คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 327 ตาข่ายรักถี่ยิบไม่มีรูให้เล็ดลอด
“ราชวงศ์ตระกูลซูโง่เขลาจริงๆ ไม่ไปสอบถามภายนอกก็โง่งมนึกว่าตนเองถูกคำสาปของมังกรจู๋หลงมาหลายพันปี พวกเขาโชคดีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนที่ร้ายกาจมาที่นี่ ไม่เช่นนั้นอาณาจักรคงล่มสลายไปนานแล้ว” จินเฟยเหยาปิดปากแอบหัวเราะ
ทันใดนั้นซูโม่โม่พลันวิ่งเข้ามาในสวนพลางตะโกนบอกนาง “ท่านเซียน แย่แล้ว”
“ทำไมหรือ!” จินเฟยเหยามองนางอย่างงุนงง เพิ่งไปเหตุใดจึงเดินกลับมาอีกแล้ว หรือมีคนพบว่าข้าอยู่ที่นี่?
“ท่านเซียน สามวันให้หลังองค์ชายใหญ่จะประลองกับราชันภูติ ราชันภูติต้องถูกเขาสังหารทิ้งแน่” ซูโม่โม่ฉุดดึงจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยอย่างร้อนใจ
“กะทันหันเกินไปแล้ว เขาว่างไม่มีอะไรทำหรือเหตุใดต้องสู้กับราชันภูติ?” จินเฟยเหยารู้สึกว่าเชื้อพระวงศ์พวกนี้สมองมีปัญหาใช่หรือไม่ คิดจะทำก็ทำ
ซูโม่โม่ไม่ทันได้พูดให้ละเอียดก็ฉุดดึงจินเฟยเหยาเอ่ยอย่างสับสนลนลาน “องค์ชายสามเป็นน้องชายของเขา เขาหาท่านไม่พบจึงสงสัยองค์ชายรอง ดังนั้นจึงคิดจะสังหารราชันภูติที่องค์ชายหกครอบครองระบายความแค้น”
“สงสัยองค์ชายรองแล้วเกี่ยวอะไรกับองค์ชายหกด้วย เจ้าทำให้ข้าสับสนไปหมดแล้ว” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“องค์ชายรองและองค์ชายหกถือกำเนิดจากพระสนมองค์เดียวกัน ส่วนองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามถือกำเนิดจากฮองเฮา ยังมีองค์ชายคนอื่นๆ ที่มีมารดาคนเดียวกับพวกเขาอย่างองค์ชายสิบเจ็ด องค์ชายสิบแปด…” ซูโม่โม่บรรยายผังตระกูลของตระกูลซูจ๋อยๆ จินเฟยเหยารับฟังจนสมองสับสน
“ให้กำเนิดน้อยๆ ก็ไม่ตายหรอก ฟังไม่เข้าใจเลย” จินเฟยเหยาด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี “ตอนนี้เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?”
ซูโม่โม่มีสีหน้าหงุดหงิด “เมื่อครู่มีข่าวมาว่า เนื่องจากองค์ชายใหญ่กล่าวหาว่าท่านเป็นคนขององค์ชายรอง ดังนั้นองค์ชายหกจึงโต้แย้งองค์ชายใหญ่อย่างไม่ยินยอม ตอนนี้องค์ชายหกถูกลงโทษให้ไปหันหน้าเข้าหาผนังสำนึกผิดที่ตำหนักบรรพชนหนึ่งเดือน สิ่งของแก้คำสาปน่าจะถูกเขานำไปตำหนักบรรพชนด้วย ที่นั่นมีการป้องกันอันแข็งแกร่ง คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้ อีกสามวันให้หลังองค์ชายใหญ่จะสังหารราชันภูติระบายความแค้น”
ก่อนหน้านี้ซูโม่โม่เคยบอกไว้ ลูกน้องขององค์ชายล้วนเลี้ยงผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์และทาสเผ่ามารไว้และให้พวกเขาต่อสู้กันเพื่อลงเดิมพันบ่อยๆ ราชันภูติเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาทาส ทำให้องค์ชายหกชนะจนได้หน้าไปไม่น้อย องค์ชายคนอื่นๆ จึงเห็นเขาเป็นที่ขัดตามานาน
เหมือนที่จินเฟยเหยาเห็นก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์และทาสเผ่ามารต่อสู้กันก็จะจำกัดความสามารถของเผ่ามาร เมื่อองค์ชายใหญ่และราชันภูติต่อสู้กันต้องเล่นลูกไม้แน่ องค์ชายหกถูกลงโทษออกมาไม่ได้ ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินองค์ชายใหญ่ ครั้งนี้ราชันภูติต้องตายแน่นอน
การพัวพันอย่างซับซ้อนแบบนี้ทำให้จินเฟยเหยาปวดศีรษะ “แล้วความหมายของเจ้าคืออะไร?”
“ข้าอยากให้ท่านปะปนเข้าไป ถึงแม้ข้าจะสั่งให้ปล่อยราชันภูติโดยตรงไม่ได้ แต่ข้าสามารถจัดการให้ท่านเข้าไปได้ ขอเพียงสามารถรักษาชีวิตเขาไว้ได้หนึ่งเดือน รอจนองค์ชายหกถูกปล่อยตัวออกมาก็สามารถหาวิธีขจัดคาถาได้ ถึงตอนนั้นก็ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ” ซูโม่โม่ขอร้อง ในดวงตามีน้ำตาคลอแทบจะร้องไห้ออกมา
คิดจะกินผลโสมไม่ง่ายดายเลย จินเฟยเหยาลูบศีรษะเอ่ยถามว่า “เจ้าจะให้ข้าแอบคุ้มครองเขาลับๆ หรือลงประลองแทนเขา?”
ซูโม่โม่ครุ่นคิด รู้สึกว่าแอบคุ้มครองลับๆ หรือลงประลองแทนก็ใช้ไม่ได้ ราชันภูติล้วนถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของสนามประลอง แบบนี้ไม่ได้รับการคุ้มครองเลยสักนิด ถ้าลงประลองแทนทางองค์ชายใหญ่ต้องไม่ยินยอมแน่
ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ปลอมแปลงเป็นเผ่ามาร จากนั้นขึ้นเวทีพร้อมราชันภูติได้หรือไม่?”
“จะสะกดความพลังอย่างไร? องค์ชายใหญ่ต้องไม่ยอมให้ข้าขึ้นเวทีด้วยพลังเต็มเปี่ยมแน่ ข้าไม่อยากถูกวาดคาถาบนหลังแล้วสุดท้ายกลายเป็นทาสของพวกเจ้า” จินเฟยเหยามองซูโม่โม่ ดูว่านางมีแผนการอย่างไร ถ้าต้องวาดคาถา ไม่เอาผลโสมแปดผลก็ได้
ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จับตัวราชันภูติมาให้ซูโม่โม่เด็ดผลโสมมาให้ ถ้าไม่ยอมเด็ดก็สังหารราชันภูติ แบบนี้ไม่เพียงได้ผลโสมแปดผล ทว่าได้ทั้งสิบหกผล
“นำกำไลวิเศษออกมาสวม จากนั้นอย่าใช้พลังวิญญาณตามใจชอบและแสร้งทำท่าสักหน่อย” ซูโม่โม่ไม่กล้าวาดคาถาให้นางจริงๆ ยั่วโทสะนางจนสังหารตนเองนั้นเรื่องเล็ก ช่วยราชันภูติออกมาไม่ได้จึงเป็นเรื่องใหญ่
“ไม่มีปัญหา เพียงแต่ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า เจ้ากับคนเผ่ามารผู้นั้นรักกันอย่างลึกซึ้งหรือ?” ในที่สุดจินเฟยเหยาก็ถามเรื่องที่สงสัยมาตลอด
ซูโม่โม่กลับส่ายศีรษะ “เขาไม่รู้ ทุกครั้งข้าล้วนไปนั่งมองเขาอยู่บนแท่นประลองไกลๆ เขาไม่รู้เลยว่าข้าคือใคร อาจจะไม่เคยสังเกตเลยด้วย ต่อให้รู้ว่าข้าเป็นใคร เขาก็ต้องแค้นข้าแน่ เนื่องจากข้าทำให้เขากลายเป็นทาสของราชวงศ์”
“รักซาดิสม์!” จินเฟยเหยามองนางอย่างหมดวาจา คนทั้งสองไม่เคยสนทนากัน คิดไม่ถึงว่าจะเสียสละเพื่อคนผู้นี้ขนาดนี้ องค์หญิงคนนี้ยังเป็นคนที่อยู่มาสี่พันกว่าปีแล้ว ไม่คิดว่าจะตกลงสู่ตาข่ายรัก อีกทั้งยังจมดิ่งลงไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ฟองอากาศก็ไม่ผุดขึ้นมา
“ข้าไม่ได้หวังจะให้เขาเข้าใจข้าหรือชอบข้า ข้าเพียงหวังให้เขาไปจากที่นี่ได้ ไปจากสถานที่ชั่วร้ายแห่งนี้ ระบบทาสทารุณเกินไป ทุกคนล้วนเหมือนกัน แค่เผ่าพันธุ์แตกต่างกลับต้องถูกทรมานแบบนี้ ข้าไม่มีความสามารถจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ เพียงหวังว่าคนที่ข้าชอบจะหลุดพ้นจากชะตาชีวิตเช่นนี้” ซูโม่โม่เอ่ยเบาๆ อย่างโศกเศร้า
จินเฟยเหยาลูบใบหน้าพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ”
นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามอีกว่า “จริงสิ ตอนนี้การตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง ยังค้นหาข้าไปทั่วอยู่หรือไม่?”
ซูโม่โม่พยักหน้าตอบรับ “ในเมืองตรวจสอบหมดแล้ว สงสัยว่าเจ้าไม่ได้หนีเข้าเมือง ดังนั้นจึงส่งกององครักษ์วังหลวงออกไปค้นหาเจ้า เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้ามีหน้าตาเช่นไร ผู้ช่วยคนที่กลับมารายงานก็ถูกองค์ชายรองสังหารแล้ว”
“ถูกองค์ชายรองสังหารแล้ว?” จินเฟยเหยาตะลึงงัน ระดับความน่าสงสัยของเจ้าหมอนี่สูงขนาดนี้ ยังสังหารคนที่มารายงานอีก มิยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่หรือ?
“คนผู้นั้นบอกว่าเจ้าเป็นคนในวังองค์ชายรอง เคยเห็นเจ้าอยู่กับองค์ชายรองนอกเมืองโดยบังเอิญตอนองค์ชายสามเพิ่งไปโลกวิญญาณซิงหลัว บวกกับองค์ชายหกเอ่ยปากโต้เถียงจึงถูกกักบริเวณ ดังนั้นองค์ชายรองจึงบันดาลโทสะสังหารเขา ตอนนี้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ตายแล้ว” ซูโม่โม่ส่ายศีรษะ การช่วงชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้น่าขำจริงๆ
คนเบื้องหน้านำพาบรรยากาศของโลกภายนอกมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าถูกจับได้จริงๆ ขอเพียงอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเรื่องต้องเปิดเผยออกไปทันทีแน่ แต่องค์ชายใหญ่ต้องการใส่ร้ายองค์ชายรอง ถ้านางถูกจับตัวได้คงไม่มีทางมีชีวิตอยู่จนพบฝ่าบาท
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ จินเฟยเหยาชื่นชมความสามารถในการช่วงชิงอำนาจของคนเหล่านี้ นี่เพิ่งครึ่งวัน คิดไม่ถึงว่าจะนำเรื่องสังหารคนธรรมดามาโยงเข้ากับการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ได้ แม้แต่พยานบุคคลก็มี แต่ยิ่งวุ่นวายก็ยิ่งดี เช่นนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อตนเอง
จินเฟยเหยาเห็นท่าทางร้อนใจของซูโม่โม่จึงตัดสินใจว่าวันที่สองจะไปพบราชันภูติ จะปะปนเข้าไปอย่างไรก็ให้ซูโม่โม่ไปคิดหาวิธีเอง ส่วนภารกิจของตนเองคือปลอมตัวอย่างแนบเนียน
เช้าตรู่วันที่สอง เมื่อซูโม่โม่ทิ้งหญิงรับใช้ไว้แล้วเข้ามาในสวนเหมือนเดิมก็เห็นจินเฟยเหยากำลังยืนอยู่หน้าต้นผลโสม กอดอกมองดูต้นไม้อย่างละเอียด
เส้นผมยาวสีดำของนางแผ่สยายลงมาทั้งหมด บนศีรษะมีเขาโค้งงอขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งคู่ บนเขาสวมวงแหวนสีเงิน จินเฟยเหยาเห็นซูโม่โม่มาก็หมุนตัวไปส่งยิ้มให้
“เป็นอย่างไร ลักษณะเช่นนี้ไม่มีปัญหากระมัง เจ้าก็บอกว่าวงห่วงสีเงินบนเขาของข้าเป็นของวิเศษสะกดปราณมาร แต่ทางที่ดีเจ้าเตือนคนอื่นว่า ข้าอารมณ์ไม่ดี อย่าลงมือลงไม้กับข้า”
“เหมือนจริงๆ เขาคู่นี้เหมือนของจริงอย่างยิ่ง” ซูโม่โม่จ้องมองเขาบนศีรษะของนาง ในใจรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง
ถึงแม้นางมีชีวิตอยู่มาสี่พันกว่าปี ทว่าอยู่ในวังตลอด ขนาดฮ่องเต้ของอาณาจักรหลงเวยยังมีเรื่องที่ไม่รู้มากมาย นางยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ ซูโม่โม่มองทะลุธรรมชาติของมนุษย์ได้จริงๆ นางมองจินเฟยเหยาแวบเดียวก็เห็นคาวโลหิตและการเข่นฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วน
อีกทั้งพลังการบำเพ็ญเพียรก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง แต่นางกลับมองทะลุสถานที่ซึ่งมีหมอกดำปกคลุมไม่ได้ ขอเพียงมองทะลุหมอกดำจะมีการเข่นฆ่าทั่วท้องนภาปรากฏขึ้นทำให้ซูโม่โม่ตัวสั่นสะท้านทั้งๆ ที่ไม่หนาว
ไม่ว่าคนเบื้องหน้าจะเป็นใคร ขอเพียงช่วยราชันภูติออกมาได้ ซูโม่โม่ก็ยอมเชื่อใจนาง
“เขานี้ข้าแปะเอง เลียนแบบจากคนเผ่ามารที่คลุกคลีกันมานาน” จินเฟยเหยาย่อมไม่บอกนางว่านี่คือเขาใหม่ของเทาเที่ยที่ใช้เวลาเกือบร้อยปีจึงงอกออกมา
ซูโม่โม่นำเสื้อคลุมออกมาคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจึงพาจินเฟยเหยาออกจากสวน สวนอยู่ด้านหลังวังวั่นโซ่วซึ่งเป็นที่พำนักของนาง ดังนั้นหญิงรับใช้ประจำตัวล้วนอยู่ด้านหน้า โดยพื้นฐานด้านหลังไม่มีคนกล้าเข้ามา
ทั้งสวนมีการป้องกันไม่ให้คนบุกเข้ามา ทว่าซูโม่โม่กลับมีกุญแจควบคุมการป้องกันของสวน ปกติตอนไปดูราชันภูติประลอง นางล้วนเปลี่ยนชุดปีนกำแพงออกมาและหนีไปมองดูเงียบๆ เนื่องจากนางอาศัยอยู่ในวังวั่นโซ่วมานาน ขนาดขุนนางใหญ่หลายคนก็ยังไม่เคยเห็นนาง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าประชาชนจะจดจำนางได้
คนทั้งสองออกจากสวนมาถึงหน้าวังวั่นโซ่วก็พบหญิงรับใช้ของซูโม่โม่ หญิงรับใช้เหล่านั้นเห็นด้านหลังนางมีคนสวมเสื้อคลุมทั้งตัวปิดบังใบหน้าหมดก็ตกตะลึง
ไม่รอให้พวกนางแตกตื่น ซูโม่โม่ก็เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “นี่คือคนเผ่ามารที่แม่ทัพเจิ้นกั๋วจับตัวได้ ให้คนส่งมาให้ข้าเล่นโดยเฉพาะ พวกเจ้าไม่ต้องแตกตื่น”
ได้ยินว่าแม่ทัพเจิ้นกั๋วเป็นคนส่งมา บรรดาหญิงรับใช้ก็สงบลง ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแม่ทัพเจิ้นกั๋วประจบเอาใจองค์หญิงมาตลอด เพื่อขอผลโสมหนึ่งผลมาให้อู่ฟางโหวผู้เป็นบิดา เพียงแต่แม่ทัพเจิ้นกั๋วผู้นี้แอบส่งคนเข้ามาได้อย่างไร ถึงกับไม่ผ่านประตูวัง
“เตรียมตั่งหงส์ ข้าจะไปตำหนักบรรพชนเยี่ยมองค์ชายหกสักครา” ซูโม่โม่สั่งการ
“เจ้าค่ะ” บรรดาหญิงรับใช้ตอบรับและล่าถอยไป ครู่หนึ่งก็ลากรถมาคันหนึ่ง เนื่องจากฐานะของซูโม่โม่แตกต่างจากองค์หญิงคนอื่นๆ ดังนั้นรถของนางจึงมีชิ่งจี้หน้าตาอัปลักษณ์ลาก
ในสายตาของผู้อื่นนี่คือเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ทว่าในสายตาของจินเฟยเหยานี่คือการทรมานแท้ๆ ชิ่งจี้เหล่านั้นหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป นั่งอยู่บนรถแบบนี้ไม่มีแม้แต่ความอยากอาหารสักนิด
รอจนซูโม่โม่ขึ้นนั่งรถ จินเฟยเหยาจึงพบว่านางต้องเดินตามอยู่ข้างๆ รถ นึกว่าจะได้นั่งรถเสียอีกคิดไม่ถึงว่าต้องเดินเอง
………………………………………