คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 313 งานประชุมวิญญาณ
ส่งหลินชิงเจียงจากไป จินเฟยเหยานำนกปีกสวรรค์ออกมา วางแท่งหยกที่บรรจุคำพูดไว้แล้วปล่อยนกปีกสวรรค์ “ส่งจดหมายให้เจ้านายของเจ้า ให้เขามาหาข้าที่ศาลาหลิวเฟิงบนเกาะก้วนถิง”
ถ้าปู้จื้อโหยวอยู่ที่โลกวิญญาณซิงหลัว นกปีกสวรรค์ย่อมไปหาเขาเอง ถ้าไม่อยู่ นกปีกสวรรค์จะไม่บินออกจากเกาะตงเหลียง แต่จินเฟยเหยาเชื่อว่ามีโอกาสครึ่งหนึ่งที่ปู้จื้อโหยวจะอยู่ที่โลกวิญญาณซิงหลัว เนื่องจากโลกวิญญาณเป่ยเฉินไม่มีเรื่องที่เขาไม่รู้มากนัก ส่วนโลกวิญญาณซิงหลัวกลับเป็นสถานที่ใหม่ ที่นี่มีสิ่งของจำนวนนับไม่ถ้วนรอให้เขาไปแอบดู
จริงเสียด้วย นกปีกวิญญาณบินวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ร่างชะงักค้างกลางอากาศแล้วบินหายไปจากเกาะตงเหลียง
“อ้อ เจ้าคนวิปริตอยู่ที่โลกวิญญาณซิงหลัวจริงๆ” จินเฟยเหยายิ้มแย้ม ช่างเป็นคนที่อยู่ว่างไม่ได้จริงๆ
หนึ่งเดือนให้หลังจึงออกเดินทางไปล่าเจียวถู ส่วนนกปีกสวรรค์ของปู้จื้อโหยวบินกลับมาต้องพักผ่อนหนึ่งเดือน เช่นนี้จึงมิอาจรอให้ส่งข่าวกลับมาและระยะทางไกลขนาดนี้ใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงไม่ได้ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงให้ปู้จื้อโหยวไปหานางที่เกาะก้วนถิงโดยตรง ถึงตอนนั้นค่อยรวมตัวกันออกจากเกาะก้วนถิง
ดังนั้นนางจึงส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงให้หลินชิงเจียง ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินชิงเจียงจึงตอบกลับมา ตกลงว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลังพบกันที่เกาะก้วนถิง ถึงตอนนั้นค่อยไปหาเจียวถูพร้อมกัน
จินเฟยเหยาพาพั่งจื่อและหวาหวั่นซีไปด้วยจึงเก็บเกาะลอยได้เล็กๆ นางมองเกาะตงเหลียงอันเวิ้งว้างว่างเปล่า จึงฟันแผ่นหินชิ้นหนึ่งออกมา ใช้กลิ่นอายขั้นกำเนิดใหม่เขียนอักษรตัวใหญ่ลงบนนั้นว่า ‘ที่นี่มีคนอยู่ ออกจากบ้านไปไม่นานจะกลับมา’
มีป้ายหินที่มีอานุภาพกดดันขั้นกำเนิดใหม่ คงสามารถเตือนสติคนที่คิดจะครอบครองเกาะนี้ได้ว่าที่นี่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อาศัยอยู่ เพียงแต่ออกจากบ้านไปชั่วคราว แต่ถ้าเจอกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เช่นเดียวกัน เกรงว่าคงขัดขวางไม่ได้
จินเฟยเหยานำสิ่งของทั้งหมดไปแล้วมุ่งหน้าไปเกาะก้วนถิง
เกาะก้วนถิงอยู่ข้างเกาะจวี้เซียนซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลกวิญญาณซิงหลัว ใช้เวลาเหาะจากเกาะจวี้เซียนครึ่งชั่วยาม เกาะนี้มีรูปลักษณ์เป็นภูเขาสูง บนยอดเขามีน้ำตกสิบสายไหลลงมาและเคลื่อนไปมาระหว่างก้อนหินท่ามกลางขุนเขาราวกับมังกรสีเงินเหาะเหินเป็นทิวทัศน์รอบเกาะจวี้เซียนงดงามยิ่ง เนื่องจากมีน้ำตกอยู่บนเกาะ ยามฤดูร้อนจะมีไอน้ำปกคลุมเย็นสบายอย่างยิ่ง ดังนั้นบนเกาะจึงสร้างศาลาคลายร้อนเล็กๆ หลากหลายรูปแบบจำนวนเก้าสิบเก้าหลัง
ก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาเคยมาครั้งหนึ่ง เนื่องจากได้รับความนิยมมาก คนที่มาเที่ยวบนเกาะจึงค่อนข้างเยอะ เพื่อควบคุมจำนวนคนดังนั้นจึงไม่มีท่าเรือ ให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนมาเที่ยวเป็นหลัก พอถึงบนเกาะก้วนถิงจินเฟยเหยาก็ตกตะลึง เหตุใดบนภูเขาจึงมีคนมากมายขนาดนี้?
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้นางสงสัยคือในจำนวนนั้นถึงกับมีคนเผ่ามารจำนวนมาก นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าเกาะก้วนถิงถูกแบ่งให้คนเผ่ามารแล้ว!
บรรดาคนเผ่ามารและผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ล้วนเดินเที่ยวบนเกาะก้วนถิงอย่างเป็นมิตร ดูแล้วสงบสุขอย่างยิ่ง ไม่มีความรู้สึกว่าถูกเผ่ามารยึดครองเลยสักนิด อีกทั้งระหว่างนั้นยังเห็นได้ว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์นำทางพาผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารเที่ยว เป็นการพาญาติห่างๆ ออกมาเที่ยวโดยแท้
ตรงศาลาหลิวเฟิงมีผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารนั่งอยู่สิบกว่าคน ท่าทางเป็นพวกเดียวกัน ดูเหมือนจินเฟยเหยาจะเบียดเข้าไปไม่ได้แล้ว พอเห็นภาพนี้จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ต่อให้ระหว่างมนุษย์และมารที่โลกวิญญาณซิงหลัวอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นดีขนาดนี้ จินเฟยเหยามองพั่งจื่อ เจ้านี่ต้องมีเรื่องที่ไม่ได้บอกแน่
พั่งจื่อเห็นจินเฟยเหยาจ้องมองตนเอง พลันตบศีรษะ ค้นในถุงเฉียนคุนบนเอวได้ห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมา มันเปิดห่อออก ด้านในเป็นตับปลาโม่เหลิงย่างหนึ่งชิ้น เห็นมันโยนตับปลาเข้าปากทั้งชิ้น จากนั้นยื่นกระดาษที่มีน้ำมันเต็มไปหมดในมือให้จินเฟยเหยา
จินเฟยเหยารับกระดาษน้ำมันมาดู ที่แท้เป็นกระดาษใบหนึ่งในซื่อเต้าจิง บนนั้นเปื้อนน้ำมันจากตับปลาโม่เหลิงจนสกปรก หลังจากจินเฟยเหยาอ่านเรื่องที่เขียนไว้บนนั้นผ่านคราบน้ำมันได้ชัดเจนก็โยนซื่อเต้าจิงทิ้งและประเคนหมัดหนักๆ ใส่พั่งจื่อทันที แค่นั้นไม่พอยังเตะมันอีกหลายครั้ง
เวลานี้คนที่อยู่ในร่างหุ่นเชิดคือหวาหวั่นซี นางเชิดคางขึ้นมองพั่งจื่อถูกอัด ดูเหมือนยังรู้สึกสนุกมาก ไม่มีความคิดจะช่วยพูดจาให้เลยสักนิด
ผู้บำเพ็ญเซียนในศาลาหลิวเฟิงตกตะลึง พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานและขั้นฝึกปราณ ไหนเลยจะเคยเห็นคนทุบตีสัตว์ภูติ อีกทั้งสตรีที่งดงามดุจเทพธิดาผู้นั้นยิ่งเย็นชาไร้ความรู้สึก มองกบสีขาวขนาดใหญ่น่ารักตัวนั้นถูกทุบตีจนน่าสงสาร มีผู้บำเพ็ญเซียนใจดีคิดจะออกมาขัดขวางผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ชั่วร้ายคนนี้
“หยุดนะ!” ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารเลือดร้อนคนหนึ่งก้าวออกมาตะโกน
จินเฟยเหยาหยุดมือ หันหน้าไปถามอย่างเย็นชา “มีอะไร?”
ผู้บำเพ็ญเซียนในศาลาหลิวเฟิง รู้สึกว่ามีอานุภาพกดดันขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมา สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนในพริบตา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่!
ที่จริงปกติผู้บำเพ็ญเซียนไม่ต้องซ่อนพลังการบำเพ็ญเพียร เนื่องจากถ้าไม่มีคนจงใจใช้การรับรู้ตรวจสอบก็สามารถแยกแยะได้จากของวิเศษบนร่างว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของอีกฝ่ายสูงส่งหรือไม่
ตอนนี้จินเฟยเหยาปะทุพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ออกมาทำให้บรรดาผู้เยาว์เหล่านี้หวาดกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารที่ตะโกนบอกให้หยุดคนนั้นก็ตะลึงงันคาที่ จับจ้องมองนางแน่วนิ่ง
“พวกเจ้ามีอะไร?” จินเฟยเหยาขึ้นเสียงเอ่ยถามอีก
เวลานี้ในเผ่ามนุษย์มีผู้บำเพ็ญเซียนหัวไวคนหนึ่งได้สติขึ้น เกรงว่าคนเผ่ามารที่มีนิสัยเถรตรงเหล่านี้จะกล่าววาจาไม่เคารพออกมาจึงทำใจกล้ารีบเอ่ยตอบรับว่า “ผู้อาวุโส พวกเราเห็นว่าบนภูเขามีคนมากมาย ไม่มีศาลาคลายร้อนว่างแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะยกศาลาหลังนี้ให้ผู้อาวุโสพักผ่อน สหายของข้าคนนี้เสียงดังโดยกำเนิด ดังนั้นหวังว่าผู้อาวุโสอย่าได้ถือโทษ”
หัวไวมาก! จินเฟยเหยามองพินิจเขา จากนั้นเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อพวกเจ้ามีความจริงใจ เช่นนั้นข้าก็ขอบใจ”
“ไม่กล้ารับคำขอบคุณ ผู้อาวุโสเที่ยวอย่างเบิกบานใจก็พอ พวกเรายังมีธุระ ไม่รบกวนผู้อาวุโสแล้ว” ผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ คนนี้ยิ้มประจบ รีบลากสหายหนีไป แน่นอนว่าไม่ได้ลืมผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารคนนั้น ฉุดลากเขาออกไปด้วยอย่างลนลาน
จินเฟยเหยามองศาลาหลิวเฟิงที่เวิ้งว้างว่างเปล่า ก็โคลงศีรษะเอ่ยว่า “พั่งจื่อเห็นหรือไม่ว่ากำปั้นใหญ่มีประโยชน์ คนเยอะขนาดนี้ก็มีที่นั่ง”
ส่วนหวาหวั่นซีหัวเราะอย่างเย็นชาเดินผ่านร่างพั่งจื่อไป พั่งจื่อกลับล้วงป้ายชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุนอย่างรวดเร็ว บนนั้นมีอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว ‘หน้าคนร่างสัตว์’
หวาหวั่นซีถลึงตา เจ้าสองคนนี้ซัดกันทันที ต่อสู้กันอยู่ข้างศาลาหลิวเฟิง
จินเฟยเหยาเตือนพวกมันสองตัวแล้ว ถ้าคิดจะสู้กันก็ได้ ทว่าห้ามใช้พลังวิญญาณและพลังปิศาจ ต่างก็เป็นคนกันเอง ใช้กำปั้นทุบตีก็พอ ดังนั้นหวาหวั่นซีที่อยู่ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายจึงพาร่างราคาถูกพ่ายแพ้ให้แก่พั่งจื่อที่แช่น้ำแกงยาวิญญาณ
ภายใต้โทสะ หวาหวั่นซีจึงหลับตากลับไปและเปลี่ยนเป็นเสี่ยวหวั่นแทน พอเสี่ยวหวั่นลืมตาขึ้นก็กอดรัดพั่งจื่อแล้วกัด กอดไปกัดไปบอกว่าท่านลุงพั่งจื่อรังแกนาง
พั่งจื่อไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น กลัวเพียงเสี่ยวหวั่นร่ำไห้อาละวาดกัดและข่วนจึงตกเป็นรองทันที สุดท้ายได้แต่เปลี่ยนเป็นสูงสองคนกว่า แบกเสี่ยวหวั่นไว้บนหลังหยอกล้อนางให้เบิกบานใจ
มองพวกมันหนึ่งร้องไห้สองอาละวาดสามเล่นสนุก จินเฟยเหยาก็ปวดศีรษะอดด่าทอในใจไม่ได้ เจ้าวิปริตกลุ่มนี้ไม่รู้เลยว่าตนเองเด่นสะดุดตาเพียงใด โดยเฉพาะเสี่ยวหวั่นที่นั่งอยู่บนหลังของพั่งจื่อตอนนี้เปลี่ยนจากร้องไห้เป็นหัวเราะ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มทั้งน้ำตาทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่เดินผ่านมาหลงใหลจนวิญญาณหลุดลอย
“ทนพวกเจ้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ทั้งทะเลาะทั้งอาละวาด เดี๋ยวก็ตีกันเดี๋ยวก็หัวเราะ น่าหงุดหงิดแทบตาย” จินเฟยเหยานั่งอยู่ในศาลาหลิวเฟิง มองกลีบดอกไม้บนภูเขาถูกลมพัดร่วงหล่น จากนั้นหมุนอยู่หน้าศาลาหลิวเฟิงแล้วจึงลอยต่อไป
นางยื่นมือไปดูดกระดาษที่เปื้อนน้ำมันเต็มไปหมดบนพื้นกลับมาและด่าทออย่างดุร้าย “เจ้าบ้าพั่งจื่อ คิดไม่ถึงว่าจะนำข่าวสำคัญขนาดนี้ไปห่อตับปลาย่าง! เกือบจะทำร้ายข้าให้ตายแล้ว”
ข่าวบนนั้นสำคัญอย่างยิ่ง จะให้จินเฟยเหยาจะไม่มีโทสะได้อย่างไร
ที่แท้รอบเกาะจวี้เซียนมีผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารปรากฏตัวขึ้นมากมายขนาดนี้เนื่องจากงานประชุมวิญญาณเปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ระหว่างเผ่ามนุษย์จึงเสนอความคิดเห็นให้ทำสันติภาพทุกด้านกับเผ่ามาร การเตรียมการระยะแรกอื่นๆ ทำมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้จึงกำหนดเป็นที่แน่นอน
จากงานประชุมวิญญาณที่เผ่ามนุษย์ต่อสู้กันเอง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเผ่ามนุษย์และเผ่ามารส่งผู้บำเพ็ญเซียนออกมาต่อสู้ตัดสินกัน ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องโต้เถียงก็แก้ไขปัญหาในการต่อสู้ ใครชนะก็ทำตามที่คนนั้นบอก เช่นนี้จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้อย่างสันติและไม่เสียหายมากเกินไป
เผ่ามารเหล่านี้คือเผ่ามารของโลกวิญญาณสิบเอ็ดโลก ในบรรดานั้นโลกวิญญาณน้ำพุเหลืองซึ่งเป็นโลกเพียงแห่งเดียวที่ไม่มีเผ่ามารเพียงส่งคนมาร่วมงาน พวกเขาไม่มีเผ่ามารจึงไม่มีความขัดแย้งใดๆ แค่มาตามมารยาทล้วนๆ
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยาตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือถ้าจอมมารหลงไม่เพียงแค่มาดูตัว ทว่าแวะมาเป็นตัวแทนเผ่ามารจากโลกวิญญาณเป่ยเฉินเข้าร่วมงานประชุมวิญญาณ ก็เป็นไปได้ว่าจะปรากฏตัวขึ้นรอบเกาะจวี้เซียน
ถ้ารู้เรื่องนี้เร็วหน่อย นางจะไม่เลือกมารอปู้จื้อโหยวที่เกาะก้วนถิงเด็ดขาด! จินเฟยเหยาสำนึกเสียใจแทบตาย ทว่านัดปู้จื้อโหยวที่นี่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าขนาดหลินชิงเจียงก็ตกลงกันไว้ว่านัดหมายที่นี่ คิดจะจากไปตอนนี้ก็สายเสียแล้ว ได้แต่ฝืนใจรอคอย
แต่นางคิดอีกที จอมมารหลงเป็นขั้นว่างเปล่าแล้ว บุคคลเช่นนี้จะออกมาเที่ยวได้อย่างไร ต้องถูกผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงของเผ่ามนุษย์และบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารห้อมล้อมสร้างความสนิทสนม สอบถามข่าวคราวแน่ ถ้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้ก็น่าขำเกินไป
“ใต้เท้าหลงไม่มาหาเจ้าหรือ?” ในเวลานี้เอง ด้านหลังจินเฟยเหยามีเสียงดังมา ทำให้นางตกใจแทบแย่
จินเฟยเหยาหันหน้าไปมองก็มีโทสะแทบตาย ที่แท้เป็นปู้จื้อโหยวที่พานกปีกสวรรค์มาด้วย
“อยากตายหรือ! ไหนเลยมีคนขู่ขวัญอย่างเจ้า นานๆ ทีจริงจังบ้างก็ไม่ตายหรอก!”
ไม่ได้พบกันร้อยปี ปู้จื้อโหยวเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้นแล้ว แต่ยังแต่งกายแบบไม่สนโลกเหมือนเดิม กล่องศรขนาดใหญ่สามอันด้านหลังหายไปนานแล้ว แต่มีกล่องขนาดเท่าฝ่ามือห้าอันมาแทน ดูแล้วเหมือนเครื่องป้องกันเอว
ปู้จื้อโหยวเห็นจินเฟยเหยาตกใจก็ป้องปากหัวเราะ “ในเมื่อเจ้ากลัวขนาดนี้ เพราะเหตุใดยังต้องวิ่งมาที่นี่อีก หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าท่านลุงของข้าถูกจัดให้พักบนเกาะเซียวโม่?”
“ใกล้ขนาดนี้เลย!” จินเฟยเหยาตกตะลึง เกาะเซียวโม่เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ข้างเกาะจวี้เซียน อยู่ห่างจากเกาะก้วนถิงเป็นระยะทางบินสองชั่วยามกว่า
“พวกเรารีบไป กลับไปเกาะที่ข้าอาศัยอยู่ก่อน ที่นี่อันตรายเกินไป” จินเฟยเหยายืนขึ้นเตรียมพาปู้จื้อโหยวไปจากที่นี่ ทว่าปู้จื้อโหยวกลับนั่งลง
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “กลัวอะไร ตอนนี้เขายุ่งอย่างยิ่ง ต้องพบปะทุกสำนักและบรรดาชนชั้นสูงของโลกวิญญาณซิงหลัวทุกวันก็ทำให้เขาลำบากแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาว่างมายุ่งเรื่องของเจ้า”
“แบบนี้เอง ให้เขาเหนื่อยตายไปเลยยิ่งดี” พอจินเฟยเหยาได้ยินจิตใจก็ผ่อนคลาย
………………………………………