คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 290 วาสนา
อุณหภูมิของโลกวิญญาณหนานเฟิงแตกต่างกันอย่างยิ่ง กลางวันร้อนระอุ กลางคืนอุณหภูมิจะลดลง จินเฟยเหยานั่งอยู่ตรงหน้าต่างในห้องพักที่เหรินเซวียนจือจัดให้ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี วันนี้ก็ยังเป็นวันที่ฟ้าพร่างดาวอีก พรุ่งนี้น่าจะเป็นวันที่อากาศร้อนท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ
นางพูดคุยกับหลิ่วฉี่ปอแล้ว นางกลายเป็นอนุภรรยาของเหรินเซวียนจือจริงๆ ส่วนเป้าหมายที่ทำเช่นนี้เพียงคิดจะฉวยโอกาสพยายามในช่วงสุดท้าย ว่าจะสามารถอาศัยพลังของเหรินเซวียนจือบรรลุขั้นหลอมรวมได้หรือไม่ ถ้าบรรลุไม่ได้ นางก็คิดจะไปหาสถานที่สักแห่งรอความตาย
คิดไม่ถึงว่าหลิ่วฉี่ปอจะกลายเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่สามารถบรรลุขั้นหลอมรวมได้ อายุขัยของนางก็เหลือไม่กี่สิบปี ทว่าสิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาหมดวาจาคือ ถ้าตอนนั้นหลิ่วฉี่ปอไม่มอบยาสร้างฐานให้ติงเทียนเฉิง นางคงไม่ต้องลากถ่วงเวลามาหลายสิบปีจึงสร้างฐานสำเร็จ บางทีหลายสิบปีนี้เป็นเวลาที่ขาดหายไปในการเจี๋ยตันของนางพอดี
สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าขำคือติงเทียนเฉิงสร้างฐานแล้ว หลังจากเข้าสู่สำนักที่ไม่เลวแห่งหนึ่งก็อยู่กับศิษย์สตรีผู้สืบทอดของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในนั้น หลิ่วฉี่ปอถูกทิ้งอย่างเลือดเย็น
ส่วนนางที่ถูกติงเทียนเฉิงทอดทิ้งยังได้พบกับเฉียนเฟิง ก็คือเจ้าคนที่พาพวกเขาไปค้นหาบัวเซียนอัคคีแต่ที่จริงไปจับศพมาร เขามองแวบเดียวก็จำหลิ่วฉี่ปอที่ร่อนเร่อยู่เพียงคนเดียวได้ จึงจับตัวนางและพาตัวเด็กชายที่ลักพามาจากเมืองลั่วเซียนเดินทางมาถึงโลกระดับวิญญาณ เด็กชายคนนั้นชื่อว่าจินเฟยหยาง สุดท้ายก็กลายเป็นศิษย์ของเฉียนเฟิง
หลังจากได้ยินเรื่องนี้จากปากหลิ่วฉี่ปอ จินเฟยเหยาเพียงถอนใจว่าชีวิตคนเราช่างไม่เที่ยงแท้ ที่แท้จินเฟยหยางมาถึงโลกระดับวิญญาณและฝึกวิชาชั่วร้ายแบบนี้เอง ทั้งยังร่วมทางมากับหลิ่วฉี่ปอ
เช่นนี้หมายความว่า หลังจากจินเฟยหยางถูกตนเองทุบตีก็ถูกเฉียนเฟิงพบเข้า ไม่รู้ว่าเขามีเสน่ห์อะไรจึงถูกเฉียนเฟิงหมายตาและลักพาตัวไป จากนั้นมาถึงโลกระดับวิญญาณและเริ่มฝึกบำเพ็ญ สุดท้ายกลับถูกตนเองสังหารในคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งของจอมมารหลง โชคชะตาที่วนเป็นวงกลมของเขาถูกจัดวางไว้อย่างไรกันแน่ คือต้องให้เขาตายด้วยมือข้าหรือ?
หลิ่วฉี่ปอไม่ได้บอกจินเฟยเหยามากนักว่าทำอย่างไรจึงทำให้เฉียนเฟิงไม่สังหารตนเองและยังพามาถึงโลกระดับวิญญาณ คิดดูก็รู้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีงามอะไรแน่ๆ ส่วนนางกลายเป็นอนุภรรยาของเหรินเซวียนจือได้อย่างไร กลับเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
หลังจากเฉียนเฟิงมาถึงเมืองจุ้ยเทียนและรู้ว่าเหรินเซวียนจือชื่นชอบสตรี ก็ยกนางและผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนอื่นๆ ที่จับตัวมาให้เหรินเซวียนจือไปพร้อมกัน สิ่งที่จินเฟยเหยาได้ยินจากปากหลิ่วฉี่ปอคือ เจ้าเมืองเหรินมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่ง มีท่าทางสง่างามและดีต่อบรรดาอนุภรรยา เขามาโลกวิญญาณหนานเฟิงก็เพื่อช่วยให้พวกผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเดินบนหนทางที่ถูกต้อง บุรุษที่คิดอ่านเพื่อผู้อื่นเช่นนี้ แม้แต่ในสำนักอันเที่ยงธรรมที่มีชื่อเสียงก็มีน้อยมาก
เมื่อจินเฟยเหยาถามเรื่องถูกดึงหยินเสริมหยางด้วยสีหน้าประหลาดใจ ถึงแม้หลิ่วฉี่ปอจะอยู่มานาน ก็ยังเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำนิดๆ นั่นไม่ใช่ดึงหยินเสริมหยาง เป็นเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ของเจ้าเมืองเหริน ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมสามคนนั้นบำเพ็ญคู่กับเจ้าเมืองเหรินมากจึงเลื่อนขั้นได้สำเร็จ เพื่อเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียร ทุกคนจึงแย่งชิงกันรับใช้เจ้าเมืองเหริน
“สตรีพวกนั้นถูกหลอกกันหมดสินะ ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าดูดผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่งจนแห้ง จะให้ประโยชน์แก่พวกนางมากขนาดนั้น ช่วยให้พวกนางเลื่อนขึ้นเป็นขั้นหลอมรวม และเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร เจ้าหลอกอนุภรรยาพวกนี้จนอยู่หมัด ยอดเยี่ยมจริงๆ” จินเฟยเหยานั่งอยู่ข้างหน้าต่าง พิงกรอบหน้าต่างแล้วเอียงศีรษะเอ่ยวาจากับบนหลังคาห้อง
เหรินเซวียนจือเพียงสวมชุดตัวในที่คลายออกครึ่งหนึ่ง นำก้วนลงมาแล้ว ยืนเท้าเปล่าอยู่บนหลังคาหลุบตาลงมองจินเฟยเหยาบนกรอบหน้าต่าง ลมราตรีพัดเส้นผมของเขา ภายใต้แสงดาวดูแล้วรื่นตาจริงๆ
เห็นเขาไม่ตอบ จินเฟยเหยาก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “พี่ยี่สิบ เจ้าบอกว่าคืนหนึ่งเจ้าต้องดึงพลังหยินยี่สิบครั้งมิใช่หรือ ดึกดื่นไม่ไปทำงาน วิ่งเท้าเปล่ามาตากลมอะไรที่นี่?”
“ดึงพลังเสร็จแล้ว ว่างไม่มีอะไรทำเลยมาคุยเรื่องแผนการกับเจ้า” เหรินเซวียนจือมองจินเฟยเหยาอย่างลึกซึ้ง แล้วเอ่ยต่อว่า “เห็นข้าอยู่ใต้ฟ้าพร่างดาวแบบนี้ เจ้าไม่หวั่นไหวเลยหรือ?”
“อุ๊บส์” จินเฟยเหยาอดขำไม่ได้ นางปิดปากหัวเราะจนไหล่สั่นสะท้าน
เหรินเซวียนจือจ้องมองนางหัวเราะ สุดท้ายเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าอยากสังหารเจ้าจริงๆ สตรีที่ไม่มีอารมณ์อ่อนไหวอย่างเจ้าอยู่บนโลกนี้ไปก็เป็นความสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง”
“เจ้าตัดใจได้หรือ? อยากจะดึงพลังเจ้าก็เอาชนะข้าไม่ได้ ถ้าอยากได้พลังของข้า เจ้าได้แต่ให้ข้าเป็นฝ่ายยินยอมสละตนเองแล้ว ถึงเจ้าไม่อยากได้พลังของข้า แค่อยากจะฆ่าข้าจะได้ดวงตาไม่เห็นจิตใจสงบ ตอนนี้เจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้ แล้วไยต้องลงมือด้วย” จินเฟยเหยาแย้มยิ้มอย่างเบิกบาน
“เช่นนั้นพวกเรามาคุยธุระกัน ข้าจะบอกความชอบของเจ้าเมืองลั่วรื่อให้เจ้าฟังก่อน นางชอบเด็กสาวที่ตัวเล็กน่ารัก” เหรินเซวียนจือเมินเฉยคำพูดของจินเฟยเหยา เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีและเริ่มพูดคุยธุระสำคัญ
ฟังถึงตรงนี้ จินเฟยเหยารีบบอกให้เขารอเดี๋ยว “เจ้าว่าอะไรนะ? ตัวเล็กน่ารัก! เจ้าว่าอย่างข้าเหมือนหรือ?”
เหรินเซวียนจือมองพินิจจินเฟยเหยาขึ้นลง ขมวดคิ้วแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา หลังจากมองอยู่นานเขาจึงเอ่ยว่า “ที่จริงเจ้าแต่งตัวสักหน่อย ก็น่าจะพอกล้อมแกล้มผ่านไปได้”
“ฝืนใจพูดขนาดนั้น ในมือเจ้ามีอนุภรรยาตั้งห้าร้อยกว่าคนมิใช่หรือ เลือกที่หน้าตาอ่อนหวานออกมาคนหนึ่งน่าจะง่ายกว่า” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่พอใจ
เหรินเซวียนจือถอนหายใจเบาๆ “เจ้านึกว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนี้หรือ? เจ้าเมืองลั่วรื่อไม่ชอบสตรีที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำ อย่างแย่ที่สุดก็ต้องขั้นหลอมรวม อีกทั้งนางยังเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง เจ้าคิดว่าคนขั้นหลอมรวมจะมีวิธีควบคุมนางหรือ?”
“เดี๋ยวก่อน พูดแบบนี้ หรือว่าคิดจะให้ข้าทำเรื่องทั้งหมดคนเดียว? เจ้าแค่สะบัดมือรอข้าจับโห่วกลับมา คิดได้ดีนักนะ” จินเฟยเหยาพลันรู้สึกตัว คนเข้าถ้ำเสือมีเพียงตนเอง
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าจะใช้ฐานะเจ้าเมืองจุ้ยเทียนไปพบนาง จากนั้นเจ้าต้องพยายามดึงดูดความสนใจนาง แบบนี้ข้าจะได้ทิ้งเจ้าไว้ยังที่พักของนาง แล้วค่อยคิดหาวิธีได้โห่วมาอยู่ในมือ” เหรินเซวียนจือเอ่ยยิ้มๆ
จินเฟยเหยาเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง “ดึงดูดความสนใจอย่างไร?”
“น่าจะใกล้เคียงกับยั่วยวนบุรุษนะ นางชอบสตรี ก็คือคิดว่าตนเองเป็นบุรุษ เรื่องนี้น่าจะเป็นธรรมชาติของสตรี อย่างมากข้าจะให้คนสอนเจ้าว่าบิดเอวอย่างไร” เหรินเซวียนจือเอ่ยจบก็ครุ่นคิดว่าเอวน้อยๆ ของอนุภรรยาคนใดบิดส่ายได้ดีที่สุด จะได้เรียกมาสอนยายนี่ว่าบิดเอวอย่างไร
ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาล้วงผลลั่วหม่าออกมาจากที่ใด แทะพลางเอ่ยว่า “เจ้าประเมินข้าสูงไปแล้ว ถ้าข้ายั่วยวนบุรุษเป็น ตอนนี้ข้าคงใช้ชีวิตแบบเจ้าคนนายคนไปแล้ว เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าอยู่กับบุคคลยิ่งใหญ่คนใดมาตั้งหลายสิบปี เจ้าหมอนั่นมีเงินมีอำนาจมีความแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายข้าก็ไม่ได้ประโยชน์เลยสักนิด เป็นแรงงานโดยเฉพาะ”
จินเฟยเหยากัดผลลั่วหม่าหลายคำกร้วมๆ แล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้ต่อ “ข้าจะลองดู แต่ถ้าเรื่องสำเร็จ ตานศักดิ์สิทธิ์ของโห่วเป็นของข้า เจ้าลงแรงน้อยที่สุด เอาเลือดไปครึ่งเดียวก็พอ ยังมีอีกเรื่อง ผลลั่วหม่าไม่ได้อร่อยขนาดที่เจ้าพูดเลย เจ้าจงใจหลอกข้ามาหรือรสนิยมมีปัญหา?”
“เจ้ากินตั้งเจ็ดสิบกว่าผลแล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่อร่อยอีก เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือ หลังบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ ขอเพียงเจ้าไม่เปลี่ยนเป็นร่างสัตว์ ก็จะไม่มีกระเพาะที่ใหญ่ขนาดนั้น เจ้าตะกละโดยกำเนิดสินะ ตานศักดิ์สิทธิ์ก็จะเอาไปทั้งหมด กระเพาะเจ้านี่ใหญ่จริงๆ” เหรินเซวียนจือไม่พอใจ ตนเองเป็นคนพบโห่วก่อน ถ้าตานศักดิ์สิทธิ์ถูกเอาไปหมดตนเองยังจะวางแผนทำไม!
จินเฟยเหยามองเขาราวกับไม่มีอะไร เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เจ้าเมืองลั่วรือมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรงให้เจ้าดึงพลังนาง ดีกว่าเจ้าดึงพลังจากคนขั้นสร้างฐานกองหนึ่งมากนัก เจ้าครุ่นคิดดู รู้ว่าข้ากระเพาะใหญ่ยังเรียกข้ามา เจ้าน่าจะเตรียมใจไว้นานแล้วนะ”
จินเฟยเหยาโยนแกนผลลั่วหม่าในมือทิ้ง มองเหรินเซวียนจืออย่างเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม คนผู้นี้ต่อให้เป็นฉยงฉีก็ยังมีจิตใจวิปริตถึงขีดสุด ทว่าตนเองก็เป็นเทาเที่ย ทุกคนล้วนพอๆ กัน ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะเอาเปรียบใคร และอย่าคิดจะสังหารอีกฝ่ายได้
เห็นแววตะกละตะกลามในดวงตาเป็นประกายของจินเฟยเหยา เหรินเซวียนจือจึงเอ่ยถามอย่างไม่วางใจ “เจ้าคงไม่กินเจ้าเมืองลั่วรื่อหมดนะ?”
“ข้าไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย พูดจาเหลวไหลทั้งวันไม่มีความจริงสักประโยค ข้ายังเป็นห่วงว่าที่เจ้าเมืองลั่วรื่อจะไม่มีโห่ว ข้ายังไม่สงสัยเจ้าเลย เจ้ากลับมาถามข้าก่อน” จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขาและเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ในเมื่อเจ้าไม่เตรียมเรียนบิดเอว พรุ่งนี้พวกเราก็ออกเดินทาง” เหรินเซวียนจือทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้ พอลมพัดมาก็หายไปจากบนหลังคา ไม่แน่ว่าจะไปทำลายสถิติเป็นพี่สี่สิบแทน
เห็นเขาไปมาโดยไร้ร่องรอยแบบนี้ จินเฟยเหยาก็เบ้ปาก นี่เป็นเรื่องที่นางรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมจนถึงบัดนี้ มีสิทธิ์อะไรที่ทั้งฮุ่นตุ้นและฉยงฉีต่างมีปีก ทว่าตนเองมีเพียงปากกว้าง ความเร็วของฉยงฉีรวดเร็วเกินไปจริงๆ เคลื่อนไหวตามสบายก็มองไม่เห็นเงาร่าง
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เหรินเซวียนจือสามารถดึงพลังสตรียี่สิบนางได้ในคืนเดียว หรือว่าเนื่องจากความรวดเร็ว แต่ตอนอยู่ที่โอเอซิสก็ทำอยู่นานมาก ถ้าเป็นสตรียี่สิบคนคืนเดียวน่าจะไม่เพียงพอ
ที่แท้เนื่องจากกระทำได้รวดเร็วหรือธรรมชาติในเรื่องนั้นมันเร็วนะ จินเฟยเหยากระพริบตา เริ่มคาดเดาสะเปะสะปะ
เช้าตรู่วันที่สอง เหรินเซวียนจือพาคนตัวเล็กๆ อันแปลกประหลาดตัวนั้นและจินเฟยเหยาไปเมืองลั่วรื่อ ส่วนจินเฟยเหยาเห็นท่าทางเปี่ยมพลังของเหรินเซวียนจือ ก็นึกถึงเรื่องที่ขบคิดไม่เข้าใจในสมองของนางเมื่อคืน
สุดท้ายหลังบินออกจากเมืองจุ้ยเทียนมาหลายชั่วยาม จินเฟยเหยาก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “สหายเซียนเหริน ข้ามีคำถามหนึ่งอยากถามเจ้า เมื่อคืนวานข้าไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะเรื่องนี้”
“เรื่องอะไร?” เหรินเซวียนจือเอ่ยถามอย่างสงสัย
จินเฟยเหยานั่งถูไม้ถูมืออยู่บนพรมบิน เอ่ยถามด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์แกมสงสัย “สหายเซียนเหริน เจ้าดึงพลังสตรียี่สิบคนในคืนเดียว สตรีนางหนึ่งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งจิบชาใช่หรือไม่?”
เหรินเซวียนจือร่างแข็งค้าง บนใบหน้าปรากฏลายพยัคฆ์ของฉยงฉีในพริบตา จ้องมองนางด้วยดวงตาดุร้าย “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะให้เจ้าทดลองดูตอนนี้เลยว่าถึงครึ่งจิบชาหรือไม่”
“ไม่ต้องๆ เจ้าใจเย็นก่อนนะ อย่าหุนหันพลันแล่นเด็ดขาด ถ้าหุนหันแล้วจะเสียงาน โห่ว ทายาทของสัตว์เทพโห่ว เป้าหมายของเจ้าคือมัน ใจเย็นๆ นะ!” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋งแล้วรีบเอ่ยปลอบประโลม
“ฮึ!”