คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 287 วิญญูชนอันเที่ยงธรรม
เหรินเซวียนจือกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ นั่งอย่างอ่อนล้าอยู่บนพื้นทรายและเอ่ยวาจากับจินเฟยเหยา “ในเมื่อสู้เสมอกัน พวกเราสองคนมาพูดคุยกันดีๆ เถอะ เรื่องก่อนหน้านี้เป็นการเข้าใจผิด”
“คุยอะไร?” จินเฟยเหยาถอนหายใจยาวพลางเอ่ยถาม
“รบกวนเจ้าเปลี่ยนกลับเป็นร่างมนุษย์ก่อนได้หรือไม่? พอเจ้าพูดก็มีไอร้อนพุ่งออกมา เดิมทีที่นี่ก็ร้อนอยู่แล้ว” เหรินเซวียนจือยืนขึ้นและเดินมาข้างดวงตาของจินเฟยเหยา มองหัวอันใหญ่โตของนาง
ยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ ทั้งยังยืนอยู่ต่อหน้าต่อตา จินเฟยเหยาไม่อยากมองเขาเปลือยกายก็ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงพ่นลมหายใจร้อนผ่าวแล้วเอ่ย “เจ้าสวมเสื้อผ้าก่อนเถอะ ยังนำของแบบนี้มาโอ้อวด ข้าเคยเห็นที่ใหญ่กว่าของเจ้ามาเยอะ”
เหรินเซวียนจือนิ่งอึ้งจากนั้นยิ้มแย้มทันที “เด็กน้อยอย่างเจ้ามาพูดเรื่องเคยเห็นอะไร เห็นแก่ที่เป็นพวกเดียวกัน จะให้ข้าสอนเจ้าหรือไม่”
“ไปตายเสียเถอะ!” จินเฟยเหยาใช้อุ้งเท้าตบลงไป เหรินเซวียนจือหายวับไปปรากฏบนผิวทะเลสาบที่ถูกพวกเขาสองคนทุบออกมา หันหลังให้จินเฟยเหยารวบเส้นผมขึ้น “เจ้าอารมณ์ขนาดนี้ต่อไปจะแต่งไม่ออกนะ”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปเอ่ยกับกลางอากาศ “นำถุงเฉียนคุนของข้ามา”
มีเสียงดังฟุ่บ เด็กหญิงมีปีกขนาดเท่าฝ่ามือมุดออกมาจากใต้กองทราย บนร่างนางไร้อาภรณ์ กลับมีแสงเจ็ดสีโอบล้อมส่องประกายวิบวับ หิ้วถุงเฉียนคุนบินมาข้างกายเหรินเซวียนจือ
จากนั้นได้ยินนางใช้น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยว่า “ใต้เท้า ครั้งหน้าท่านอย่าทำเรื่องเช่นนี้อีกเลย นี่เป็นสิ่งไม่ดี”
“เสี่ยวเตี๋ย ข้าต้องกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังสูงส่งจึงเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมาก ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ยินยอมสละตนเองเพื่อความปรารถนานี้ นางตามข้ามาจนถึงที่นี่ เจ้าก็เห็นด้วยตาตนเอง ข้าไม่อยากใช้วิธีนี้เพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรเลยสักนิด แต่นางมีความปรารถนาเช่นนี้ ข้าจะปฏิเสธนางได้อย่างไร ข้าช่างเป็นคนบาปจริงๆ” เหรินเซวียนจือหลุบตาลง เงาหลังแลดูอ้างว้างยิ่ง
“ใต้เท้า ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่สมควรว่าท่านแบบนี้ สตรีพวกนี้น่าชังยิ่ง ทำให้ใต้เท้าต้องลำบากแล้ว” คนตัวเล็กๆ ขยับปีกกระพริบแสง เอ่ยกับเหรินเซวียนจืออย่างอ่อนโยน
จินเฟยเหยามองสัตว์ภูติตัวนี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ นี่คือตัวอะไร ลักษณะแปลกประหลาด อีกทั้งสิ่งที่เหรินเซวียนจือพูดเมื่อครู่เป็นคำโกหกทั้งหมด เนื่องจากจอมปลอมเกินไป กลับทำให้คนสงสัยว่านี่ไม่ใช่ความจริง
มองเหรินเซวียนจือหันหลังให้นางแล้วอาบน้ำสวมเสื้อผ้า คนตัวเล็กๆ ช่วยเขาเกล้าผมสวมก้วน จินเฟยเหยาก็รีบคืนสู่ร่างมนุษย์ทันที
นางทำให้ตนเองหดเล็กลงก่อนค่อยกลายเป็นไฟนรก ถึงแม้จะไม่รู้สึกอะไร แต่สวมเสื้อผ้าต่อหน้าคนบ้ากามก็ไม่ดีนัก จากนั้นนางนำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ในถุงเฉียนคุนซึ่งถูกไฟนรกห่อหุ้มออกมาสวม จินเฟยเหยายังเกล้าผมไม่เสร็จ ก็เห็นเหรินเซวียนจือสวมก้วนเสร็จยืนอยู่บนทะเลสาบแล้ว
ถอนไฟนรกรอบกายออก จินเฟยเหยามัดผมตามสบาย มองเหรินเซวียนจืออย่างตกตะลึงพลางเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหน้าตาเหมือนมนุษย์แต่การกระทำกลับเหมือนสุนัข เหนือความคาดหมายของข้าโดยสิ้นเชิง”
เหรินเซวียนจือบนผิวทะเลสาบ สวมชุดนักพรตสีเขียวทีมีสีอ่อนเข้มแตกต่างกัน บนศีรษะสวมก้วนสีเขียวเข้มออกดำ ใบหน้าขาวดุจหิมะ ริมฝีปากแดงชุ่มชื้นเป็นประกาย ในดวงตาที่ชี้ขึ้นนิดๆ มีความอ่อนโยนเล็กน้อย บนเอวแขวนกระบี่บินเล่มหนึ่ง แลดูเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีบุคลิกของสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นสำนักอันเที่ยงธรรมจนมิอาจเที่ยงธรรมไปกว่านี้ได้อีก
ชุดนักพรต? เพราะเหตุใดเจ้าหมอนี่จึงสวมชุดนักพรต!
“เพราะเหตุใดสหายเซียนจินจึงมีสีหน้าเช่นนี้ หรือว่าชุดที่ข้าสวมมีอะไรไม่ถูกต้อง?” เหรินเซวียนจือราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เอ่ยถามอย่างสง่างาม
จินเฟยเหยามองเขาอย่างพูดไม่ออก ภาพลักษณ์ของเหรินเซวียนจือในตอนนี้กับเรื่องที่กระทำเมื่อครู่เป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง หรือว่าเจ้าคนที่ดึงหยินเสริมหยางจะซ่อนตัวอยู่? นางชี้เหรินเซวียนจือแล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมเจ้าจึงสวมชุดนักพรต? แสร้งทำเหมือนสำนักอันเที่ยงธรรมเกินไปแล้ว”
มือซ้ายของเหรินเซวียนจือจับกระบี่บนเอว มือขวายกขึ้นอย่างสง่างามแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือซั่นอวี่เจินเหรินแห่งสำนักหมิงเยวี่ยในโลกวิญญาณซั่งเยี่ย สิ่งที่พวกเราฝึกคือวิถีเซียน ไม่สวมชุดนักพรตแล้วจะสวมอะไร”
“เจ้าน่าจะหนีออกมาจากสำนักสินะ สวมแบบนี้ไม่กลัวว่าจะถูกคนพบเห็นร่องรอยหรือ?” ฟังดูเหมือนเป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงของโลกวิญญาณอื่น จินเฟยเหยาจึงรู้แจ้ง มิน่าเล่าบุคลิกจึงเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรมเหมือนพวกที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงๆ ของสำนักตงอวี้หวง
เที่ยงธรรม? คิดไม่ถึงว่าข้าจะรู้สึกถึงความเที่ยงธรรมได้จากตัวเจ้าหมอนี่ สวรรค์ช่างเล่นตลกจริงๆ…
“ทำไมต้องหนีออกมา” เหรินเซวียนจือเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ข้าออกมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์พอดีได้ยินว่าโลกวิญญาณเป่ยเฉินมีเทาเที่ย ทั้งยังเป็นสตรี ดังนั้นจึงคิดจะมาดูสักหน่อย?”
“ท่องเที่ยวหาประสบการณ์?”
“อืม ภายในร่างของข้ามีร่างแยกของฉยงฉี จะอยู่เจี๋ยตันเจี๋ยหยวนอิงในสำนักได้อย่างไร ย่อมต้องออกมาข้างนอก คำนวณดูข้าไม่ได้กลับไปเกือบห้าร้อยปีแล้ว อยู่โลกวิญญาณหนานเฟิงอย่างสุขสบายเกินไปหน่อย ยังตัดใจจากไปไม่ได้ชั่วคราว” เหรินเซวียนจือเอ่ยยิ้มๆ
“คนโกหก!” จินเฟยเหยาชี้หน้าด่าทอเขา “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าได้ยินว่าที่นี่มีเทาเที่ยจึงมาชัดๆ ตอนนี้กลับบอกว่าอยู่โลกวิญญาณหนานเฟิงอย่างสุขสบายเกินไปหน่อย ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว”
“เอ๋? เสี่ยวเตี๋ย ข้าเคยพูดเช่นนั้นหรือ?” เหรินเซวียนจือหันหน้าไปถามคนตัวเล็กๆ ที่บินอยู่ด้านข้าง
เสี่ยวเตี๋ยพยักหน้ายืนยันคำพูดของจินเฟยเหยา ดังนั้นเหรินเซวียนจือจึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ “ข้าไม่ได้พูดผิด ข้าอยู่ที่โลกวิญญาณหนานเฟิงได้ยินว่าโลกวิญญาณเป่ยเฉินปรากฏเทาเที่ย ดังนั้นจึงคิดจะไปดูสักหน่อย เจ้าดูสิ ข้ากำลังอยู่ระหว่างทางไปหาเจ้า บังเอิญพบผู้บำเพ็ญซียนสตรีคนนี้บังคับให้ข้ามีความสัมพันธ์ด้วย”
“โลกวิญญาณหนานเฟิงและโลกวิญญาณเป่ยเฉินอยู่ในสถานที่เดียวกันชัดๆ เพียงแต่สิ่งแวดล้อมที่นี่แย่ไปหน่อยเท่านั้น พอเห็นสตรีผู้นี้ก็รู้ว่าถูกเจ้าหลอกมาจากโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นสร้างฐานของสำนักอันเที่ยงธรรมคนหนึ่งจะแล่นมาหาที่ตายยังดินแดนโลกวิญญาณหนานเฟิงหรือ” จินเฟยเหยาคำรามใส่เขา เจ้าหมอนี่พูดจาเหลวไหลเก่งจริงๆ บวกกับใบหน้าของเขาจึงดูเหมือนเป็นความจริง ทำให้จินเฟยเหยาอดคิดจะด่าทอเขาไม่ได้
แต่เหรินเซวียนจือกลับไม่ตอบ แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอ่ยถามว่า “สหายเซียนจิน เห็นเจ้าเร่งรุดเดินทาง ทั้งยังเสียเวลาชมละครอยู่ด้านข้างเป็นเวลานานเพื่อถามทาง เจ้าน่าจะหนีออกมาสินะ”
“เหลวไหล เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ข้าไม่เชื่อที่เจ้าบอกว่าออกมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์หรอก ถ้าคนอย่างเจ้าอยู่ในสำนักอันเที่ยงธรรม คงนำศิษย์พี่ศิษย์น้องมาเสริมพลังหมดแล้ว แม้แต่อาจารย์ป้าก็อาจจะไม่ละเว้น สำนักใดจะรับเจ้าไว้ได้ ไม่จัดการชำระสำนักก็นับว่าดีแล้ว” ตอนนี้จินเฟยเหยามั่นใจอย่างยิ่ง คำพูดของเหรินเซวียนจือเชื่อถือไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว สิ่งที่พูดมาทั้งหมดล้วนเป็นคำโกหก อย่าถูกเปลือกนอกของเขาหลอกเอาเด็ดขาด
เหรินเซวียนจือส่ายศีรษะทอดถอนใจเบาๆ “กระต่ายจะกินหญ้าข้างรังได้อย่างไร ข้าจะลงมือกับคนในสำนักตนเองได้อย่างไร คาดว่าเรื่องกินคนในสำนักตนเองจนเกลี้ยง ในฐานะที่เป็นเทาเที่ยสหายเซียนจินคงไม่กระทำ”
จินเฟยเหยารู้สึกใบหน้าร้อนซู่ ดูเหมือนตนเองเคยทำเรื่องเช่นนี้ กินหญ้าข้างรังจนถูกคนไล่ไปโลกระดับเทพ ตอนนี้ครุ่นคิดดูอย่างละเอียด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องโง่เขลาจริงๆ
“ถ้าสหายเซียนจินไม่มีที่ไป ไปเมืองจุ้ยเทียนซึ่งเป็นหนึ่งในสามเมืองใหญ่ของโลกหนานเฟิงชั่วคราวก่อน คนที่นั่นล้วนฝึกวิชาชั่วร้าย คาดว่าฐานะอย่างสหายเซียนจินคงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจุ้ยเทียนได้ไม่เลว” เหรินเซวียนจือเดินจากบนผิวน้ำขึ้นฝั่ง เงยหน้าขึ้นมองทะเลสาบผืนนี้แล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ “ผ่านไปอีกหลายปี ที่นี่จะเป็นโอเอซิสที่ใหญ่กว่านี้ มีน้ำและพื้นที่สีเขียวให้คนจำนวนมาก”
จะเชื่อสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นเบื้องหน้าไม่ได้เป็นอันขาด เจ้าหมอนี่เป็นคนชั่ว อย่าติดกับเด็ดขาด จินเฟยเหยาสูดลมหายใจลึกๆ ไม่อยากมองท่าทางจริงจังและสูงส่งของเจ้าหมอนี่ตรงๆ
“เสี่ยวเตี๋ย พวกเราก็สวมควรกลับไปแล้ว ไม่ได้กินผลลั่วหม่าผลผลิตท้องถิ่นของเมืองจุ้ยเทียนมานาน แค่คิดถึงรสชาติก็ทำให้คนน้ำลายไหล” เหรินเซวียนจือไม่ได้พูดกับจินเฟยเหยาต่อ ทว่าพูดกับเสี่ยวเตี๋ยแทน
เสี่ยวเตี๋ยบินวนหลายรอบอย่างดีอกดีใจพลางเอ่ยว่า “นายท่านพูดได้ถูกต้อง เสี่ยวเตี๋ยออกมานานมากอยากจะกลับไปเช่นกัน ข้าเกือบจะลืมรสชาติของปิ่งย่างสมุนไพรแล้ว กลับไปข้าต้องกินสองชิ้น ไม่ ข้าจะกินสามชิ้น”
จินเฟยเหยายืนมองสองคนนี้พูดคุยกันอย่างเบิกบานอยู่ด้านข้าง คนหนึ่งมีท่าทางเที่ยงธรรม อีกคนก็ใสซื่อน่ารัก ตัวเล็กมีเสน่ห์ เป็นการรวมทีมลักพาตัวสตรีหลอกเด็กที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เมืองจุ้ยเทียน…จินเฟยเหยาลังเล นางเคยได้ยินชื่อสถานที่นี้ ซื่อเต้าจิงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเป็นหนึ่งในสามเมืองใหญ่ของพวกชั่วร้าย เดิมทีนางคิดจะไปดูสักหน่อย ได้ยินว่ามีผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายที่ซื้อวิญญาณจำนวนมาก จินเฟยเหยาคิดจะใช้วิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนแลกเปลี่ยนกับสิ่งของฝึกบำเพ็ญบางอย่าง หลังขั้นกำเนิดใหม่นางไม่ค่อยมีอารมณ์อยากกินคนมากนัก รู้สึกว่าเริ่มกินยาดีกว่า
เพียงแต่ในมือของจินเฟยเหยาไม่มีหญ้าวิญญาณ อยากจะหลอมยาก็ทำไม่ได้ อีกทั้งยังต้องซื้อสิ่งของที่ใช้วาดยันต์เพิ่ม พูดไปพูดมาอย่างไรก็ต้องไปสักครา
อีกทั้งจินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาสองคน ผลลั่วหม่าและปิ่งย่างสมุนไพรคือสิ่งใด เลิศรสถึงปานนั้นจริงๆ หรือ?
“ในเมื่อพวกเจ้าเชิญข้าไป เช่นนั้นข้าก็จะฝืนใจไปสักครั้ง ขอบอกเจ้าไว้ก่อน อย่าคิดจะหลอกข้าไปสถานที่ใดๆ ถ้าข้าพบว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง ข้าจะกินพวกเจ้าสองคนทันที” จินเฟยเหยาเชิดหน้าขึ้นเอ่ยอย่างดุร้าย
เหรินเซวียนจือแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ถึงแล้วเจ้าก็จะรู้เองว่าข้าหลอกเจ้าหรือไม่”
ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดพักอยู่ริมทะเลสาบครู่หนึ่ง รอจนพลังวิญญาณในร่างกลับคืนมา จินเฟยเหยาก็เหยียบพรมบินเหาะติดตามเหรินเซวียนจือไปเมืองจุ้ยเทียน
เหรินเซวียนจือรู้สึกสนใจพรมบินของจินเฟยเหยาจึงจ้องมองพรมบินอยู่นาน จินเฟยเหยานึกว่าเขารู้สึกว่าเหยียบกระบี่บินเหาะเหินเหน็ดเหนื่อยเกินไปจึงคิดจะขออาศัยนั่ง
คิดไม่ถึงเหรินเซวียนจือกลับชมเชยว่า “ของวิเศษบินได้ชิ้นนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าทำเรื่องอย่างว่าบนนั้น การเดินทางก็ไม่ล่าช้า และยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบ ทำไมข้าจึงไม่คิดถึงสิ่งนี้ตั้งแต่แรกนะ หลังกลับไปต้องหลอมสร้างชิ้นหนึ่ง เพียงแต่สหายเซียนจิน ถึงเจ้าวางหมอนอิงไว้ แต่เกรงว่าร่มเล็กๆ นี้คงบดบังสายตาของผู้อื่นไม่ได้ หรือว่าเจ้ามีงานอดิเรกชอบถูกคนมอง?”
“ไสหัวไปเลย ปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกเงย[1] เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระอะไร ไปไกลๆ หน่อย ห้ามเข้าใกล้ข้าภายในรัศมีสามจั้ง!” จินเฟยเหยาด่าทอเขา เจ้าหมอนี่เป็นคนบ้ากามจริงๆ ลักษณะภายนอกล้วนแสร้งทำขึ้น บ้าราคะเกินไปจริงๆ!
……………………………………………..
[1] ปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกเงย หมายถึง ปากของคนชั่วก็พูดแต่เรื่องชั่วช้า พูดเรื่องดีไม่ได้