คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 316 วางแผนการร้าย
จินเฟยเหยาขบคิดอย่างละเอียด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องของปู้จื้อโหยวกระทำได้ยาก
บนเกาะเซียวโม่มีเผ่ามารของทั้งสองโลกอาศัยอยู่ บุคคลสำคัญก็มีไม่น้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะวางสิ่งของเช่นศิลาเทียนฮุ่นไว้สะเปะสะปะ อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ปัญหาเหล่านี้ ทว่าใกล้ที่อยู่ของจอมมารหลงมากเกินไป แทบจะขโมยสิ่งของภายใต้หนังตาของเขา ถึงแม้เขาจะเป็นคนสั่ง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะเกิดบ้าไม่ยอมรับรู้ขึ้นมากะทันหันหรือไม่
สุราคืนวิญญาณก็เพียงแค่ได้ยินมาว่าเลิศรส จะเลิศรสขนาดนั้นจริงหรือไม่กลับไม่มีผู้ใดรู้ ไปเสี่ยงอันตรายเพื่อสิ่งที่ไม่รู้รสชาติ ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าใด
นางโยนเรื่องที่ปู้จื้อโหยวบอกว่ามีรางวัลทิ้งไปนอกสมองทันที เทียบกับของกินแล้ว สิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นเมฆาอันล่องลอย ตอนนี้ที่จินเฟยเหยาสับสนคือจอมมารหลงหรือสุราคืนวิญญาณมีน้ำหนักมากกว่ากัน
ปู้จื้อโหยวก็ไม่ได้เร่งเร้า นั่งสูบยาอยู่ในศาลาหลิวเฟิงมองบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขึ้นลงภูเขาและหุ่นเชิดของจินเฟยเหยา
เขารอได้แต่กลับมีบางตัวรอไม่ได้ พั่งจื่อพ่นน้ำลายใส่จินเฟยเหยาทันที “อ๊บ อ๊บ อ๊บ”
จินเฟยเหยาได้ยินคำพูดของมันก็ด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เจ้าไม่เคยดื่มสุราคืนวิญญาณเสียหน่อย รู้ได้อย่างไรว่าอร่อย หรือว่าใกล้เคียงกับบนแผงข้างทาง เป็นสิ่งที่คนมีอำนาจและเงินทองแสร้งทำท่าไปอย่างนั้นเอง ที่จริงไม่อร่อยเลยสักนิด”
จินเฟยเหยาเคยตกหลุมพรางแบบนี้มาแล้ว นางตัดสินใจออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในโลกวิญญาณทั้งหมด เรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องทำคือลิ้มลองอาหารอร่อยสิบอันดับแรกของแต่ละโลกวิญญาณ ดังนั้นนางเคยเดินทางไปค้นหาอาหารเหล่านั้นที่โลกวิญญาณซิงหลัวโดยเฉพาะ
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางตกหลุมพรางคือต่อแถวซื้อซาลาเปานางฟ้าเป็นคนที่สิบเจ็ด ได้ยินว่าเป็นของว่างที่ต้องมีในงานเลี้ยงน้ำชาของสำนักใหญ่ที่สูงส่งมีอำนาจ เป็นสูตรเฉพาะ อีกทั้งมีขายแค่ที่เกาะนางฟ้าเท่านั้น คิดจะซื้อต้องไปเข้าคิวทุกวัน วันหนึ่งขายเพียงยี่สิบชุด
จินเฟยเหยาส่งตัวจากเกาะปาจิ่งเจ็ดครั้งแล่นไปที่เกาะนางฟ้าโดยเฉพาะ ต่อคิวอยู่สิบหกวันจึงซื้อซาลาเปานางฟ้าได้หนึ่งชุด
ซาลาเปานางฟ้าทำอย่างสัปดน ซาลาเปาสีขาวใบขนาดเท่ากำปั้นคู่หนึ่ง จงใจทำให้ปลายซาลาเปาแหลม ด้านบนยังแต้มสีชมพู ดูแล้วเหมือนหน้าอกของสตรี เห็นซาลาเปาสัปดนขนาดนี้ จินเฟยเหยายังพาพั่งจื่อนั่งลงกินบนม้าหินข้างร้านซาลาเปา
นางแบ่งกับพั่งจื่อคนละใบ นำซาลาเปานางฟ้าที่ทำให้บุรุษชื่นชอบใส่ปากกัดคำหนึ่ง พั่งจื่อและจินเฟยเหยาคายออกมาตรงนั้นทันที รสชาติแปลกประหลาดอย่างยิ่ง หวานก็ไม่หวานเปรี้ยวก็ไม่เปรี้ยว ทั้งยังมีรสขมและเหม็นคาวอีก
ถ้าพั่งจื่อไม่ห้ามไว้ จินเฟยเหยาเกือบจะถล่มร้านซาลาเปาที่มีชื่อที่สุดของโลกวิญญาณซิงหลัวแล้ว นางต่อคิวคนที่สิบเจ็ด เสียศิลาวิญญาณส่งตัวไปมากมายจึงซื้อซาลาเปาได้ แต่รสชาติเป็นยาพิษชัดๆ จะไม่ให้นางมีโทสะได้อย่างไร
จินเฟยเหยาจำเรื่องซาลาเปานางฟ้าได้ แต่พั่งจื่อกลับจำไม่ได้ ตอนนี้มันพัวพันจินเฟยเหยาจะให้นางรับปากให้ได้ แม้แต่เสี่ยวหวั่นก็กัดนิ้วตามมาปะเหลาะด้วยบอกว่าต้องการดื่มสุราคืนวิญญาณ
ดื่มอะไรเล่า! ไม่มีแม้แต่กระเพาะ ชิมรสชาติไม่ได้ ยังคิดจะดื่มสุราคืนวิญญาณ มองเสี่ยวหวั่นที่เข้ามาปะเหลาะด้วย จินเฟยเหยาก็บ่นในใจ นางไม่กล้าพูดต่อหน้าเสี่ยวหวั่นว่าเจ้าเป็นหุ่นเชิดที่รับรู้รสชาติไม่ได้ ยังจะกินอาหารอะไรอีก ตอนกินถังหูลูครั้งที่แล้วนางเคยพูดไปครั้งหนึ่ง เสี่ยวหวั่นร้องไห้อยู่สามวันเต็มๆ ทำเอาฮูหยินหวาและเนี่ยนซีแล่นออกมาทอดถอนใจปลงชีวิตด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย หวาหวั่นซีกลับออกมากรีดมือวาดเท้าด่าทอทั้งวันทรมานจินเฟยเหยาจนศีรษะพองโตราวกับโอ่ง
มองพั่งจื่อพาหุ่นเชิดมาก่อกวนจินเฟยเหยา ปู้จื้อโหยวก็อดยิ้มไม่ได้ นำขวดหยกเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมือออกมาโยนให้จินเฟยเหยา
“นี่อะไร?” จินเฟยเหยานิ่งอึ้ง เปิดขวดหยกออกอย่างสงสัย
พอเปิดขวดหยก กลิ่นหอมที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นก็ลอยออกมา เมื่อคนได้กลิ่นจะมีความรู้สึกสูญเสียจิตใจทันที ทว่าหลังจากหลงใหลแล้ว จิตใจก็จะรู้สึกสดชื่นราวกับสูญเสียการควบคุม
“นี่คือสุราคืนวิญญาณ?” จินเฟยเหยาประหลาดใจกับกลิ่นหอมนี้ สังเกตเห็นสายตาของพั่งจื่อดุร้าย นางจึงรีบส่งขวดเข้าปากทันที จากนั้นชะงักงัน
ปู้จื้อโหยวกระพริบตาเอ่ยว่า “นี่คือขวดที่เคยบรรจุสุราคืนวิญญาณ ข้านำออกมาให้เจ้าลองดม”
สายตาของจินเฟยเหยาจ้องมองปู้จื้อโหยวราวกับอยากฆ่าคน เวลานี้อยากจะฉีกเจ้าคนชอบแกล้งให้เป็นชิ้นๆ จากนั้นโปรยลงไปจากศาลาหลิวเฟิง
“อย่ามีโทสะ สุรานี้มีจริงๆ เพียงแต่ข้าดื่มหมดแล้ว ถ้าเจ้าอยากชิมจริงๆ ก็เลียเถอะ ถึงจะดื่มหมดแล้ว ทว่าเลียดูก็ยังมีรสชาติ” ปู้จื้อโหยวหัวเราะฮ่าๆ หยอกล้อจินเฟยเหยาอย่างสนุกสนาน
“ถือว่าเจ้าอำมหิต ถ้าเจ้าไม่นำสุราคืนวิญญาณทั้งไหมา ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร” ใต้เท้าหลงพ่ายแพ้ให้กับสุราคืนวิญญาณต่อหน้าขวดหยกเล็กๆ ที่เคยบรรจุสุราใบหนึ่ง
ขอเพียงมีสุราคืนวิญญาณ ใต้เท้าหลงก็เป็นเพียงเมฆาล่องลอย ตะกละตายขลาดเขลา ท้องแตกตายเปี่ยมความกล้าจริงๆ[1] สุดท้ายก็ยังกลัวความตาย
จินเฟยเหยาโยนขวดหยกให้พั่งจื่อเลีย และเริ่มใช้การถ่ายทอดเสียงหารือเรื่องขโมยศิลาเทียนฮุ่น นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ย่อมต้องหารือให้ดี
พวกเขาสองคนหารือเรื่องไร้คุณธรรมกัน ส่วนพั่งจื่อและเสี่ยวหวั่นนำขวดหยกไปเจ้าดมทีข้าดมทีและเริ่มเลียด้วยท่าทางตะกละราวกับหิวโหยมาหลายชาติ ความเคลื่อนไหวที่เสี่ยวหวั่นเลียขวดหยกกลับทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่เดินผ่านมามีนิสัยสัตว์ป่าปะทุขึ้น เกิดความคิดสัปดน พลังทำลายล้างมากเพียงพอที่จะใช้ยิ้มเดียวล่มเมืองได้
จินเฟยเหยาที่ไม่ได้ดื่มสุราคืนวิญญาณและยังขัดเขินที่จะเลียขวดแผ่พลังกดดันออกไปทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่กางกระโจมเล็กๆ ล้อมวงดูเสี่ยวหวั่นเลียขวดหวาดกลัวจนไร้สามารถ หลังจากขับไล่คนไปนางก็แย่งขวดหยกจากมือเสี่ยวหวั่นมาเก็บ ทำให้เสี่ยวหวั่นทั้งร่ำไห้ทั้งอาละวาด
สุดท้ายจินเฟยเหยาไร้หนทาง ได้แต่พาพวกเขาไปจากเกาะก้วนถิงแล้วค่อยว่ากัน
ปู้จื้อโหยวใช้ศักดิ์ฐานะของผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์เข้าร่วมงานประชุมวิญญาณแบบใหม่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงไม่ละทิ้งการประชุมวิญญาณมาตลอด คนที่มีอิสรเสรีอย่างเขา คิดไม่ถึงว่าจะยอมมาเข้าร่วมครั้งแล้วครั้งเล่า ทำตัวเป็นปริศนา
เดิมทีจินเฟยเหยาคร้านจะถามไถ่ แต่ปู้จื้อโหยวกลับเป็นฝ่ายเล่าออกมา เข้าร่วมงานเลี้ยงประชุมวิญญาณก่อนหน้านี้ก็เพื่อมาโลกวิญญาณซิงหลัว นอกจากฉวยโอกาสแอบดูเรื่องเล็กน้อยขายให้ซื่อเต้าจิงแล้วก็เพื่อติดต่อเผ่ามารซิงหลัวให้เผ่ามารเป่ยเฉิน
ก่อนหน้านี้ไปมาไม่สะดวก การสื่อสารก็น้อย โลกอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ถึงกับคิดจะสร้างวงเวทส่งตัวระหว่างสองโลกสายหนึ่ง เนื่องจากหาสถานที่สร้างวงเวทส่งตัวที่ปลอดภัยบนทะเลหรูเมิ่งไม่พบจึงล่าช้าออกไป
การค้นพบวงเวทส่งตัวในครั้งนี้แก้ไขปัญหาการติดต่อสื่อสารระหว่างสองโลกแล้ว ปู้จื้อโหยวก็ไม่ต้องเป็นคนกลางอีก แต่ต่อมายังเข้าร่วมงานประชุมวิญญาณเพราะมีเป้าหมาย คนเผ่ามารทั้งสองเผ่าคิดจะใช้การประลองในงานประชุมวิญญาณมาแก้ไขความขัดแย้ง การประลองรอบที่ปู้จื้อโหยวอยู่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เขาสามารถควบคุมผลลัพธ์ได้อย่างน้อยที่สุดเรื่องหนึ่ง
ถึงอย่างไรจินเฟยเหยาก็ไม่เชื่อ ผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงจำนวนมากรู้ฐานะของปู้จื้อโหยว ถ้าในบรรดานั้นไม่ได้มีแผนการร้ายและผลประโยชน์ จะปล่อยให้ลูกนอกสมรสของเผ่ามารคนหนึ่งเป็นตัวแทนเผ่ามนุษย์ลงประลองอย่างเปิดเผยได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นก็เป็นเพราะพลังอำนาจของตระกูลเขามหาศาลจนผู้อื่นไม่กล้าเอ่ยวาจา
เนื่องจากปู้จื้อโหยวเข้าร่วมงานประชุมวิญญาณจึงต้องอาศัยอยู่บนเกาะฮวาเยวี่ยเหมือนผู้บำเพ็ญเซียนของโลกวิญญาณเป่ยเฉินคนอื่นๆ ที่ติดตามมา จินเฟยเหยาไม่กล้าไปสถานที่แห่งนี้ เกรงว่าด้านในจะมีคนรู้จักมากมาย อยู่ห่างๆ ไว้ก่อนดีกว่า
ทั้งสองคนนั่งพรมบินของจินเฟยเหยาปล่อยให้พรมบินเหาะเหินสะเปะสะปะกลางอากาศพลางวิเคราะห์ว่าจะขโมยสิ่งของอย่างไรจึงไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น
ได้ยินปู้จื้อโหยวเอ่ยแนะนำ จินเฟยเหยาจึงรู้ว่าศิลาเทียนฮุ่นเป็นศิลาที่เกิดขึ้นเองในฮุ่นตุ้นแห่งฟ้าดินขณะเบิกฟ้าผ่าพิภพ ตัวมันเองเดิมทีเป็นของวิเศษชั้นยอดชิ้นหนึ่ง ไม่เคยผ่านกระบวนการ โยนออกมาก็ใหญ่ถึงร้อยหลี่ สามารถทับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตตายได้อย่างง่ายดายราวกับใช้นิ้วมือบี้มดเล็กๆ
เล่าขานกันว่าในอดีตมีศิลาเทียนฮุ่นจำนวนมาก แต่ตามวันเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป ศิลาเทียนฮุ่นจำนวนมากถูกใส่ลงไปในพื้นที่มิติ และหลอมให้กลายเป็นพื้นที่มิติวิเศษที่ใช้เป็นของวิเศษชั้นยอดได้ทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวาง ตอนนี้ศิลาเทียนฮุ่นเหลือน้อยลงทุกที อย่างครั้งนี้เผ่ามารซิงหลัวยอมนำศิลาเทียนฮุ่นชิ้นหนึ่งมาเป็นสินเดิมเจ้าสาวนับว่ามือเติบแล้ว
ที่แท้ศิลาเทียนฮุ่นสามารถหลอมสร้างพื้นที่มิติได้ จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเกาะลอยได้ของตนเอง ถ้าเพิ่มศิลาเทียนฮุ่นเข้าไปจะสามารถเปลี่ยนจากพื้นที่สิบหมู่ให้กลายเป็นร้อยหมู่ได้หรือไม่?
ระหว่างที่คิดนางเริ่มหมายตาศิลาเทียนฮุ่น ต่อให้เอาไปทั้งก้อนไม่ได้ก็ต้องได้เศษศิลาเล็กน้อยมา เพิ่มได้อีกหนึ่งหมู่นับเป็นเรื่องดี ตอนนี้เบียดเสียดจนไม่ไหวแล้ว
พูดเรื่องศิลาเทียนฮุ่นจบ ปู้จื้อโหยวก็นำแผนที่ของเกาะเซียวโม่ฉบับหนึ่งออกมาชี้ให้นางดูว่าที่ใดคือสถานที่ซึ่งเผ่ามารซิงหลัวอาศัย ที่ใดคือสถานที่ซึ่งเผ่ามารเป่ยเฉินอาศัย ส่วนเรื่องศิลาเทียนฮุ่นกลับไม่เหมือนที่จินเฟยเหยาคิด ไม่ได้ซ่อนไว้ในสถานที่ซึ่งมีคนเฝ้าแน่นหนา ทว่าวางไว้ในตำแหน่งสะดุดตาที่สุดบนเกาะเซียวโม่
“เพราะเหตุใดจึงวางไว้ตรงนี้ ไม่กลัวคนขโมยหรือ?” นางมองบนแผนที่ ศิลาเทียนฮุ่นถูกวางไว้ตรงประตูใหญ่ของที่พักเผ่ามารซิงหลัว จินเฟยเหยาหางตากระตุก เอ่ยถามอย่างหมดวาจา
ปู้จื้อโหยวอธิบายว่า “สถานที่ยิ่งกว้างขวางยิ่งขโมยไม่สะดวก ตรงประตูใหญ่เห็นได้ชัดขนาดนี้จะมีใครกล้าไปขโมย เป็นไปไม่ได้ที่เผ่ามารหลัวซิงจะขโมยสิ่งของของตนเอง เผ่ามนุษย์ไม่กล้าไปขโมย เผ่ามารเป่ยเฉินก็ขัดเขินที่จะไปขโมย ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
“ปลอดภัยอะไร ผู้ใดบอกว่าไม่มีใครไปขโมย ตรงนี้ก็มีนั่งอยู่สองคนกำลังเตรียมจะไปขโมยมัน” จินเฟยเหยายักไหล่และหัวเราะเสียดสี
“อย่าพูดจาเหลวไหล พวกเราสองคนจะไปขโมยสิ่งของได้อย่างไร ไม่หรอก เลือกวันมิสู้สบวัน[2] สามวันให้หลังมีงานเลี้ยงขนาดใหญ่ที่เผ่ามนุษย์ต้องมา ถึงตอนนั้นพวกเราสองคนปะปนเข้าไปหยิบฉวยสิ่งของ นี่คือเสื้อผ้าจำไว้ว่าต้องผลัดเปลี่ยน” ปู้จื้อโหยวเอ่ยแล้วหยิบชุดมังกรแหวกว่ายธาราอันงดงามออกมาจากถุงเฉียนคุน
จินเฟยเหยามองชุดนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดเครื่องแบบสำนักจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เวลานี้ใต้เท้าหลงคิดจะให้สำนักนี้แบกรับความผิดสินะ ขนาดชุดก็เตรียมไว้เรียบร้อย คงไม่ได้คิดจะเริ่มสงครามหรอกนะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร อย่างมากที่สุดก็ให้เผ่ามนุษย์ของโลกวิญญาณซิงหลัวทำลายสำนักแห่งนี้เอง” ปู้จื้อโหยวส่ายศีรษะ เอ่ยเพียงผิวเผิน
“พวกเจ้าเป็นคนทำการใหญ่จริงๆ ความคิดของคนอย่างข้าตามไม่ทันเลยสักนิด ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะมีแผนการร้ายอะไร ขอเพียงมอบสิ่งของที่ตกลงกันไว้ให้ข้าได้ เรื่องอื่นก็ไม่เกี่ยวกับข้า” จินเฟยเหยากอดอกเอ่ยวาจา
ปู้จื้อโหยวแย้มยิ้มขึ้น “เจ้าวางใจเถอะ ไม่มีใครคาดหวังให้เจ้าใช้สมองช่วยเหลือหรอก”
……………………………………………..
[1] มาจาก หิวตายขลาดเขลา อิ่มตายเปี่ยมความกล้า หมายถึง คนที่กล้าเสี่ยงอันตรายย่อมได้ผลประโยชน์ ส่วนคนที่ไม่กล้าย่อมไม่ได้อะไร
[2] เลือกวันมิสู้สบวัน หมายถึง ปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ มาเจอกัรแล้วก็ทำเสียเลย