”
“มาแล้วสินะสึโยชิ”
ขนาดนี่เป็นการพบปะกันครั้งแรกของเราแท้ๆ ท่าทีของเธอก็ยังเฉียบแหลมและเย็นชาจนน่ากลัว
“นั่งก่อนสิ”
ผมทำตามที่บอกแล้วนั่งลงบนม้านั่ง
ขนาดนั่งอยู่บนที่เดียวกันยังรู้สึกเหมือนกำแพงใหญ่ขวางกั้นเราอยู่เลย
คุณนิชิดะพูดขึ้นโดยไม่หันมามองผม
“ตั้งแต่พวกเรารู้จักกันตอนม.ต้น มาจิกะก็ว่านอนสอนง่ายกับพวกอาจารย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมไม่เคยแอบงีบหลับระหว่างเรียนด้วยนับประสาอะไรกับการเรียนด้วยตัวเอง มาจิกะน่ะขยันถึงขั้นนั้นเลยแหละ”
“ได้ยินจากคุณซาโกะแล้วล่ะ เพราะแบบนั้นก็เลยทำให้ผลการเรียนของเจ้าตัวดีขึ้นอย่างมากสินะ”
“ก็ราวๆนั้นแต่ทั้งหมดก็เพราะยัยนั่นเป็นคนเอาจริงเอาจังแล้วก็หูเบาด้วยนั่นล่ะถ้ามีคนบอกให้เรียนก็จะเรียนจะฝึกถ้ามีคนบอกให้ฝึกเพราะแบบนั้นมาจิกะถึงได้ตกอยู่ในอันตรายเสมอเลยยังไงล่ะ ”
“อันตราย? การที่เอาจริงเอาจังมันไม่ดียังไงเหรอ?”
มันเป็นคำถามแบบเถรตรง ซึ่งผมไม่เคยมองเห็นถึงข้อเสียของเรื่องนั้น
คุณนิชิดะลังเลอยู่พักนึง เหมือนกับว่ากะไว้แล้วว่าผมจะถามแบบนี้
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ถ้ามีนักต้มตุ๋นมาบอกให้ซื้อของบางอย่าง ยัยนั่นก็คงจะซื้อน่ะ”
“ไม่มีทางหรอกน่า คุณซาโกะฉลาดจะตายไป ไม่หลงกลอะไรแบบนั้นแน่”
“ตัวอย่างตะกี้คงจะเกินไปหน่อยแต่มันก็ไม่ใช้อะไรที่คิดไม่ถึงหรอกนะ ฉันอยู่กับมาจิกะมาตั้งแต่ม.ต้น ฉันถึงได้รู้ดียังไงล่ะ”
ผมว่าพวกเธอคงอยู่ด้วยกันมาได้ 5 ปีแล้ว อาจจะไม่ได้พูดเวอร์ไปจริงๆก็ได้
“นายเข้าใจเรื่องที่ฉันพยายามจะสื่อใช่ไหม?”
“ก็ไม่ค่อย…”
“นายปฏิเสธมาจิกะเพราะเจ้าตัวสมบูรณ์แบบเกินไปจำได้ไหม? หล่อนเอาสิ่งนั้นเป็นเป้าหมายแล้วพยายามทำลายภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบของตัวเอง หลังๆมานี้มาจิกะเอาแต่ทำอะไรบ้าๆและทั้งหมดนั่นก็เป็นความผิดของนายนั่นแหละ”
น้ำเสียงตึงเครียดของเธอให้ความรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังต่อว่าผมอยู่ แล้วผมก็ก้มหัวลง
มันเชื่อค่อนข้างยากเลยว่าเหตุผลที่หลังๆคุณซาโกะเป็นแบบนี้เพราะอยากจะทำลายภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบของตัวเธอเอง แต่คุณซาโกะก็บอกเองว่าอยากจะเลิกสมบูรณ์แบบ พอคิดแบบนั้นแล้วคำพูดของคุณนิชิดะก็สมเหตุสมผล
มันมีโอกาสที่ผมบังคับให้คุณซาโกะกลายเป็นแบบนี้
“แน่ใจแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ผิดแน่ เพราะงั้นฉันถึงขอให้นายรับผิดชอบอยู่นี่ไงสึโยชิ”
ผมไม่รู้เลยว่าจะพูดยังไงดี ทำได้แค่ก้มหัวเท่านั้น
คุณนิชิดะเอาแขนขึ้นกอดอก หลังจากเงียบไปสักครู่ จู่ๆเธอก็พูดขึ้น
“พูดมาสิ นายเกลียดมาจิกะรึเปล่า?”
“ไม่อยู่แล้ว”
“งั้นก็ชอบสินะ?”
“นั่นมัน…”
“จริงๆไม่ต้องสนเมื่อกี้หรอก ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ตกหลุมรักมาจิกะหลังจากที่ยัยนั่นสารภาพรักอยู่แล้ว”
“…….”
“ยังไงก็แล้วแต่ ความสัมพันธ์ของพวกนายน่ะมันยุ่งเหยิงไปหมด ไปคุยกับมาจิกะแล้วปรับความเข้าใจกันซะ แล้วก็อย่าริอาจทำให้เธอเสียใจเชียวล่ะ”
“ขะ-เข้าใจแล้ว”
คุณนิชิดะอยู่กับคุณซาโกะมานานพอสมควรเธอก็คงจะชินกับเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ แล้วระดับนึง
“ขอบคุณที่บอกผมนะ”
ผมกล่าวขอบคุณเธอ
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ หน้าที่นายน่ะแค่ไม่ทำให้มาจิกะร้องไห้ก็พอ”
“วางใจได้เลย”
เหมือนคุณนิชิดะจะพอใจคำตอบของผม เธอเลยพยักหน้าขณะที่นั่งบนม้านั่ง
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
“ไป…ที่ไหนเหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเรากำลังจะไปเยี่ยมมาจิกะกัน นั่นแหละเหตุผลทั้งหมดทั้งหมดทั้งปวงที่ฉันเรียกนายมา”
“อย่าดีกว่ามั้ง”
เสียงถอนหายใจยาวออกมาจากปากคุณนิชิดะ
“ขอแค่นายเลิกกล้าๆกลัวๆสักที……”
คุณนิชิดะพูดพร้อมเอามือถือออกมา ก่อนจะเริ่มโทรหาใครสักคน
“ว่าไง มาจิกะ ตื่นอยู่ใช่ไหม?”
[จ้ะ กำลังกินผลไม้อยู่เลย]
“เอาสึโยชิไปด้วยได้รึเปล่า?”
เสียงคุณซาโกะสูงขึ้นทันตา
[สึโยชิคุงก็จะมาด้วยเหรอ!?]
ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงไออย่างรุนแรง
“ใจเย็นๆลงก่อน ตอนมีชื่อสึโยชิโผล่ขึ้นมานี่ เธอไม่ดูตื่นตูมไปหน่อยเหรอ?”
[เอเฮะๆ ก็ฉันดีใจนี่นา]
ขนาดแค่ได้ยินเสียงจากมือถือ ผมยังบอกได้เลยว่าคุณซาโกะกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มกับตัวเองอยู่
“งั้นเหรอๆ มีความสุขน่าดูเลยนะเนี่ย?”
[ก็เป็นสึโยชิคุงเลยนา? ก็ต้องมีความสุขอยู่แล้ว คงต้องใส่เสื้อผ้าที่ดีกว่านี้ด้วย จะใส่อะไรดีน้า…]
“รู้ใช่ปะว่านี่ไม่ใช่เดทอะ?”
[ดะดะ-เดท!? กะ-ก็นะ…ตอนนี้ฉันก็ตื่นเต้นอยู่นิดหน่อยแหละ]
ใช่ครับ พวกคุณอาจจะไม่เชื่อว่าคุณเธอกำลังป่วยอยู่ บางทีความคิดอาจจะเพี้ยนเพราะไข้ก็ได้ แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้ระแวงว่าผมกำลังฟังอยู่เลยสักนิดเลยนะเนี่ย?
“เอาล่ะ งั้นฉันให้สึโยชิเขารับช่วงต่อแล้วกัน”
“หา!? สึโยชิคุงอยู่กับเธองั้นเหรอ!?”
“แม่นแล้ว อยู่มาตลอดเลยด้วย”
“ไม่จริ๊งงงงงง!?”
คุณซาโกะแผดเสียงกรีดร้อง ต่อด้วยอาการไอค่อกไอแค่กที่ตามมาติดๆ
“มาจิกะ เป็นอะไรมากรึเปล่า? ขอโทษที่กวนเล่นนะ”
คุณนิชิดะจ้องมาที่ผมด้วยสายตาเร่งเร้า คงจะอยากให้ผมพูดอะไรสักอย่าง
เนื่องจากผมเป็นผู้ฟังเงียบๆมาตลอดทาง เลยรู้สึกไม่ดีกับการแอบฟังแบบนี้นัก
แล้วเสียงของผมก็ผุดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก
“เออ…ผมสึโยชิเองนะ”
[อึก…]
“เป็นไงบ้าง?”
[ก็ดีขึ้นนิดหน่อย…ล่ะมั้ง]
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ พวกผมไปเยี่ยมตอนนี้จะเป็นอะไรรึเปล่า?”
[ที่จริงแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังเขินๆอยู่น่ะ อย่ามาเลยนะ]
“เออ…”
[เมื่อกี้โกหกน่ะ มาเยี่ยมฉันทีเถอะ]
“ได้เลย จะใส่ชุดนอนทั้งอย่างนั้นเลยก็ได้นะ”
[…คนขี้แกล้ง !]
เธอวางสายอัดหน้าผม ตอนแรกผมก็เป็นห่วงว่าอาการจะหนัก แต่ดูๆแล้วดูกระฉับกระเฉงกว่าปกติอีก สงสัยพอเป็นไข้แล้วคุณซาโกะจะกลายเป็นเด็กนิสัยเสียล่ะมั้ง
“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่ามาจิกะจะดีใจ”
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ไปบ้านผู้หญิง ถึงจะไปเยี่ยมไข้ก็เถอะ
รู้สึกประหม่าตามคาดเลย แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณซาโกะผิดหวัง
“อื้ม ผมจะไปแน่ๆ ช่วยพาผมไปได้รึได้รึเปล่า?”
พอได้ฟังคำตอบของผม สีหน้าของคุณนิชิดะก็ผ่อนคลายเป็นครั้งแรก
“ฉันตั้งใจแบบนั้นไว้ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ”
พวกเราทิ้งสวนสาธารณะไว้เบื้องหลังแล้วเดินทางเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัย
“ตรงนั้นไง”
คุณนิชิดะพูด พร้อมชี้ไปที่บ้านที่ดูเรียบง่ายหลังออกมาจากสวนสาธารณะได้ไม่กี่นาที
แต่จะพูดก็พูดเถอะ ผมยังเตรียมใจไม่ได้เลย บนประตูของบ้านสามชั้นมีคำว่า ‘ซาโกะ’ เขียนเอาไว้ ทำให้ผมรู้สึกตัวเลยว่าผมได้มาที่นี่จริงๆแล้ว
เหลื่อเย็นๆผุดขึ้นบนหน้าผาก ขณะที่ผมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คุณนิชิดะก็กดกริ่งไปอย่างง่ายๆ
“นิชิดะเองค่ะ คือหนู แวะมาเยี่ยมมาจิกะน่ะค่ะ”
‘อุ๊ยแหม่ มายุจังเองเหรอจ๊ะ? ยินดีต้อนรับยินดีต้อนรับ กำลังไปเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้แหละจ้ะ’
“ขอบคุณค่ะ”
ทันใดนั้นเองประตูหน้าก็เปิดออก สาวงามที่ให้ความรู้สึกคล้ายคุณซาโกะได้ปรากฏตัว ดวงตาของเธอนั้นเหมือนกับคุณซาโกะจนแยกไม่ออก ไม่ต้องคิดซ้ำให้เสียเวลาเลยว่าคนๆนี้แหละคือแม่ของคุณซาโกะ
“สวัสดีค่ะ มาม๊าของมาจิกะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
“นานจริงๆนั่นแหละเนอะ! อุ๊ยตาย…พ่อหนุ่มตรงนั้นคือ?”
คุณแม่ของคุณซาโกะจ้อมมองมาที่ผม ผมรีบแนะนำตัวตามที่เตรียมตัวไว้ในหัวทันที
“เออ ผมเป็นเพื่อนของคุณซา-คุณมาจิกะ ชื่อสึโยชิครับ”
“แหม่ๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ ฉันชื่อเมย์โกะจ้ะ”
เธอพูดแล้วเริ่มยิ้มกริ่ม
“งั้นเธอก็คือสึโยชิคุงคนนั้นสินะ…หืม…”
คุณเมย์โกะเข้ามาใกล้ๆแล้วเริ่มสอดส่องผมทุกซอกทุกมุม
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอดูเหมือนจะดูพอใจอย่างบอกถูก หลังจากยิ้มให้ส่งท้าย เธอก็เชิญพวกผมเข้าไปด้านใน
“เข้ามาเลยจ้ะ มาจิกะอยู่ชั้นสาม ขึ้นไปหาได้เลยนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
คุณนิชิดะดูจะคุ้นชินกับการมาบ้านหลังนี้แล้ว เธอเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่ลังเล พอผมจะตามเธอไป คุณเมย์โกะก็กระซิบข้างหูผม
“ฉันน่ะนะอยากให้เธออยู่กินมื้อเย็นกับพวกเรามากเลยล่ะ แต่คงจะดีกว่าถ้าเธอกลับไปก่อนที่คุณพ่อเขาจะมา พอดีช่วงนี้คุณพ่อเขามีประเด็น กับมาจิกะอยู่นิดหน่อยน่ะ”
คุณซาโกะเคยบอกเรื่องของคุณพ่ออยู่ไม่กี่ครั้ง เขาบังคับให้คุณซาโกะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่อยากทำ แล้วช่วงนี้ยังมีทะเลาะกันอีก การที่เขาพูดว่า ‘ถ้าจะทำอะไรสักอย่างล่ะก็ ก็ควรจะซื่อตรงกับมัน’ ผมก็พอจะบอกได้เลยว่าเขาต้องเป็นคนเข้มงวดแน่ๆ
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบๆกลับให้”
เหมือนว่าคุณนิชิดะจะได้ยินเรื่องที่ผมกับคุณเมย์โกะคุยกัน เธอจึงหันกลับมา
“รู้เรื่องสึโยชิด้วยเหรอคะ?”
“แน่นอนสิจ๊ะ”
“…ได้ไงกันเนี่ย? คงไม่ได้ไปแอบดูไดอารี่ของมาจิกะหรอกใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ ส่วนตัวฉันก็อยากอ่านอยู่นะ แต่หลังจากที่ฉันเคยเจอมันครั้งนึง มาจิกะก็เอาไปซ่อนที่อื่นเลย มายุจังพอจะรู้ที่ที่มาจิกะน่าซ่อนไดอารี่เอาไว้ไหมล่ะจ๊ะ?”
คุณนิชิดะดูเหมือนจะมองคุณเมย์โกะด้วยความรังเกียจพร้อมจ้องมองต่ำลงมา
“ถ้าคุณเข้าไปในห้องมาจิกะล่ะก็ หนู ก็คงจะฟ้องมาจิกะได้ใช่ไหมคะ?”
“…อย่าเลยนะ มายุจัง มาจิกะคงจะไม่คุยกับฉันอีกแน่ ครั้งก่อนก่อนปาไปสามวันเลยกว่ามาจิกะจะยอมปริปากพูดกับฉันเนี่ย”
“ก็สมควรแล้วนี่คะ”
การที่เห็นคุณเมย์โกะดูแตกตื่น กับคำพูดของคุณนิชิดะแบบนี้ เล่นทำเอาผมสงสัยเลยตกลงว่าใครเป็นเด็กใครเป็นผู้ใหญ่กันแน่?
คุณนิชิดะปิดปากแล้วหันกลับไปเดินขึ้นบันไดต่อ ส่วนผมก็เดินตามไปด้วย
จากด้านหลัง ผมได้ยินเสียงครวญครางของคุณเมย์โกะว่า ‘มายุจัง ขอร้องล่ะ…’
ทันทีที่เรามาสุดขั้นบันได พวกเราก็ได้เจอกับห้องของคุณซาโกะ ต้องเป็นของเธออยู่แล้ว ก็หน้าห้องเขียนไว้ว่า ‘มาจิกะ’ นี่นะ
ผมไม่เคยเข้าห้องผู้หญิงมาก่อน ไม่ต้องพูดเรื่องที่คุณซาโกะกำลังนอนอยู่หลังประตูนี้ ไม่ใส่อะไรนอกจากชุดนอน…
ผมพยายามสูดหายใจลึกเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นหัวใจ แต่คุณนิชิดะก็เคาะประตูไปซะแล้ว
“มาจิกะ จะเข้าไปแล้วนะ”
มีลมเย็นพรั่งพรูออกมาจากประตูที่ถูกเปิดออก ที่น่าจะมาจากการเปิดเครื่องปรับอากาศ ตามด้วยกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกสงบและปลอดโปร่ง คงจะเป็นน้ำหอมสักชนิดล่ะมั้ง
หลังจากเข้าไปด้านใน ผมก็เห็นห้องที่ถูกครอบคลุมด้วยแสงจางๆที่เข้ามาจากช่องว่างของผ้าม่าน เป็นห้องที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี พื้นก็สะอาดสะอ้าน ตู้หนังสือถูกเติมเต็มไปด้วยของของตกแต่งเล็กๆที่ดูดีมีสไตล์
“อรุณสวัสดิ์มาจิกะ เปิดไฟได้ไหม?”
คุณนิชิดะถาม แล้วก็มีเงาตะคุ่มขยับอยู่บนเตียง
“อื้ม ได้เลยมายุโกะ”
คุณนิชิดะกดสวิตซ์ และแสงก็สว่างไปทั่วห้อง แล้วผมกก็สามารถเห็นหน้าของคุณซาโกะอย่างชัดเจนบนเตียงนั้น ดวงตาของเธอดูเซื่องซึมกว่าที่เคย หน้าม้าก็ดูยุ่งๆด้วย ปกเสื้อของชุดนอนสีเหลืองโผล่ขึ้นมาจากผ้าห่ม
คุณซาโกะคงรู้ตัวแล้วว่าผมก็มาด้วย ดูจากดวงตาที่เบิกโพลงนั่น แถมยังเอาหน้าไปไว้ใต้ผ้าห่มอีก
“วะ-หวัดดีคุณซาโกะ”
“น่าอายชะมัดเลยอ่า…ช่วยลืมๆเรื่องที่ฉันพูดไปครั้งก่อนทีเถอะนะ…”
บอกได้เลยว่าคุณซาโกะตอนนี้คงจะเจ็บปวดทรมาณอยู่พอตัวแน่ๆ ขณะเดียวกันคุณนิชิดะก็ยิ้มเจือน
“ถ้ามาเยี่ยมแล้วไม่โผล่หน้าให้เห็นแบบนี้มันจะไปมีความหมายอะไรเล่า?”
เสียงของเธอดูใจดีและอ่อนโยนไม่เหมือนที่แล้วมา เหมือนกับกำลังพูดกับน้องสาวอยู่ ก่อนที่คุณซาโกะจะได้พูดอะไร คุณนิชิดะก็เอาถุงพลาสติกออกมาจากกระเป๋าเรียน แล้ววางมันบนโต๊ะของคุณซาโกะ
“ฉันซื้อเครื่องดื่มชูกำลังมาให้ แล้วก็ของจิปาถะอีกนิดหน่อยด้วย วางไว้ให้ตรงนี้นะ”
“ว้าววว ขอบคุณน้า!”
คุณซาโกะเริ่มเอาหน้าออกมาจากผ้าห่ม เนื่องจากใส่หน้ากากอนามัยอยู่ เสียงเลยดูอู้อี้เล็กน้อย
แล้วพอคุณนิชิดะทำธุระเสร็จ เธอก็เอากระเป๋ากลับมาพาดบ่า
“เอาล่ะ ฉันกลับโรงเรียนก่อนนะ ที่เหลือฝากด้วยล่ะ สึโยชิ”
“เอ๋!?”
ผมเผลอป่ลอยเสียงที่ดูบื้อๆออกไป
“เดี๋ยวฉันต้องไปทำกิจกรรมชมรมน่ะ แล้วฉันก็ไม่เหมือนมาจิกะ ฉันน่ะห่วยบรมเลย”
“ถะ-ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะกลับบ้านด้วย”
ทั้งหมดต้องขอบคุณคุณนิชิดะที่ทำให้ผมเข้ามาในห้องผู้หญิงได้โดยไม่ประหม่ามากนัก
เพราะงั้นถ้าเธอจากไป ผมคงทำไม่ได้แม้แต่หายใจดีๆด้วยซ้ำแหง อย่างไรก็ตามคุณนิชิดะก็ทรยศความคาดหวังของผมโดยสมบูรณ์
“ต้องอยู่สิตาบื้อ นายมันชมรมตรงดิ่งกลับบ้านไม่ใช่เรอะ การสอบก็จบไปแล้วด้วย หรือว่านายมีแผนอื่นจะทำหลังจากนี้?”
“ก็ไม่มีหรอก แต่ผมมารบกวนตอนคุณซาโกะไม่สบายไม่ได้…”
“มาจิกะจะเลือกเองว่านายมารบกวนหรือไม่รบกวน เอ้า บอกหมอนี่ไปเลยสิมาจิกะ ว่าอยากให้อยู่หรืออยากให้ไป?”
คุณซาโกะหน้าแดงแล้วเริ่มใช้ความคิดขณะมองมาที่ผม
“…อยู่ต่ออีกหน่อยเถอะนะ”
เสียงหวานๆของเธอเข้ากุมหัวใจผมทั้งดวง ดวงตาที่สั่นเครือด้วยความลังเล คิ้วที่แสดงถึงความเหงาเปล่าเปลี่ยว ผมว่ามันคงไม่มีผู้ชายคนไหนบนโลกที่ปฏิเสธคำขอนี้ได้หรอก
“…เข้าใจแล้ว”
“ขอบคุณนะ”
หน้าอกผมรู้สึกผ่องโตอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันคุณนิชิดะก็เอากระเป๋าไปพาดไหล่เรียบร้อยแล้ว
“งั้นฉันไปล่ะนะ”
“ขอบคุณมากเลยนะมายุโกะ เจอกันที่โรงเรียนนะ”
“บายจ้าา”
ระหว่างเดินออกไปจากห้อง คุณนิชิดะก็เตะเข้าหน้าแข้งผมเต็มเปา
“ทำไมมาเตะผมงี้ล่ะ!?”
“มาจิกะไม่เคยหวังพึ่งอะไรฉันเลยสักนิด แต่พอมีนายอยู่รอบๆยัยนั่นก็กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปเลย มันทำฉันรำคาญนะจะบอกให้”
ไม่ดูไร้เหตุผลไปหน่อยรึไง!
“ยังไงก็เหอะ ฉันก็ไม่ได้เชี่ยวเรื่องอะไรแบบนี้สักเท่าไร แต่ดูแลมาจิกะด้วยล่ะ”
“ถ้าไม่ชอบ แล้วทำไมไม่อยู่แทนผมล่ะ?”
ผมพยายามสุดความสามารถเพื่อที่จะเถียงกลับแต่ก็ถูกเมินโดยคุณนิชิดะผู้กำลังวิ่งออกเหยาะๆออกจากห้องไปแล้ว ตอนนี้
วินาทีที่เหลือแค่พวกผมสองคนในห้อง แม้แต่เสียงของเครื่องปรับอากาศยังได้ยินชัดเจนแจ่มแจ๋ว แต่ละคนไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ในตอนที่ผมกำลังได้แต่ยืนเฉยนั้นเอง คุณซาโกะก็หลุดขำออกมา
“จะใช้เก้าอี้ที่โต๊ะฉันก็ได้นะ มานั่งข้างๆฉันสิ”
“อะ-อื้ม”
ผมขยับเก้าอี้ไปข้างๆเตียงแล้วนั่งลงบนนั้น ผมต้องพูอะไรสักอย่างสินะ…
“รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ดีขึ้นเยอะแล้ว พรุ่งนี้คงไปโรงเรียนได้แล้วล่ะ”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”
นั่นคือจุดจบบทสนทนาของเรา ไม่เหมือนกับการคุยไลน์ที่ทำกันเป็นประจำ ผมหาเรื่องอะไรมาคุยไม่ได้เลย
ขณะที่ผมกำลังหาเรื่องคุยอยู่นั่นเอง คุณซาโกะก็เป็นฝ่ายพูดก่อน
“วันที่ไปติวน่ะ ดูเหมือนการที่ฉันตัวเปียกโชกขนาดนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายฉันซะแล้วล่ะ ตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
วันนั้นเป็นวันที่ผมเผลอหลุดปากคำสารภาพไป แค่คิดก็ทำเอาหัวร้อนจี๋แล้ว ผมเลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะจริงสิ คุณซาโกะหลับระหว่างสอบครั้งที่แล้วสินะ? การสอบพวกนั้นน่ะคงจะมีแต่ทำให้อาการทรุดลงเท่านั้นแหละ”
“ก็อาจใช่ แต่สึโยชิคุงไม่เป็นไรเลยเหรอ?”
“อื้ม แน่นอน ตัดเวลานอนแล้วอ่านหนังสือมากขึ้นด้วย”
โดยเฉพาะช่วงไม่กี่วันก่อนสอบเนี่ย ผมเรียนจนเข้ากระดูกกำเลยล่ะ แต่ก็ไม่คิดว่าผมนอนน้อยกว่าขั้นต่ำที่ควรนอนล่ะนะ
“งั้น… ตอนนี้ง่วงรึเปล่า?”
เธอถามผมด้วยเสียงเซื่องซึม แล้วจู่ๆร่างกายของผมก็ถูกโจมตีด้วยความง่วงขั้นสุด
ผมอุตส่าห์นอนมากกว่าปกติเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไปแท้ๆ แต่สงสัยร่างกายผมคงจะล้าไปหน่อย
“รู้ด้วยสินะเนี่ย จริงๆผมก็แอบง่วงนิดหน่อย”
“จริงเหรอเนี่ย”
ขนาดใส่หน้ากากอยู่ผมยังรู้เลยว่าคุณซาโกะกำลังยิ้ม ผมผ่านสถานการณ์แบบนี้มานักต่อนักจนรู้ว่าเธอต้องทำอะไรห่ามๆอีกเป็นแน่แท้
ผมระวังตัวมากขึ้น เมื่อคุณซาโกะขยับตัวให้มีที่ว่างบนเตียง
จากนั้นเธอก็เปิดผ้าห่มแล้วเชื้อเชิญผม
“มานอนด้วยกันไหม?”
ความคิดผมหยุดชะงักโดยสมบูรณ์ หลังจากความเงียบอันสั้น ผมก็ตั้งสติได้สักที
“เป็นไข้ไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวผมก็ติดหรอก”
“ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ”
“แต่คุณเมย์โกะอยู่ชั้นหนึ่งนะ”
“ตอนนี้คุณแม่กำลังเตรียมมื้อเย็นอยู่ เพราะงั้นไม่เป็นไร”
“แต่…”
ผมพยายามหาข้ออ้างที่ดูมีเหตุผลอย่างสิ้นหวัง คือผมไม่กล้านอนกับผู้หญิงที่ยังไม่ได้คบกันไง
อย่างไรก็ตาม คุณซาโกะก็ยังไม่เลิกรา
“ฉันไม่บอกใครหรอก นี่จะเป็นความลับของพวกเรา เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วนี่นา? แล้วสึโยชิคุงเองก็…รู้สึกแบบนั้นกับฉันใช่ไหมล่ะ? สึโยชิคุงต้องอยากอยู่ใกล้ๆฉันอยู่แล้ว”
ผมหวังว่าคุณซาโกะจะไม่ยกเรื่องนั้นขึ้นมาเถียงจริงๆ…
หน้าผมร้อนขึ้นอย่างกับไฟ ถึงจะเป็นแบบนั้น ผมก็ยังอยากเลี่ยงที่จะนอนข้างๆคุณซาโกะ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมหาข้ออ้างอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ส่งวนคุณซาโกะก็ยังรุกผมต่ออีกรอบ
“สึโยชิคุงเกลียดฉันเหรอ? เพราะแบบนั้นถึงไม่อยากเข้าใกล้ฉันสินะ?”
บอกได้เลยว่านี่คุณเธอแค่แอคติ้งเฉยๆ แต่ว่ากันตามตรงผมก็ยังอ่อนกับคุณซาโกะอยู่ดี
“นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย”
“นายชอบฉันที่ไม่สมบูรณ์แบบใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อฉันทั้งซุ่มซ่าม ไม่มีความเป็นผู้หญิง ไม่ขยัน แล้วยังนิสัยเสียตั้งขนาดนี้…ฉันก็ยังไม่ดีพอสำหรับสึโยชิคุงอีกงั้นเหรอ?”
เธอจ้องมองมาในตาของผม
เป็นตามที่คุณนิชิดะพูดนั่นแหละ ทุกอย่างมันเริ่มจากการที่ผมปฏิเสธคำสารภาพของคุณซาโกะ
เธอพยายามทำลายภาพลักษณ์ที่ดูสมบูรณ์แบบด้วยการทำอะไรที่มันแปลกๆ หรือถ้าจะให้พูดก็คือ ผมเป็นคนขังเธอในกรงที่ไม่มีทางออกนี้
“ถ้าไม่เกลียดฉันล่ะก็…พิสูจน์สิ”
จะหันหลังหนีไปไม่ได้เด็ดขาดเพราะคนที่ทำให้เธอมีแนวคิดแปลกๆและทำให้ตัวเธอต้องบิดเบี้ยวไปก็คือตัวผมเองยังไงล่ะ
ผมค่อยๆลุกจากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ผมพยายามทิ้งระยะจากคุณซาโกะเท่าที่ทำได้ ก็เลยทำให้ตัวผมห้อยต่องแต่งออกจากเตียงไปครึ่งตัว
แต่แล้วดูเหมือนว่าคุณซาโกะจะยังไม่พอใจกับแค่นั้น
“ไกลไป”
เธอจับเนคไทผมแล้วดึงเข้าไปใกล้ๆจนทำให้ผมตัวกลิ้งไปหนึ่งตลบ สุดท้ายก็อยู่บนเตียงไปทั้งตัวจนได้ ทั้งตาทั้งจมูกของคุณซาโกะกำลังอยู่ตรงหน้าผม ลมหายใจของพวกเราสอดผสานเป็นจังหวะ ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งความอบอุ่นในร่างกาย หรือแม้แต่จังหวะหัวใจยังเป็นหนึ่งเดียวกัน
“สึโยชิคุง”
คุณซาโกะพูด
“มีผู้หญิงที่ทำเรื่องแบบนี้ด้วยรึเปล่า? แล้วคิดว่าฉันยังไม่คู่ควรอยู่อีกไหม?”
“แทนที่จะบอกว่าไม่คู่ควร ผมว่าคุณซาโกะหยุดก่อนจะดีกว่านะ แบบนี้มันไม่ดีต่อใจผมสักเท่าไร…”
ผมพยายามสุดตัวเพื่อหลักเลี่ยงเธอให้ได้ แต่คุณซาโกะก็ยังคลอเคลียหน้าอกผมอย่างไม่หยุดยั้ง หน้าผากน้อยของเธอกำลังสัมผัสกับไหปลาร้าของผม
“คะ-คุณซาโกะ…!”
“จริงๆแล้วสึโยชิคุงก็อยากทำอะไรแบบนี้ใช่ไหมล่ะ….?”
เริ่มพอจะเข้าใจแล้ว จนกว่าภาพลักษณ์สมบูรณ์แบบของตัวเองจะถูกทำลาย คุณซาโกะก็จะหัวรั้นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
“ขอโทษนะฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าผลสอบก็ใกล้จะออกเต็มทีแล้วแต่อย่างน้อยๆ….ขอแค่วันนี้”
เสียงของเธอเบาราวกับจะจางหายไป
ผมสัมผัสได้เลยว่าเธอกังวลถึงขนาดไหน ผมนึกว่าเธอทำตัวแบบนี้เพราะเธอรู้สึกเหงาซะอีก แต่จริงๆแล้วคงจะไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก
“มีอะไรรึเปล่า?”
ไหล่ของคุณซาโกะสั่นเทา ลมหายใจเองก็แผ่วเบา จนเหมือนกลับกลัวอะไรบางอย่าง ถ้าให้เดาก็คือจิตใจของคุณซาโกะเพี้ยนไปเพราะพิษไข้
ตอนผมเป็นไข้เมื่อก่อน ผมก็รู้สึกเหงา แล้วเพราะพ่อแม่ของผมนั้นทำงานอยู่ตลอดเวลา และผมก็ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว
คุณซาโกะในตอนนี้ก็คงจะรู้สึกแบบนั้นอยู่แน่ๆ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หายแล้ว ไข้มันก็เป็นแบบนั้นล่ะ”
“งั้นเหรอ…นั้นสินะ ถ้าวันพรุ่งนี้มาถึง…”
ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่เสียงก็ยังคงสั่นเครือ หลังจากใช้เวลาคิดไปสักพัก ผมก็ใช้แขนขวาโอบไหล่ของคุณซาโกะ เมื่อมือของผมสัมผัสกับตัวเธอ ไหล่ของเธอก็กระตุกเบาๆ แต่ก็สงบลงในทันที หัวใจผมมันเต้นรัวเหมือนกับมันจะทะลุออกมา
ก็นะผมไม่เคยกอดผู้หญิงมาก่อน แล้วคุณซาโกะก็ไม่ได้เป็นแฟนผมด้วย ไม่ด้วยซ้ำว่าผมทำแบบนี้ทำไม แต่ร่างกายของผมมันเร่งเร้าให้ผมปลอบคุณซาโกะแบบนี้
“…ลูบหัวทีสิ”
คุณซาโกะขอผมด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
ผมสูดหายใจลึกก่อนจะวางมือขวาลงบนหัวของเธอ แล้วก็เพราะผมไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไงถึงจะดี ผมแค่ขยับมือให้อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ผมเนียนนุ่มของเธอรูดผ่านนิ้วของผม และเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก คุณซาโกะก็หลังลงไปซะแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
มั่นใจเลยว่าถ้าคุณซาโกะตื่นขึ้นเมื่อไร ตอนนั้นอาการก็คงจะดีขึ้นแน่ๆ
ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจเบาๆบนหน้าอกของผม แล้วผมก็เริ่มจะง่วงเองแล้วด้วย ผลจากการนอนไม่พอมันมาออกอาการตอนนี้เนี่ยนะ
ก่อนที่ผมจะทันได้รู้ตัว สติของผมก็ค่อยๆร่วงหล่นสู่ห้วงความหืด
…
เมื่อผมตื่นขึ้นมาผมก็ตกใจเบ้าตาแทบถลน ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปขนาดไหนตั้งแต่ผมผล็อยหลับไป ผมค่อนลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ให้คุณซาโกะตื่นแล้วเช็คมือถือดู
เป็นเวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงแล้วที่ผมมาที่นี่ ผมควรจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ก่อนพ่อของคุณซาโกะจะมาถึง
“เจอกันพรุ่งนี้นะ คุณซาโกะ”
ผมบอกอย่างเงียบๆแล้วปิดประตูข้างหลังผมอย่างแผ่วเบา
หลังจากเดินลงบันไดไป ผมก็วิ่งไปหาคุณเมย์โกะ
“อ้าวแหมๆ กะจะไปเรียกพอดีเลยนะเนี่ย”
“ขอโทษที่อยู่นานนะครับ”
ผมเดินไปตรงทางเข้า
“ขอบคุณที่มาเยี่ยมนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงก็ขอโทษที่มาโดยไม่ได้บอกด้วยนะครับ”
“มาจิกะหายเมื่อไรก็มาเยี่ยมอีกได้นะ แล้วสึโยชิคุงก็จะได้เล่าว่าทั้งสองคนเริ่มต้นกันแบบไหนไงล่ะ”
“พวกผมไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นกันนะครับ+”
“รู้แล้วล่ะจ้า ก็เธอปฏิเสธลูกสาวผู้น่ารักของฉันไปนี่นา”
นี่รู้ด้วยเหรอเนี่ย!? รอยยิ้มของคุณเมย์โกะเปี่ยมไปด้วยแสนยานุภาพจนสันหลังผมเสียววาบ
“ตะ-ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ…”
“ล้อเล่นจ้ะ ไม่ต้องขอโทษหรอก จริงๆแล้วฉันดีใจด้วยซ้ำที่เธอปฏิเสธมาจิกะน่ะ”
“เอ๋ ทำไมล่ะครับ…?”
บางทีผมกับคุณซาโกะคงไม่เหมาะกันจริงๆสินะ
“ไม่แน่ใจว่าเรื่องลูกสาวตัวเองเป็นเรื่องที่ควรพูดรึเปล่านะแต่ว่ามาจิกะน่ะทั้งใจดีแล้วก็เอาจริงเอาจังใช่ไหมล่ะ!? เพราะแบบนั้นฉันก็เลยดีใจที่เห็นมาจิกะจัดลำดับความสำคัญกับความรู้สึกทางรักๆใคร่ๆแล้วสุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเองน่ะ”
“…นี่เธอคนนั้นอ่อนไหวขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“วันที่เธอปฏิเสธมาจิกะน่ะ ลูกสาวฉันร้องไห้เลยนา”
“อ๊ะ…ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ…!”
ผมก้มหัวอย่างสุดตัว
“ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยครับ!”
คุณเมย์โกะโบกมือของตัวเอง
“มาจิกะน่ะเป็นคนที่ไม่เคยร้องไห้เลยล่ะจ้ะ ทั้งใจเย็นและรอบคอบอยู่เสมอ ไม่เคยต่อต้านพวกเราเลยสักครั้ง เพราะงั้นฉันถึงมีความสุขที่มาจิกะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและหมกมุ่นในความรักแบบนั้น มาจิกะน่ะนะจริงจังกับเธอพอที่จะร้องไห้ให้ได้เลยล่ะจ้ะ”
คุณเมย์โกะยิ้มอย่างอ่อนโยน
รอยยิ้มนั้นเหมือนกับรอยยิ้มของคุณซาโกะทุกกระเบียดนิ้ว และเพราะผมเป็นคนที่ทำให้คุณซาโกะร้องไห้ พอมาฟังเรื่องที่คุณเมย์โกะเล่าก็ทำเอาจักจี้นิดๆ
“อืม…แล้วทำไมถึงเล่าให้ผมฟังล่ะครับ?”
“อุ๊ยต๊าย ขอโทษนะจ๊ะ ฉันไม่ได้จะบอกให้เธอไปคบกับมาจิกะหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ เธอมีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยๆฉันก็แอบหวังให้ทั้งเธอกับมาจิกะสนิทดันนะ”
“แน่นอนครับ”
ผมพูดอย่างมั่นใจ ส่วนคุณเมย์โกะก็หรี่ตาลง
“งั้นเหรอ โล่งอกไปที ถ้างั้นฉันว่าเธอกลับไปตอนนี้จะดีกว่า สามีฉันคงใกล้จะกลับมาแล้ว เขากะว่าจะเลิกงานเร็วหน่อยเพราะมาจิกะไม่สบาย-”
เสียงเหล็กกระทบกันดังมาจากทางประตูหน้า เมื่อผมหันไปก็เห็นคนคนนึงเข้ามา
ผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เขาเป็นผู้ชายที่ใส่ชุดสูดดูดีมีราคา ทรงผมก็เนี้ยบสุดๆ ริ้วรอยบนใบหน้าไม่เด่นชัดนัก แต่รูปร่างก็ค่อนข้างสูง แล้วก็ไม่ได้ดูมีอายุมากด้วย และแน่นอนว่าผมไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเดาเลยสักนิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
ถึงงั้นก็เถอะ จะจังหวะนรกไปไหมเนี่ย…
“อ้าวแหม ยินดีต้อนรับกลับค่ะคุณ เด็กคนนี้เป็นเพื่อนของมาจิกะชื่อสึโยชิคุง พอดีเขาแวะมาเยี่ยมมาจิกะน่ะ”
“ฉันเป็นของมาจิกะชื่อมิจิฮิโกะ ขอบคุณที่คอยดูแลลูกสาวฉันนะ”
“อา ไม่เป็นไรหรอกครับ…ผมชื่อสึโยชิ ฮารุครับ”
พอพวกเราทักทายกันเสร็จ ก็จบด้วยความเงียบงันจนรู้สึกอึดอัด แต่ถ้าจะให้พูด ผมตอนนี้น่ะอยากจะกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ผมก็เลยก้มหัว
“ถ้างั้น ผมขอตัว…”
ผมเดินก้มหัวผ่านคุณมิจิฮิโกะ แล้วใส่รองเท่าอย่างรวดเร็ว และเมื่อผมไปถึงประตู จู่ๆก็มีใครบางคนมาจับไหล่ผม
“สึโยชิคุงสินะ? ฉันอยากจะให้เธออยู่ต่อสักหน่อย… เอาของหวานนี่เป็นของตอบแทนก็ได้นะ”
เขาพูดพร้อมเอากล่องในมือขึ้นมาโชว์
น้ำเสียงอาจจะฟังดูใจเย็นก็จริง แต่สีหน้าที่แข็งเป็นหินของเขาทำให้ผมเดาใจเขาไม่ออกเลย แล้วก็ทำให้ผมวอกแวกกว่าเดิมด้วย
สัญชาตญาณกำลังบอกให้ผมวิ่งหนี แต่ถ้าผมทำอะไรเสียมารยาท เขาก็อาจจะบอกคุณซาโกะให้อยู่ห่างๆจากผม สุดท้ายแล้วผมก็ต้องจำใจเดินกลับไปที่ทางเดินอีกครั้ง
…
ผมถูกพามาที่ห้องนั่งเล่น แล้วก็ต้องตกใจกับขนาดของมัน ส่วนนึงด้านหลังห้องถูกทำเป็นห้องครัวในตัวห้อง แต่มันก็ยังอัดแน่นไปด้วยเฟอร์นิเจอร์มากมาย ดีไซน์เองก็ดูทันสมัย ด้านหน้าของโซฟาก็มีทีวีจอแบนตั้งไว้ มันเหมือนกับผมกำลังอยู่ในห้องตัวอย่างที่มักเจอเวลาไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์เลย
ผมตอนนี้เหมือนถูกดึงดูดด้วยความงดงามของห้องนี้ แต่น่าเศร้าที่ผมไม่มีเวลาทำแบบนั้นมากเท่าไร ก็เพราะว่าคุณมิจิฮิโกะกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผมอยู่นี่ไง
คุณเมย์โกะเริ่มเตรียมทำอาหารเย็น ดังนั้นเลยไม่มีใครมาช่วยผมได้สักคน แต่ตั้งแต่ที่พวกเรานั่งกันมา คุณมิจิฮิโกะไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ เพราะงั้นมันเลยเงียบจนอึดอัดโคตรๆ
ส่วนไอ้ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ก็เลยเอาแต่จ้องโต๊ะไม้ตรงหน้าอย่างเดียว
“มาจิกะน่ะ-”
จู่ๆคุณมิจิฮิโกะก็เริ่มพูดขึ้นมา ผมเลยต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม
“ที่โรงเรียนมีความสุขดีรึเปล่า?”
“…เอ่อ ครับก็คงงั้น”
เพราะวิธีถามของเขามันคลุมเครือ ผมก็เลยคิดหาคำตอบที่ดีกว่านั้นไม่ได้ แต่คุณมิจิฮิโกะก็ไม่ได้ใส่ใจแล้วถามต่อไป
“แล้วมาจิกะเรียนได้ตามมาตรฐานไหม”
“ก็ประมาณนั้นครับ ผลการเรียนของเธอบ่งบอกถึงเรื่องนั้นได้ดีเลย”
“สนิทกับเพื่อนๆดีรึเปล่า?”
“ครับ เป็นที่นิยมในห้องสุดๆเลยด้วย”
“เรื่องชมรมยังตั้งใจอยู่ไหม?”
“น่าเสียดายที่เราสองคนไท่ได้อยู่ชมรมเดียวกัน ผมก็เลยไม่ทราบน่ะครับ”
ผมถูกรัวคำถามใส่เป็นชุดจนผมหัวหมุนไปหมด นึกว่าจะเป็นแนวคุณพ่อหวงลูกซะอีก แต่จริงๆแค่เป็นห่วงเป็นใยเฉยๆงั้นเหรอเนี่ย? แต่ก็นะจริงๆก็แอบเยอะไปนิดนึง และหลังจากคำถามต่อจากนั้นอีกนิดหน่อย
“แล้วมาจิกะ-”
“คุณคะ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
คุณเมย์โกะเดินมาจากห้องครัว พร้อมถือถาดด้วยมือสองข้าง ซึ่งมีถ้วยพุดดิ้งวางอยู่บนนั้นด้วย
“นี่จ้า เป็นของที่สามีฉันเอามาน่ะ”
“ไม่ต้องสนใจผมก็ได้ครับ”
ผมพูด
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร”
คุณเมย์โกะยื่นพุดดิ้งพร้อมกับช้อนแล้วนั่งลงข้างๆคุณมิจิฮิโกะ สงสัยคงจะพักการทำอาหารไว้ก่อน
“ยกโทษให้เขาเถอะนะสึโยชิ มาจิกะไม่เคยพูดเรื่องที่โรงเรียนจริงๆจังๆเลยสักครั้ง เขาก็เลยเป็นห่วงน่ะ”
“เรื่องที่โรงเรียนเหรอครับ…แบบเรื่องผลการเรียนอะไรแบบนี้ด้วยเหรอครับ?”
“ประมาณนั้นจ้ะ อย่างเรื่องเพื่อน หรือแม้แต่เรื่องที่ชมรมก็เคยเลย แต่มาจิกะก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นนั่นแหละ ต้องมีเรื่องที่เป็นห่วงอยู่แล้ว แค่ไม่เคยคุยกับพวกเราเท่านั้นเอง พวกเราก็เลยเป็นห่วงน่ะ…”
ถ้าเป็นคอรบครัวที่แนบชิดกันล่ะก็ คุณซาโกะก็น่าจะบ่นออกมาสักอย่างสองอย่างสิ หรือแม้แต่ที่บ้านคุณซาโกะก็ยังแสดงเป็นสมบูรณ์แบบงั้นเหรอ? ผมได้แสดงออกว่าผมปวดกบาลแค่ไหนผ่านการเอามือกุมหัวเท่านั้น ส่วนคุณมิจิฮิโกะก็ได้แต่ยิ้มแหยะๆ
“ต่อให้เป็นคริสมาสต์หรือวันเกิด มาจิกะก็ไม่เคยบอกเลยว่าอยากได้อะไร เอาจริงๆต่อให้แพงนิดหน่อยฉันก็ไม่ว่าเลย”
“หมายความว่าแม้แต่ที่บ้านคุณซาโกะก็อดทนอดกลั้นเหรอครับ?”
“มาจิกะน่ะไม่เคยเห็นแก่ตัวเลยสักครั้ง ฉันก็บอกไม่ได้เหมือนกันมาจิกะอดทนอะไรอยู่รึเปล่า”
จริงสิ คุณซาโกะเคยบอกอยู่เหมือนกันว่าเธออยากจะเห็นแก่ตัวกว่านี้ ผมว่าพ่อแม่ของคุณซาโกะคงจะขัดใจกับการสื่อสารที่เป็นกันแบบตอนนี้
คุณเมย์โกะแสดงสีหน้าที่ดูเศร้าชอบกล
“มาจิกะแค่ไม่อยากจะหวังสูงกับพวกเราน่ะ ฉันน่ะอยากจะซื้อของที่มาจิกะอยากได้ อยากสนับสนุนในสิ่งที่ลูกอยากทำ แต่มาจิกะไม่เคยพูดเรื่องอะไรแบบนั้นเลย…”
อาาา อย่างนี้นี่เอง ครอบครัวนี่น่ะมีความสุขเกินไป ทั้งคุณเมย์โกะและคุณมิจิฮิโกะก็รักลูกสาวอย่างสุดหัวใจ การใช้ชีวิตก็ไปได้ราบลื่นดี แล้วคุณซาโกะก็สามารถหวังพึ่งพวกเขาได้ถ้าต้องการ แต่..เธอก็ไม่ทำ คุณซาโกะเป็นคนที่ขยันและจริงจังมาตั้งแต่เกิด ก็เลยรู้ถึงสภาพแวดล้อมที่ดีขนาดนั้นและอดทนต่อมันมาโดยตลอด เพราะงั้นพวกเขาก็เลยรู้สึกเหมือนกับกำลังเลี้ยงเด็กที่ดีเกินไปสำหรับพวกตน
คุณมิจิฮิโกะพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณเมย์โกะ
“และเพราะไม่เคยเห็นแก่ตัวสักครั้งนี่แหละ พวกเราก็เลยผลักดันหลายสิ่งหลายอย่างให้มาจิกะ มาจิกะน่ะไม่ได้เรียนเพราะอยากเรียน ไม่ได้เลือกอนาคตของตัวเอง ซึ่งแบบนั้นมันทำให้พวกเราลำบากกันมากเลยล่ะ”
ตรงตามที่คุณซาโกะพูดเป๊ะ เธอแค่ทำตามที่พอแม่บอก ไม่มีอะไรมากน้อยกว่านั้น
“คุณมิจิฮิโกะเป็นคนบอกให้คุณซาโกะเรียนจนมีความชำนาญสูงขนาดนั้นสินะครับ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอบอกกับผมน่ะครับ”
“แล้วมาจิกะพูดยังไงล่ะ? สุดท้ายก็เสียใจกับมันรึเปล่า?”
เขาติดใจกับคำถามของผม
“เปล่าหรอกครับ ไม่ได้เสียใจหรอก แต่…”
“สึโยชิคุง มาจิกะบอกอะไรอีกรึเปล่า? มีอะไรที่มาจิกะบอกเธอแต่ไม่บอกเราอีกไหม? ฉันน่ะอยากจะทำคำขอของลูกให้เป็นจริงสักครั้ง…”
“อะไรอีกงั้นสินะครับ…”
ผมรื้อความจำทั้งหมดของตัวเองแล้วก็นึกสีหน้าเป็นทุกข์ของคุณซาโกะตอนที่เราไปติวกัน ซึ่งเป็นแบบเดียวกับตอนนี้ อาจจะต่างจากความเห็นแก่ตัวนิดหน่อย แต่ก็ชัดแล้วว่าคุณซาโกะกำลังทรมาณอยู่ ถึงผมจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ
“ถ้าจะให้พูดเหมือนกับว่าจะกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่างล่ะมั้งครับ…”
“จริงเหรอ? เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ…”
ผมจะบอกพวกเขาเรื่องที่เกิดในห้องสัมภาษณ์ไม่ได้ เหมือนกันกับเรื่องบนเตียงเมื่อกี้ พวกเราสัญญากันแล้วว่าจะเก็บมันเป็นความลับของกันและกัน
“งั้นเหรอ…ถ้ามาจิกะพูดอะไรเทือกนั้นออกมาล่ะก็ ช่วยบอกฉันทีนะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
คุณมิจิฮิโกะดูจะพอใจกับคำตอบของผมแล้วยอมถอยไป ผมรู้ว่าเขาให้ผมอยู่ที่นี่เพื่อที่จะถามเรื่องคุณซาโกะกับผม แต่น่าเศร้าตรงที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย
“ขอโทษที่มารบกวนแบบนี้นะ”
คุณเมย์โกะพูดพร้อมทำความสะอาดโต๊ะ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ได้รู้เรื่องของคุณมาจิกะเยอะเลย ดีใจมากเลยล่ะครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจถึงขนาดนั้นก็ได้ ฉันต้องไปทำมื้อเย็นต่อแล้วด้วยสิ แล้วเธอล่ะจะเอายังไงสึโยชิคุง? จะอยู่ต่ออีกสักก็ได้นะ?”
คุณเมย์โกะพูดน้ำเสียงหยอกล้อ
ผมเห็นตัวเองที่คุยกับคุณมิจิฮิโกะจนปากเปื่อยได้เลยตอนนี้ คุณเมย์โกะคงจะสร้างโอกาสให้ผมกลับบ้านไปล่ะมั้ง ผมตักพุดดิ้งคำสุดท้ายขึ้นมากินแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ จากนั้นผมก็ก้มให้ให้กับคุณมิจิฮิโกะ
“เอ่อ ขอบคุณกสำหรับทุกอย่างนะครับ พุดดิ้งอร่อยมากเลย”
“ฉันเองก็ต้องขอโทษที่ไปถามเซ้าซี้เธอแบบนั้นะ ถ้าลูกสาวฉันบอกอะไรเธอล่ะก็ ช่วยดูแลลูกสาวฉันทีนะ ฉันน่าจะยัดเยียดสิ่งที่ไม่จำเป็นให้มาจิกะไปเยอะเลย”
สิ่งที่ไม่จำเป็น…บางทีนั้นอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่คุณซาโกะกังวลอยู่ก็ได้
“คือว่า…”
ผมลังเลที่จะถามเขา แต่ก็เสียงเปิดประตูห้องนั่งเล่นซะก่อน
และคนที่เปิดก็คือคุณซาโกะที่ยังใส่ชุดนอนอยู่นั้นเอง
“อ้าว? สึโยชิคุงยังอยู่อีกเหรอเนี่ย?”
“อื้ม อยู่ต่ออีกนิดน่ะ”
คุณเมย์โกะเดินเข้าไปหาคุณซาโกะแล้วเอามือขวาทาบที่หน้าผาก
“ดูเหมือนไข้จะลดลงไปเยอะแล้วนะเนี่ย”
“ค่ะ หนูอาการดีขึ้นเยอะเลย”
“อยากกินอะไรรึเปล่า?”
“หนูกินอะไรก็ได้ค่ะ”
คุณซาโกะตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างกับท่าทีเหงาหงอยตอนนั้นเป็นเรื่องโกหก
“ยังไงก็เถอะ ผมว่าถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้านแล้วล่ะครับ ผมไม่อยากรบกวนนานจนเกินไป”
“เอ๋? อยู่กินข้าวกับเราต่อไม่ได้เหรอ?”
คุณซซาโกะทำหน้ามุ่ย แล้วดึงแขนเสื้อของผมไว้ แอบตกใจที่กล้าทำอบบนี้ต่อหน้าพ่อแม่ตัวเองนะเนี่ย
“ไม่ได้หรอก ผมต้องไปแล้วล่ะ จะปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่รอไม่ได้”
“ก็ได้…ก็มันช่วยไม่ได้นี่นะ”
คุณซาโกะปล่อยผมไปอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วผมก็ได้ออกจากห้องนั่งเล่นสักที คุณซาโกะกับคุณเมย์โกะมาส่งผมด้วย และเมื่อผมใส่รองเท้าเสร็จ คุณเมย์โกะก็มากระซิบอะไรบางอย่างข้างหูผม
“พุดดิ้งเมื่อกี้น่ะเป็นหนึ่งในของโปรดของมาจิกะเค้าล่ะ เด็กคนนั้นน่ะชอบของหวาน จำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะจ๊ะ”
“นี่ ทั้งสองคนคุยอะไรกันคะนั่น?”
“ฮิๆ ความลับจ้ะ”
พอมองสองแม่ลูกตรงหน้าผมแล้ว ทั้งสองคนก็คล้ายกันจริงๆนั่นแหละ ถึงคุณเมย์โกะจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเยอะก็เถอะ
“ถ้างั้น ขอตัวก่อนนะครับ”
“แล้วมาอีกนะจ๊ะ”
คุณเมย์โกะยิ้ม
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้น้า”
คุณซาโกะโบกมือแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม
ผมปิดประตูข้างหลังผมแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะจริงๆ แต่สิ่งที่คุณเมย์โกะพูดเมื่อกี้ยังคงติดอยู่ในหัวผม
“แล้วเราก็ให้มิโซะให้เป็นของขวัญคุณซาโกะเนี่ยนะ…”
ถึงผมจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ก็เถอะ แต่กลายเป็นว่าคุณซาโกะโกหกผมเพื่อที่จะให้ผมชอบเธอมากขึ้น
สักวันพวกเราคงจะแก้ความเข้าใจผิดนั่นได้ ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่าคุณซาโกะกำลังยับยั้งช่างใจด้วยด้านอดทนของตัวเองอยู่ เธอซื่อตรงไม่ได้ต่อให้อยาก ผมน่ะอยากจะช่วยคุณซาโกะให้ได้ แต่ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงดี
ด้วยเหตุนั้น ขาของผมก็เลยรู้หนักกว่าทุกทีตอนเดินกลับบ้านวันนี้
Chapters
Comments
- ตอนที่ 13 พฤษภาคม 29, 2022
- ตอนที่ 12 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 11 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 10 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 9 พฤษภาคม 20, 2022
- ตอนที่ 8: ผมก็อยากจะเป็นเหมือนกับเธอนะ เมษายน 16, 2022
- ตอนที่ 7: ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยเหรอ? เมษายน 10, 2022
- ตอนที่ 6: คุณซาโกะอยากจะคุยด้วย? เมษายน 6, 2022
- ตอนที่ 5: ความมั่นใจ เมษายน 2, 2022
- ตอนที่ 4: อร่อยมั้ย? มีนาคม 19, 2022
- ตอนที่ 3: แล้วชอบกระโปรงแบบไหนเหรอ? มีนาคม 15, 2022
- ตอนที่ 2: ฉันดูเป็นยังไงบ้าง? มีนาคม 13, 2022
- ตอนที่ 1: เพราะเธอสมบูรณ์แบบเกินไป มีนาคม 11, 2022
MANGA DISCUSSION