คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 334 ยากจน
จินเฟยเหยาไหนเลยจะให้เขามองออกว่าทงเทียนหรูอี้เปลี่ยนร่างได้ ต่อให้มองออกก็จะให้เขาพูดออกมาไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย
นางยกดาบขึ้นพุ่งตัวเข้าไปอีก ฟาดฟันต่อเนื่องอย่างไม่มีระเบียบแบบแผนเลยสักนิด
เทียบกับจินเฟยเหยาจอมเจ้าเล่ห์ ราชันภูติเถรตรงมากกว่า ร่ายรำขวานยักษ์ฟันใส่เฉินจงแม่ทัพที่ถือดาบ เผชิญหน้ากับราชันภูติที่ดุร้าย เฉินจงเพียงถือดาบปัดป้องตามสบาย พบกระบวนท่าทำลายกระบวนท่าทำให้ราชันภูติไม่ได้เปรียบเลยสักนิด
ทว่าราชันภูติกลับไม่รู้จักเหนื่อยล้า ขวานยักษ์ร่ายรำราวกับกังหันลมโจมตีเฉินจงบนลานประลองไม่หยุด
จินเฟยเหยามองเห็นเข้าพอดี เห็นราชันภูติป่าเถื่อนอย่างยิ่ง อาศัยแค่พละกำลังโจมตีอย่างสุดกำลังทั้งยังมีท่าทางสัตย์ซื่อถือมั่น อดเอ่ยด่าทอไม่ได้ “ไม่ได้ให้เจ้ามาแสดงศิลปะการต่อสู้สักหน่อย ปิดประเทศไม่ดีเลย เถรตรงจนแม้แต่ทางโค้งยังเลี้ยวไม่เป็น”
แต่เห็นเขายังต้านทานได้ จินเฟยเหยาจึงไม่ได้พูดมาก นางยังต้องจัดการโจวปินอวิ๋นก่อน
เมื่อครู่โจวปินอวิ๋นพบว่านางมีเรี่ยวแรงมหาศาล ถ้าเข้าประชิดตัวได้ก็ยุ่งแล้ว ตอนนี้เขากำลังปล่อยกระบี่บินอยู่ไกลๆ กระบี่ยาวในมือลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้คนคาดเดาไม่ได้ราวกับเงาเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่อาจจะโผล่ออกมาจากสถานที่ที่คาดไม่ถึงได้ทุกเมื่อ
จินเฟยเหยาไม่เคยชอบกระบี่บิน ของสิ่งนี้บินวุ่นวายไปทั่ว ไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน แต่กระบี่บินหนีได้ คนกลับหนีไม่ได้ แค่เล็งไปยังโจวปินอวิ๋นที่ใช้กระบี่บินก็พอ นางเก็บดาบกะทันหัน ซ่อนทงเทียนหรูอี้ไว้ในมือแล้ววิ่งเข้าปะทะโจวปินอวิ๋น
ขณะที่กระบี่บินลอยผ่านหน้านางไปจากด้านข้างอย่างกะทันหันก็เห็นจินเฟยเหยาแบมือออก แส้หนามสองเส้นปรากฏขึ้นในมือ แส้ยาวหลายจั้งลอยขึ้น ปัดป้องต้านทานและโจมตีกระบี่บินให้ออกไป ส่วนแส้อีกเส้นหนึ่งกลับปราดเข้าใส่โจวปินอวิ๋นราวกับอสรพิษออกจากถ้ำ
โจวปินอวิ๋นใช้มือตบบนเอว นำถุงสีแดงเพลิงออกมาและโยนออกไปกลางอากาศ “ถุงคุนหั่ว!”
เห็นถุงลอยขึ้นกลางอากาศและเปิดออก เปลวเพลิงขุมหนึ่งพลุ่งออกมาโอบล้อมจินเฟยเหยาให้จมลงสู่ทะเลเพลิง
เห็นเป็นไฟธรรมดา จินเฟยเหยาที่ชะงักร่างจึงวางใจ นึกว่าโยนของวิเศษอะไรออกมาเสียอีก แค่ของวิเศษชั้นล่าง จินเฟยเหยาไม่เกรงกลัวเปลวเพลิงแบบนี้เลยสักนิด ทว่าเพื่อไม่แสดงพลังวิญญาณออกมานางจึงไม่ได้ใช้ไฟนรกสะกดเปลวเพลิงเหล่านี้ ทว่าหยิบยันต์ซ่อนกายใบหนึ่งออกมาแปะบนร่างอย่างรวดเร็ว
จินเฟยเหยาแปะยันต์ซ่อนกายในเปลวเพลิง ไม่มีใครมองเห็นชัดเจนว่านางหยิบอะไรออกมา รู้สึกแค่มือของจินเฟยเหยาเคลื่อนไหวเล็กน้อย นางฉวยโอกาสในพริบตาที่เปลวเพลิงทะยานสูงหายตัวไปในวงล้อมเปลวเพลิง
ผู้ชมการประลองรอบด้านร้องอุทานอย่างตกใจ พวกเขารู้เพียงผิวเผิน นึกว่าจินเฟยเหยาถูกถุงคุนหั่วของโจวปินอวิ๋นเผาตายแล้ว ในใจรู้สึกตกตะลึงและทอดถอนใจ ของวิเศษของราชวงศ์ร้ายกาจจริงๆ เปลวเพลิงนี้สามารถเผาจนไม่เหลือแม้เถ้าถ่าน
โจวปินอวิ๋นไม่ใช่คนโง่ เห็นร่างของจินเฟยเหยาหายไปในเปลวเพลิงก็ไม่ได้คิดว่านางถูกเผาตาย ไม่ใช่เปลวเพลิงพิเศษจำพวกเพลิงแท้อะไรเสียหน่อย จะสามารถเผาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ให้เป็นเถ้าถ่านภายในพริบตาได้อย่างไร ถึงเผาขั้นฝึกปราณก็ไม่รวดเร็วขนาดนี้ หายตัวไปมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคืออีกฝ่ายใช้ของวิเศษหรือเวทมนตร์บางอย่าง
เขาเดือดดาลยิ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจื้อจะไม่ได้สะกดปราณมารของอีกฝ่าย ถึงแม้จะไม่กลัวทาสเหล่านี้ แต่ถ้าใช้เวทมนตร์ได้จะเพิ่มความยุ่งยากขึ้นไม่น้อย คนเผ่ามารเหล่านี้ไม่ยี่หระต่อความตาย ถ้าสุดท้ายระเบิดร่างมาร มิต้องตายไปด้วยหรือ!
แต่โจวปินอวิ๋นไม่รู้สึกถึงปราณมารของจินเฟยเหยา ดังนั้นจึงสงสัยอยู่บ้าง
ท่านอ๋องจื้อและองค์ชายใหญ่บนเวทีต่างเห็นฉากนี้ ทุกคนล้วนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ ต่อให้ดูถูกผู้อื่นว่าพบเห็นมาน้อย แต่หายไปอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้คนเพิกเฉย
ดังนั้นองค์ชายใหญ่จึงสอบถามอย่างอารมณ์ไม่ดี “ท่านอ๋องจื้อ ท่านนำสตรีเผ่ามารมาแสดงเพิ่มข้าก็ไม่คัดค้าน แต่เหตุใดท่านจึงไม่สะกดปราณมารของนาง? คิดไม่ถึงว่านางจะใช้เวทซ่อนกายออกมา หาคนไม่เจอแล้วจะต่อสู้กันอย่างไร หรือต้องให้ทาสทำร้ายแม่ทัพอาณาจักรหลงเวยของข้า!”
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋องจื้อ ท่านอ๋องจื้อย่อมไม่อาจแบกรับความผิดนี้ จึงอธิบายว่า “องค์ชายใหญ่ ท่านรู้ชัดๆ ว่าองค์ชายหกเป็นคนส่งสตรีเผ่ามารผู้นี้มา เพราะเหตุใดจึงถามข้า บนร่างนางไม่มีคาถาสะกดมาร องค์หญิงผิงอันที่นำนางมาส่งด้วยตนเองบอกว่า บนเขาสองข้างของนางสวมอาวุธสะกดปราณมาร ตอนนี้เหตุใดจึงหายตัวได้ ต้องถามองค์หญิงผิงอัน”
องค์ชายใหญ่มององค์หญิงผิงอันอย่างเย็นชา องค์หญิงที่มีระดับรุ่นสูงกว่าเสด็จพ่อและครอบครองสมบัติล้ำค่าของอาณาจักรผู้นี้ เขาไม่ชอบมาตลอด ก็แค่ครอบครองต้นผลโสม อยู่เหนือทุกคนในวัง อีกทั้งนางยังไม่เข้าร่วมแย่งชิงอำนาจและไม่ยืนอยู่ฝ่ายใคร ทำให้องค์ชายใหญ่ที่ชื่นชอบอำนาจรู้สึกไม่สบายใจ
ทุกคนล้วนประจบประแจงและมองดูสีหน้านาง เพียงเพื่อขอผลโสมหนึ่งผล แต่องค์ชายใหญ่ไม่เชื่อ ขอเพียงตนเองนั่งตำแหน่งฮ่องเต้ เมื่อต้องการผลโสมแค่ออกคำสั่งให้นางส่งมาก็พอ ถ้าไม่ให้ก็ลงโทษนาง ทุบตีจนนางก้มหัวเอง ย่อมต้องส่งผลโสมมา ไยต้องก้มหัวให้นางเพื่อผลไม้ผลเดียว
“องค์หญิงผิงอัน ท่านเป็นคนส่งทาสผู้นี้มาด้วยตนเอง เหตุใดไม่สะกดปราณมาร?” องค์ชายใหญ่เอ่ยถามอย่างเย็นชา
เวลานี้สมาธิขององค์หญิงผิงอันอยู่บนร่างของราชันภูติ กลัวว่าเขาจะหายวับไป นางไม่ได้ยินคำถามขององค์ชายใหญ่เลย เพียงจับจ้องลานประลองอย่างตั้งใจ มือกำแน่นดวงตาไม่กระพริบ
“องค์หญิงผิงอัน องค์หญิงผิงอัน!” องค์ชายใหญ่เห็นซูโม่โม่ไม่สนใจเขาจึงขึ้นเสียงและตะโกนอีกหลายครั้ง
ซูโม่โม่ที่กำลังมองอย่างตึงเครียดถูกองค์ชายใหญ่รบกวนจึงเอ่ยถามอย่างอารมณ์ไม่ดีทันที “ทำอะไร! ไม่เห็นว่าข้ากำลังยุ่งอยู่หรือ?”
องค์ชายใหญ่และท่านอ๋องจื้อตะลึงงันทันที องค์หญิงผิงอันถึงกับใช้ท่าทางเช่นนี้พูดจา? พริบตาองค์ชายใหญ่ก็เดือดดาล องค์หญิงผิงอันไม่เคยดุร้ายกับใครมาก่อน ตอนนี้ถึงกับดุร้ายใส่องค์ชายใหญ่ที่ไม่เคยถูกคนกระทำเช่นนี้มาก่อน ทำให้เขาจุดนิดเดียวก็ติดไฟราวกับฟืนแห้งในฤดูหนาว
“องค์หญิงผิงอัน ท่านให้คนเผ่ามารที่ไม่สะกดปราณมารขึ้นประลอง จงใจทำร้ายแม่ทัพอาณาจักรเราใช่หรือไม่ นี่ท่านวางแผนจะกบฏหรือ?” องค์ชายใหญ่ถลึงตาใส่อย่างเดือดดาลและตวาดอย่างดุร้าย
เวลานี้ซูโม่โม่ถูกกรงแห่งรักกักขัง ผลโสมสิบกว่าผลก็ตัดใจยอมมอบให้ผู้อื่นได้ องค์ชายใหญ่อย่างเจ้าจะขู่ขวัญนางได้อย่างไร เห็นนางขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างหมดความอดทน “เหตุใดองค์ชายใหญ่จึงพูดเช่นนี้ บนร่างคนเผ่ามารผู้นี้มีอาวุธเวทสะกดปราณมาร ข้าไม่เห็นนางใช้ปราณมารเลยสักนิด หรือห้ามมิให้ผู้อื่นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว องค์ชายใหญ่สายตาไม่ดีจึงมองไม่ออกว่าตัวนางอยู่ที่ใด จะบอกว่าใช้ปราณมารได้อย่างไร”
ซูโม่โม่ชะงักไปแล้วยิ้มแย้มเอ่ยว่า “แม่ทัพที่สังหารศัตรูในสนามรบมานับไม่ถ้วน จัดการทาสสองคนยังต้องสะกดปราณมารของอีกฝ่าย หรือกำลังบอกว่าแม่ทัพของอาณาจักรเราเกรงกลัวคนเผ่ามารผู้นี้และกล้าสู้แต่คนเผ่ามารที่ฝึกบำเพ็ญไม่ได้ น่าเกรงขามยิ่งนัก บอกว่าจะกบฏยิ่งน่าขำเข้าไปใหญ่ ขอถามหน่อย บนโลกนี้ยังมีสิ่งใดสามารถเปรียบกับผลโสมในสวนหลังบ้านของข้าได้ พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญทั้งวันก็เพื่อให้อายุยืนยาวไม่แก่เฒ่า มีชีวิตอยู่ได้นานหน่อย ถ้าโลกวิญญาณเทียนตี้มีสิ่งใดที่ล้ำค่ากว่าผลโสม ข้าก็อยากจะดูสิว่าคู่ควรให้ข้าวางแผนกบฏหรือไม่”
การเย้ยหยันของซูโม่โม่ทำให้เพลิงโทสะขององค์ชายใหญ่พุ่งสูงสามจั้ง แต่กลับปฏิเสธคำพูดของนางไม่ได้ ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง
คนหนึ่งอาศัยเรื่องที่น้องชายถูกสังหารคิดจะกำจัดหนามตำตาทิ้ง อีกคนกลับเป็นองค์หญิงทำเพื่อความรักจนไม่ต้องการสิ่งใด เทียบกันแล้ว ซูโม่โม่เป็นฝ่ายเหนือกว่า ในโลกวิญญาณเทียนตี้มีสิ่งของที่สำคัญยิ่งกว่าผลโสมจริงๆ นั่นคือราชันภูติเมิ่ง มีค่าจนนางวางแผนก่อกบฏแล้ว
“คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงผิงอันจะพูดเช่นนี้ ทำให้คนต้องมองท่านใหม่จริงๆ” ท่านอ๋องจื้อก็ประหลาดใจ รู้สึกว่าท่าทางขององค์หญิงผิงอันแปลกประหลาดอย่างยิ่ง หรือว่าเพื่อราชันภูติ? รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ องค์หญิงผิงอันไม่เคยพบราชันภูติ จะมีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร
แต่องค์ชายใหญ่เพิ่งบอกว่าจะกำจัดราชันภูติหาเรื่ององค์ชายหกตอนที่เขาไม่อยู่ ก็คือกำจัดการค้าหากำไรของเขา องค์หญิงผิงอันก็รีบพาสตรีเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่มา ทั้งยังอาศัยคำพูดขององค์ชายหกฝืนพานางมาไว้ข้างกายราชันภูติราวกับคุ้มครองเขา
ท่านอ๋องจื้อยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ ทว่าฉากหน้ากลับพูดยาก ถึงอย่างไรแค่รับปากเรื่องผลโสมไว้แต่กลับยังไม่ได้มา ดังนั้น ตอนนี้พยายามอย่าล่วงเกินสองคนนี้ ปล่อยให้พวกเขาอาละวาดไป ตนเองได้ผลประโยชน์ก็พอ
“อา!” ในยามนี้เอง มีเสียงดังตุ้บ องค์หญิงที่เสียสมาธิรีบมองในสนาม กวาดตามองราชันภูติก่อน พบว่าราชันภูติพัวพันกับเฉินจงดังเดิมและยังแยกสูงต่ำไม่ได้ชั่วครู่ชั่วคราว เห็นเขาไม่เป็นไร นางจึงเลื่อนสายตาไปมองทางโจวปินอวิ๋น
พอมองดูอย่างละเอียด ที่แท้ทุกคนร้องตะโกนให้โจวปินอวิ๋น ถุงคุนหั่วซึ่งเป็นของวิเศษชั้นล่างชิ้นนั้นถูกฟันเป็นสองส่วนกลางอากาศและร่วงตุ้บบนพื้น เปลวเพลิงบนสนามหายวับไปในพริบตา เห็นของวิเศษชั้นล่างราคาแพงชิ้นนั้นเสียหาย ผู้ชมการประลองก็รู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง ดังนั้นทุกคนจึงฮือฮา
จินเฟยเหยาทนความยากจนของที่นี่ไม่ไหวจริงๆ ของวิเศษชั้นล่างชิ้นหนึ่งก็ทำให้ผู้ชมการประลองเรือนหมื่นถอนใจด้วยความเสียดายได้ ถ้าโยนเกาะลอยได้ลงกลางลานประลองแห่งนี้มิแสบตาจนตาบอดเลยหรือ
จินเฟยเหยาที่แปะยันต์ซ่อนกายฟันถุงคุนหั่วขาด แค่ทำเรื่องง่ายๆ เท่านั้น ตอนนี้คลำทางมาถึงด้านหลังโจวปินอวิ๋น นางกลั้นหายใจ มองดูโจวปินอวิ๋นเงียบๆ แม่ทัพที่ถูกฟาดก้นจนแตกโลหิตไหลผู้นี้อับอายจนกลายเป็นโทสะ กำลังถือกระบี่ยาวค้นหาจินเฟยเหยาไปทั่ว
หยางจื่อหยางหัวเราะอย่างเย็นชา ทาสตัวเล็กๆ คนหนึ่งใช้เวทบังตาเล็กน้อย แม่ทัพขั้นสองอย่างเจ้าถึงกับหาไม่พบ ปกติแสดงท่าทางน่าเกรงขามในค่ายทหารไปทั่ว ครั้งนี้ให้เจ้าขายหน้าต่อหน้าทุกคนจะได้ไม่นึกว่าตนเองเป็นบุคคลสำคัญอีก
จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าโลกวิญญาณเทียนตี้แห่งนี้จะไม่มีสิ่งของชนิดหนึ่ง นั่นคือวงเวทและยันต์วิญญาณที่แม้แต่ในห้องน้ำของโลกวิญญาณซิงหลัวก็ยังมี ดังนั้นนางใช้ยันต์ซ่อนกาย หยางจื่อหยางมองเห็นแล้ว ทว่ากลับไม่รู้จัก แค่ถือว่าเป็นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
……………………………………