คุณคนเดียวเท่านั้น - ตอนที่ 56 ผู้หญิงที่ดื้อรั้น
คูณนายซ่งเดินจากไป ซ่งอี่นั่วนั่งลงบนโซฟา ในห้องไม่ได้เปิดไฟ เธออยู่ในความมืดเหมือนพระที่นั่งสมาธิไม่ขยับไปไหน
ฮันเหม่ยซีได้เปิดประตู ตรงทางเข้าของห้องได้เปลี่ยนรองเท้า ยื่นมือกดเปิดสวิตส์ไฟ เงาตะคุ้มสีดำบนโซฟาในห้องรับแขกทำให้เธอตกอกตกใจ เธอกุมหัวใจที่เต้นรัวของเธอ "อีนั่ว เธออยู่บ้านหรือเปล่า ทำไมเธอไม่เปิดไฟ ฉันตกใจหมดเลย
คอที่แข็งของซ่งอีนั่วก็ได้ค่อยๆหันไปจ้องมองฮันเหม่ยซีที่ยังตกใจ ฮันเหม่ยซีดูออกว่าเธอนั้นไม่เหมือนเดิม รีบวางกระเป๋าวิ่งเข้ามา "เธอเป็นอะไร ท่าทางดูไม่มีชีวิตจิตใจเอาซะเลย ถังโย่วหนานทำอะไรกับเธอใช่หรือเปล่า"
ซ่งอี่นั่วที่สะลืมสะลือพูดว่า "แม่ของฉันจะเอาเรื่องที่ซ่งจื่อจินท้องไปบอกกับคนตระกูลเสิ่น"
"เธอบ้าไปแล้วเหรอ" ฮันเหม่ยซีได้หลุดปากพูดออกมา คุณนายซ่งอยู่เฉยๆมาตลอด ทำไมถึงตัดสินใจที่จะทำอะไรเสี่ยงขึ้นมา หรือว่าเธอคิดว่านำเรื่องนี้ประกาศให้ทุกคนรู้ ตระกูลเสิ่นจะยอมรับในตัวของซ่งจื่อจิน เธอไร้เดียงสาหรือว่าจิตใจคับแคบกันแน่
ซ่งอี่นั่วจับขมับแล้วจับขมับอีก "ฉันไม่รู้ พรุ่งนี้เธอจะให้ฉันไปเข้าร่วมงานในตอนเย็น"
"ดูเหมือนว่าจะบ้าไปแล้วจริงๆ อีนั่ว ทำไม่เธอต้องทนอยู่กับความเจ็บช้ำ"
"เหม่ยซี ฉันไม่ได้ทนอยู่กับความเจ็บช้ำ มีคำคำหนึ่งบอกว่า ทำลายศัตรูพันคน สูญเสียคนตัวเองแปดร้อย ซ่งจื่อจินทำเรื่องที่หน้าอับอายแบบนี้ คนตระกูลเสิ่นจะเห็นอกเห็นใจฉันอีกนานแค่ไหน" ซ่งอีนั่วถอนหายใจ เธออดทนที่จะไม่พูดมาตลอด ก็เพราะว่าชื่อของเธอห้อยสกุลซ่งอยู่
ฮันเหม่ยซีสายหน้าไปมา เธอเคยเห็นสามีภรรยาที่เคยอย่าล้างกันด้วยการใช้กฏหมายเพราะเรื่องทรัพย์สินเล็กๆน้อยๆ อี่นั่วเป็นผู้หญิงที่ใจเย็นที่สุดที่เธอเคยเห็นมา
"งั้นเธอคิดว่าจะทำยังไงต่อไป"
"เหม่ยซี ถังโย่วหนานไม่ยอมที่จะเซนต์ใบหย่า เธอช่วยฉันทำเรื่องฟ้องอย่าเถอะ เหตุผล……..เพราะว่าความเป็นสามีภรรยาในห้าปีนี้ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน" ซ่งอีนั่วลุกขึ้นมา เดินตรงไปที่ห้องครัว
ฮั่นเหม่ยซีเดินตามหลังเธอไป ทำให้เธอได้รู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใย ดูเหมือนว่าอี่นั่วได้ตัดใจจากถังโย่วหนานแล้ว ไม่งั้นเธอคงไม่เปิดแผลของตัวเองออกเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการอย่า
ซ่งอี่นั่วได้เดินไปหน้าเคาเตอร์ในห้องครัวแล้วเปิดกระติ๊กใส่น้ำซุปออก กลิ่นของซุปไก่ได้โชยเข้ามาติดจมูก เธอคิดว่าหลังจากพรุ่งนี้ คุณนายซ่งจะไม่มาอีกแล้ว แต่ก็ถูกเพราะหลังจากวันพรุ่งนี้เธอก็จะไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป
ฮั่นเหม่ยซีเห็นเธอเหม่อลอยมองที่ซุปไก่ เธอเดินเข้าไป สีหน้าของเธอก็เกิดความแปลกใจขึ้นมา "อี่นั่ว ช่วงนี้พวกเรากินซุปไก่ติดต่อกันมาตลอด ไม่ใช่ว่าช่วยเสริมเหรอ"
ซ่งอี่นั่วหันกลับมามองเธอด้วยความสงสัย "ทำไมเหรอ"
ฮั่นเหม่ยซีสายหัวไปมา เธอไม่สามารถจะบอกซ่งอีนั่วได้ วันนี้เธอเจอเพื่อนของเฮ้อตงเฉินที่สำนักงานกฏหมาย ทันใดนั้นเธอก็ได้เลือดกำเดาไหลออกมาก และไม่สามารถควบคุมสมองของตัวเองได้….. เมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอากาศเป็นเหตุหรือเปล่า สองสามวันมานี้เธอนึกถึงเรื่องที่ทำให้เธอหน้าแดงใจเต้นเหล่านั้นอยู่ตลอด
"ไม่มีอะไร ฉันไปอาบน้ำก่อน"
ซ่งอี่นั่วซดซุปไก่จนหมด ในกระเพราะเต็มไปด้วยอาหารแต่ยังรู้สึกว่ายังว่าง ก็เพราะคนๆนึ่งทำไมยังไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะยอมรับชะตากรรมสักที ทำไมยังใช้ความรู้สึกที่มากมายเพื่อรอคอยความหวังอยู่อีก
ในห้องรับแขก โทรศัพท์ก็เริ่มสั่น ซ่งอี่นั่วเดินออกจากห้องครัว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เป็นเบอร์แปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอได้รับโทรศัพท์ "สวัสดีค่่่ะ"
โทรศัพท์ฝั่งที่โทรมาเงีบบ ไม่มีเสียงอะไรเลย แค่ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกผ่านสัญญาณโทรศัพท์ออกมา ซ่งอีนั่วพอจะรู้ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา เธอก็เริ่มที่จะใจสั่นตื่นเต้น เธอกุมโทรศัพท์แน่น ไม่ส่งเสียงอะไรออกไปแต่ก็ไม่ได้วางสายโทรศัพท์
ทั้งสองคนเงียบ ไม่มีใครที่จะเปิดปากพูด เหมือนว่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล
ฮั่นเหม่ยซีได้เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เห็นซ่งอี่นั่วยืนนิ่งถือโทรศัพท์อยู่ที่ห้องรับแขก เธอเช็ดผมไปพูดไป"อี่นั่ว ใครโทรมา"
หัวใจของซ่งอี่นั่วร้อนรน ได้นำโทรศัพท์ออกจากหูในขณะเดียวกันก็จะกดปุ่มวางสาย เพราะความร้อนรนเลยไม่ได้กดวางสาย เธอบอกว่า "โทรผิดหนะ ไม่รู้จัก"
ตอนที่เสิ่นฉวนซีได้ยินเธอบอกไม่รู้่จัก โกรธจนจะบีบโทรศัพท์แตก เขาที่ยืนอยู่ด้านนอกจะก้าวเดินเข้าไปในเขตของจินยู้หลานวาน เขาแน่ใจว่า เธอรู้ว่าโทรศัพท์ที่โทรมานั้นเป็นใคร แต่เธอกลับพูดว่าไม่รู้จัก
เขาเดินเข้าไปใต้ตึก แล้วก็โทรไปหาเธออีก ทันทีที่คนรับโทรศัพท์ เขาก็ใช้น้ำเสียงที่แข็งกระด้างพูดว่า "ลงมา"
ซ่งอี่นั่วถ่อมตัวเกินไปจนไม่กล้าที่จะมองตาของฮั่นเหม่ยซี เธอเดินไปด้านหน้าของหน้าต่าง เห็นเสิ่นฉวนซียืนอยู่ที่ใต้ตึก ไฟข้างทางส่องกระทบร่างกายของเขาปรากฏเป็นเงายาว เหมือนกับคันธนูที่ยึดตรึง
"ดึก…….ดึกแล้ว ฉันอยากจะพักผ่อน"
"งั้นฉันขึ้นไป" เสิ่นฉวนซีพูด กริยาของเขาได้เดินตรงเข้ามาในตึก
ซ่งอี่นั่วตกอกตกใจ ได้รีบหยุดห้ามเขา "ฉันลงไปเอง"
ได้รับคำตอบที่พอใจแล้ว เสิ่นฉวนซีไม่พูดอะไรมากมายกับเธอ แล้วก็กดวางสายลง
ไม่กี่นาทีผ่านไป ซ่งอีนั่วได้เปิดประตูกันขโมย ในมือของเขาถือถุงอยู่ แล้วเดินไปข้างๆของเสิ่นฉวนซีอย่างไม่เต็มใจนัก เธอไม่กล้าที่จะมองเขา ได้แต่ก้มหน้ามองลงที่พื้น ปลายเท้าได้แต่เขี่ยพื้นไปมา "ดึกขนาดนี้แล้วคุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า"
เสิ่นฉวนซีจองมองเธออย่างเอาจริงเอาจัง เมื่อกี้แสร้งทำเป็นไม่รู้จักก็พอทนไหวแต่ตอนนี้กลับยังใช้คำเรียกที่เป็นทางการอีก
พอเธอเจอเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ส่งถุงให้กับเขาและก็ยังไม่กล้าที่จะสบตา เธอมีท่าทีที่เกรงใจแล้วพูดว่า"นี้เป็นสูทครั้งที่แล้วที่ยืมคุณไป ฉันได้ซักให้เธอสะอาดเรียบร้อยแล้ว และยังมีไข่มุกที่ผู้ช่วยของคุณได้ส่งมา ฉันไม่กล้าจะรับไวหรอก คุณก็รับกลับไปด้วยเถอะ สำหรับชุดราตรีกับรองเท้า ฉันใส่มันไปแล้ว คุณบอกฉันมาเลยว่าเท่าไหร่ ครั้งหน้าฉันจะได้คืนให้เธอ"
ความโกรธได้ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เสิ่นฉวนซีเคยเจอผู้หญิงที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เคยเจอคนที่ได้คืบจะเอาศอก ดื้อรั้นแบบนี้ "ทำไมถึงเอาของเหล่านี้คืนให้กับฉัน อยากจะลบทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากพวกเราให้หมด แล้วก็จะเป็นคุณนายถังต่ออย่างสงบอย่างนั้นเหรอ"
น้ำเสียงของเขาฟังดูโหดร้ายมาก ซ่งอี่นั่วโดนกระตุ้นจนต้องเงยหน้าขึ้นมา สัมผัสกับสายตาสีดำที่เต็มไปด้วยความโกรธ เธอค่อยๆละสายตาออกไป "เรื่องระหว่างเราไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น"
เจอเธอที่ปากแข็งแบบนี้ เสิ่นฉวนซีโกรธไม่น้อยเลย เขาเดินก้าวเข้าไปหนึ่งก้าวประหนึ่งว่าจะให้เธออยู่ในความคอบครองของเขา "ดูเหมือนว่าฉันจะต้องทำให้เธอรู้แล้วว่า ระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง"
ซ่งอี่นั่วรีบถอยหนี แต่ก็ไม่ทันแล้ว เสิ่นฉวนซีได้ใช้แรงยื่นมือจับที่แขนของเธอ เธอสดุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขา เสียงตกใจยังไม่ได้ออกจากปาก ร่างกายของเธอก็ถูกประกบด้วยร่างกายอันสูงใหญ่
มือข้างหนึ่งของเสิ่นฉวนซีได้โอบกอดเข้าที่สะโพกของเธอ อีกมือหนึ่งจับแน่นที่ท้ายทอยของเธอ จูบลงตำแหน่งที่ตั้งเป้าหมายไว้แล้วดูดกลืนเสียงทั้งหมดของเธอ
ในความมืด แสงที่ได้เปร่งประกาย ก็ได้กลับสู่ความเงียบสงบเหมือนเดิม