คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 289 โห่ว
“ทำเรื่องชั่วก็ต้องใช้สมอง จะเปิดเผยตนเองออกมาอย่างโง่เขลาได้อย่างไร เรื่องชั่วต้องให้คนอื่นไปทำ อีกทั้งยิ่งมากก็ยิ่งดี ในเมืองจุ้ยเทียนแห่งนี้ ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังมีเมตตามากกว่าระหว่างสำนักอันเที่ยงธรรมอีก ข้าเป็นคนสร้างบรรยากาศนี้ขึ้นมา เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียวคือยกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรของผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย แบบนี้จึงสามารถไปต่อกรกับคนของสำนักอันเที่ยงธรรมได้ดียิ่งขึ้น” เหรินเซวียนจือเดินอยู่บนถนนกระจกอันเรียบลื่น พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตากลับกวาดมองภาพใต้กระโปรงที่สะท้อนออกมาบนพื้นราวกับไม่มีอะไร
จินเฟยเหยากลับเงยหน้าขึ้นมองบนต้นไม้ข้างทาง ที่นั่นมีผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นพวงหนึ่ง ผิวหนาสีเขียวดูไม่ค่อยน่ากินเท่าใด นางมองผลไม้เหล่านี้แล้วเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า “นี่ใช่ผลลั่วหม่าหรือไม่? ดูแล้วไม่น่าอร่อยเหมือนที่พวกเจ้าพูดเลย”
เหรินเซวียนจือมองท่าทางเกียจคร้านของนางแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าตั้งใจฟังข้าพูดหน่อยได้หรือไม่ สิ่งที่ข้าพูดสำคัญมากนะ มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษกับเจ้า หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกฮึกเหิมและมีอารมณ์อยากเข้าร่วม?”
“ไม่เลย เรื่องที่เจ้าพูดยุ่งยากเกินไป ข้าไม่รู้สึกสนใจเลยสักนิด ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ตอนนี้มาถึงเมืองจุ้ยเทียนแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้าย” จินเฟยเหยามองเหรินเซวียนจือเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ
เพิ่งเข้าเมือง ยังนึกว่าจะสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าตัวกินจุได้เล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะไล่คนไปทันที เหรินเซวียนจือขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน[1]ก็ยังไม่รวดเร็วเหมือนเจ้าเลย หรือเจ้าไม่อยากรู้สาเหตุว่าเพราะเหตุใดฮุ่นตุ้นจึงอยู่ที่ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายมาตลอดหลายร้อยปี แต่กลับมิอาจเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตได้?”
“นางเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตไม่ได้แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างงุนงง จะเลื่อนขั้นได้หรือไม่ก็ต้องดูที่พลังการบำเพ็ญเพียรและคุณสมบัติของนางสิ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?
เหรินเซวียนจือยิ้มนิดๆ “เดินไปคุยไปเถอะ เรื่องนี้สำคัญกับพวกเราอย่างยิ่ง”
เห็นท่าทางลึกลับของเขา จินเฟยเหยาก็สงสัยขึ้นมา จึงตัดสินใจลองฟังดูว่าเขาจะพูดอะไร ถ้าพูดจาเหลวไหลหลอกลวงก็จะจากไป
รอจนฟังคำพูดของเหรินเซวียนจือจบ จินเฟยเหยาก็เงียบงัน สิ่งที่เจ้าหมอนี่พูดเป็นความจริงหรือไม่
ตามที่เหรินเซวียนจือเล่า ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกร่างแยกของสัตว์ร้ายเลือก หลังขั้นกำเนิดใหม่ยากจะบรรลุขั้นแปลงจิต และสาเหตุง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่พวกเขาไม่ได้รับโลหิตของสัตว์เทพ
นอกจากสัตว์ร้ายทั้งสี่แล้ว ในโลกนี้ยังมีร่างแยกสัตว์เทพหรือทายาทที่มีสายโลหิตของสัตว์เทพจำนวนมาก ขอเพียงจับพวกมันได้ แล้วกินโลหิตสดหรือตานศักดิ์สิทธิ์ลงไปก็สามารถทำให้ร่างแยกที่ถูกกักขังหลอมรวมเข้าด้วยกัน ที่เลื่อนขั้นไม่ได้เนื่องจากยังมีระยะห่างระหว่างร่างกายของมนุษย์และร่างแยก ไม่ว่าร่างแยกยึดครองกายเนื้อหรือผู้บำเพ็ญเซียนกลืนกินร่างแยกล้วนสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้เพียงฝ่ายเดียว
ผลสุดท้ายคือทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้หลอมรวมกันอย่างแท้จริง ขณะที่เลื่อนเป็นขั้นแปลงจิต ร่างกายจะผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน ถ้าไม่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนขั้นสำเร็จ
ทายาทหรือร่างแยกของสัตว์เทพเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนเช่นเดียวกัน ถึงตกในมือพวกเขาจะมีอานุภาพไม่เบา ทว่ากลับมีประโยชน์สู้ตกอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกสัตว์ร้ายยึดครองร่างไม่ได้ ขอเพียงกินโลหิตหรือตานศักดิ์สิทธิ์ของพวกมัน พลังการบำเพ็ญเพียรของพวกเขาก็จะพุ่งทะยาน
มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยนำตานศักดิ์สิทธิ์มาหลอมเป็นยาหรือดื่มโลหิตของทายาทสัตว์เทพโดยตรง ยิ่งมีคนถูกร่างแยกของสัตว์เทพหมายตาและให้เขาหยิบยืมพลังมาใช้ คนเหล่านี้ล้วนใช้วิธีการต่างๆ นานาเพื่อยึดครองสัตว์เทพ แต่กลับมิได้เลื่อนขั้นไม่ได้หากปราศจากพวกมัน
เทียบกันแล้ว จินเฟยเหยาและเหรินเซวียนจือต้องการสิ่งเหล่านี้มากกว่า
จินเฟยเหยายังไม่สนใจก่อนว่าคำพูดของเหรินเซวียนจือจะเป็นความจริงหรือไม่ คิดถึงว่าตนเองเพิ่งเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้น ครุ่นคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ดูเหมือนจะเร็วเกินไป อีกทั้งทายาทและร่างแยกของสัตว์เทพไหนเลยจะหาได้ง่ายดาย คงมิอาจไปค้นหาฉีหลิน[2]แล้วบอกมันว่าเอาตานศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ามาให้ข้ายืมใช้หน่อยหรือเอาโลหิตมาให้ข้าทำสุรานิดหนึ่ง?
เรื่องนี้แค่คิดก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ตานของผู้อื่นก็เรียกว่าตานศักดิ์สิทธิ์ และนี่ยังไม่ใช่หนทางสายเดียว อีกทั้งของสิ่งนี้ยังหาได้ยาก ถึงหาพบก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ จินเฟยเหยารู้สึกว่ารอให้ตนเองบรรลุขั้นฝึกปราณช่วงปลาย และไม่มีทางบรรลุขั้นแปลงจิตก่อนแล้วค่อยว่ากัน
จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างหมดความอดทน “จะทำอะไร ข้าแค่อยากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาคนหนึ่ง สัตว์เทพสัตว์ร้ายอะไรข้าไม่สนใจเลยสักนิด นี่เป็นเรื่องที่เกินกำลัง ข้าไม่ใช่คนที่มีความทะเยอทะยานต้องไปเอาสิ่งของเหล่านี้มา ให้ข้ากินพวกยาตานเหมือนคนอื่นไม่ได้หรือ?”
เห็นท่าทางของจินเฟยเหยา เหรินเซวียนจือก็รู้ว่านางต้องรู้สึกยุ่งยากแน่ ดังนั้นจึงเอ่ยเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าต้องอยู่ที่โลกวิญญาณหนานเฟิงมาตลอด? เนื่องจากข้ารู้ว่าที่นี่มีโห่ว[3]ตัวหนึ่ง เจ้าจะไม่เชื่อคำพูดของข้าก็ได้ แต่ถ้าเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตไม่ได้จริงๆ เจ้าอาจจะเสียใจที่ไม่ได้โห่วตัวนี้”
“โห่วอยู่ที่โลกวิญญาณหนานเฟิง?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง ถ้าเป็นโห่วก็น่าจะไปลองดู ไม่ว่ากินทายาทสัตว์เทพแล้วจะเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตได้จริงหรือไม่ เจ้าสิ่งนี้ก็เป็นของดี
เหรินเซวียนจือพยักหน้า “ใช่ แต่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของข้า แต่ข้าแน่ใจว่ามันต้องอยู่ที่นี่แน่”
“สัตว์ตัวยาวแค่หนึ่งฉื่อ ทำไมเจ้าไม่ไปจับเอง นัดหมายข้ามาทำไม?” จินเฟยเหยาพลันนึกถึงปัญหาข้อนี้ได้ โห่วตัวแค่ฉื่อกว่าๆ ต่อให้ดุร้ายและร้ายกาจ เหรินเซวียนจือก็น่าจะจัดการได้
“มันอยู่ในมือของเจ้าเมืองแห่งเมืองลั่วรื่อ ข้าไม่มีทางเข้าใกล้นางได้ นางไม่ชอบบุรุษ” เหรินเซวียนจือเอ่ยช้าๆ
ไม่ง่ายดายจริงๆ ด้วย จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขา “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า เจ้าเมืองแห่งเมืองลั่วรื่อคงเป็นสตรีสินะ?”
“ใช่ และยังเป็นสาวงามที่หาได้ยากคนหนึ่ง ทว่านางไม่ชอบบุรุษ ห้ามบุรุษเข้าใกล้ภายในรัศมีรอบตัวร้อยจั้ง ข้าคิดจะเข้าใกล้นางไม่ง่ายดาย เจ้าเป็นสตรี สามารถเข้าใกล้นางได้พอดี” เหรินเซวียนจือหรี่ตายิ้มแย้มมองจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยามีความรู้สึกเหมือนติดกับทันที จึงเอ่ยอย่างเย็นชา “หรือว่าเจ้าคิดจะให้ข้าไปเข้าใกล้นาง จากนั้นทำให้นางเชื่อใจ แล้วหลอกนางมายังสถานที่ที่เจ้าลงมือได้ จากนั้นพวกเราสองคนแบ่งโห่วกันคนละครึ่ง ส่วนคนเจ้าก็เอาไปสูบพลังหยิน”
“เจ้าคาดเดาได้ใกล้เคียง มีเพียงอย่างเดียวที่คาดเดาผิด?” เหรินเซวียนจือยิ้มแย้ม ถือว่าเทาเที่ยตัวนี้ไม่ใช่ตัวโง่งมที่รู้จักแต่กินอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่เหมาะจะร่วมมือกันจริงๆ เขาชะงัก แย้มยิ้มอย่างเจิดจรัสผิดปกติแล้วเอ่ยว่า “นางไม่เข้าใกล้บุรุษ แต่กลับชอบสตรี”
“ชอบสตรี!” จินเฟยเหยาชะงักฝีเท้า มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ทว่าเหรินเซวียนจือกลับหยุดลงเบื้องหน้าตำหนักหลังหนึ่ง และทำท่าทางเชื้อเชิญ “ที่นี่คือจวนจุ้ยเทียน สหายเซียนจินก็ฝืนใจอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวเถอะ ให้ข้าช่วยสอนว่าต้องยั่วยวนสตรีอย่างไรอีกแรง”
จินเฟยเหยามองเขาอย่างปากอ้าตาค้าง ตกตะลึงที่เขาคิดจะให้นางไปยั่วยวน แล้วนางก็ถูกเหรินเซวียนจือลากเข้าจวนจุ้ยเทียนทันที
จวนจุ้ยเทียนไม่มีอะไรแตกต่างกับบ้านที่อยู่ภายนอก ทั้งหมดสร้างขึ้นจากแก้วเช่นเดียวกัน เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นๆ มาก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือใหญ่ราวกับวังหลวง
เจ้าของเมืองสามารถอยู่บ้านหลังใหญ่จริงๆ ทว่าใหญ่ขนาดนี้ก็เกินไป เดินเข้าประตูใหญ่ทำจากแก้วที่สูงเกินห้าจั้ง ด้านในเป็นสวนดอกไม้กว้างขวาง รอบสวนเป็นห้องแก้วชั้นแล้วชั้นเล่า สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึงไม่ใช่จวนจุ้ยเทียนที่กว้างขวาง ทว่าเป็นกลุ่มสตรีสวมชุดกระโปรงเบาบางที่ยืนอยู่ในสวนดอกไม้
มองกลุ่มสตรีที่อย่างน้อยที่สุดมีห้าร้อยกว่าคน จินเฟยเหยาก็เกือบจะถูกกระโปรงบางเบาอันเซ็กซี่ของพวกนางทำให้ตาลาย มองอ้าปากค้างเหมือนคนโง่งม จากนั้นได้ยินเหรินเซวียนจือเอ่ยว่า “สตรีเหล่านี้คืออนุภรรยาของข้า”
“ทั้งหมดเลย? นี่กินหมดหรือ!” จินเฟยเหยาได้สติกลับคืนมา วันละคนก็ต้องใช้เวลาตั้งปีกว่า บรรดาสตรีเหล่านี้คงไม่หนีไปหรอกนะ?
เหรินเซวียนจือมองนางอย่างหมดวาจา “ในสมองของเจ้านอกจากเรื่องกินแล้วไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลยหรือ? สาวๆ พวกนี้เป็นอนุภรรยาของข้า เคล็ดวิชาดึงหยินเสริมหยางไม่ได้ต้องเอาชีวิตทั้งหมด”
“อ้อ เข้าใจล่ะ กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง แต่สตรีมากมายขนาดนี้คงไม่ได้อยู่เฝ้าห้องอย่างเดียวดายนะ?” จินเฟยเหยาพยักหน้าด้วยท่าทางเข้าอกเข้าใจก่อน จากนั้นถามเพิ่มอีกประโยค
เหรินเซวียนจือมองนางอย่างดูแคลน จากนั้นเชิดหน้าขึ้นเอ่ยเรียบๆ “คืนหนึ่งข้าสามารถดึงพลังหยินได้ยี่สิบคน”
“เจ้า…ร่างกายแข็งแรงจริงๆ” เวลานี้นอกจากประโยคนี้แล้ว นางก็คิดคำอื่นๆ มากล่าวชมเขาไม่ออกจริงๆ
สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นขั้นสร้างฐานและขั้นฝึกปราณ ในบรรดานั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมสามคน คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงเกินไปย่อมกลายเป็นอนุภรรยาไม่ได้ เพียงแต่เหตุใดจึงยังมีขั้นหลอมรวม จินเฟยเหยากวาดมองกลุ่มคนแวบหนึ่ง รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
จินเฟยเหยายืนอยู่ข้างกายของเหรินเซวียนจือ พริบตาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจจำนวนมาก พลังการบำเพ็ญเพียรของนางอยู่ตรงนั้น ทำให้ผู้บำเพ็ญสตรีเหล่านี้แค่แอบใช้สายตาทิ่มแทงนาง
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีบางคนถึงกับสงสัยว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่ผู้นี้เป็นคู่บำเพ็ญของเหรินเซวียนจือ นั่นเป็นภรรยาเอกนะ ถ้าล่วงเกินนางอาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ไม่ได้
จินเฟยเหยาตั้งใจคิดจะอธิบายว่าตนเองกับเจ้าบ้ากามไม่ได้เป็นอะไรกันเลยสักนิด แต่ถ้าพูดออกมา มิใช่ยิ่งกินปูนร้อนท้องหรือ ขณะกำลังครุ่นคิดว่าถ้าแผ่อานุภาพกดดันเล็กน้อยจะทำให้พวกนางหลับตาทันทีหรือไม่
“จิน…จินเฟยเหยา?” ในกลุ่มคนพลันมีเสียงเล็กๆ ดังมา ทำให้นางสลายพลังทันที คิดไม่ถึงว่าจะมีคนรู้จัก?
“ใครน่ะ?” จินเฟยเหยาจำไม่ได้จริงๆ ว่าตนเองยังรู้จักสตรีคนใดอีก คงไม่ใช่จินเฟยเยี่ยนหรอกนะ ถ้าเป็นนางจริงๆ จะให้เหรินเซวียนจือดึงดูดพลังหยินของนางให้หมดทันที เป็นเงื่อนไขที่ตนเองรับปากไปยั่วยวนเจ้าเมืองลั่วรื่อ
สตรีเยอะเกินไปจริงๆ เนิ่นนานจึงเห็นมีคนเบียดจากด้านหลังมาด้านหน้า จินเฟยเหยานิ่งอึ้ง คนผู้นี้…คือใครกัน?
“สหายเซียนจิน ไม่ถูกสิ ตอนนี้ข้าสวมควรเรียกเจ้าว่าผู้อาวุโส จากกันคราหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งร้อยกว่าปี คิดไม่ถึงว่ายังมีวาสนาได้พบกันอีก” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่เดินออกมาเพิ่งมีพลังขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ดูแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง
พินิจดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง จินเฟยเหยาจึงกระพริบตาเอ่ยถามว่า “ข้านึกไม่ออกว่าเจ้าเป็นใคร?”
สตรีผู้นั้นตะลึงงัน ทว่ากลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติยิ่ง จึงถอนใจเบาๆ พลางเอ่ยว่า “วันนั้นต้องขอบคุณที่เจ้าให้ยาตานเม็ดนั้นกับข้า ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่แล้ว ทว่าข้ากลับเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลายที่ไร้ประโยชน์ เจ้าจำข้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”
“ยาตาน?” พอพูดแบบนี้ จินเฟยเหยาจึงค้นหาในความดีอันน้อยนิดจนน่าสงสารที่ตนเองเคยทำทันที นางทำความดีไม่กี่เรื่อง อีกทั้งปกติยังยากจนสุดๆ เรื่องมอบยาให้คนอื่นฟรีๆ นางจะจำไม่ได้ได้อย่างไร
สิ้นเสียงของตนเอง นางก็นึกออกทันที ดังนั้นจึงชี้คนผู้นี้แล้วตะโกนว่า “หลิ่วฉี่ปอ!”
……………………………….
[1] ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน หมายถึง พอถึงจุดหมายแล้วก็ถีบหัวส่งคนที่เคยช่วยเหลือทิ้ง
[2] ฉีหลิน คือ กิเลน
[3] โห่ว ชื่อสัตว์ในตำนานเทพ กินคน เป็นดาวข่มของมังกร มีนิสัยชอบเฝ้ามอง