คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 286 กิ่งทองใบหยก
ระหว่างที่พูด ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษขั้นกำเนิดใหม่ด้านล่างที่ไม่ได้สวมอะไรเลยหายวับไปจากที่เดิม จินเฟยเหยากระพริบตา ด้านหลังศีรษะมีลมแรงพัดมา นางรีบหลบไปด้านข้าง ก็เห็นคมวายุสายหนึ่งเฉียดผ่านหนังศีรษะออกไป สองอึดใจต่อมา เนินทรายที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งส่งเสียงดังตูม ถูกคมวายุสายนั้นโจมตีกระจายสูงร้อยจั้ง
จินเฟยเหยาอ้าปากคายทงเทียนหรูอี้และเปลี่ยนให้กลายเป็นโล่ โล่ค่อยๆ โอบล้อมรอบด้าน ค้นหาร่องรอยของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น
บรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่แล้ว แค่กระบวนท่าสังหารธรรมดาก็มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ทว่าคมวายุอันนี้กลับเหนือล้ำกว่าอานุภาพการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าการเผชิญศัตรูครั้งแรกหลังการบรรลุขั้นกำเนิดใหม่จะเจอกระดูกแข็ง
จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าจะชมว่าตนเองโชคดีหรือบอกว่าตนเองโชคร้าย ถึงอย่างไรคิดจะจากไปในเวลานี้ก็สายเสียแล้ว
ฟุ่บ! ด้านซ้ายพลันมีเงาตกค้างสายหนึ่งวาบขึ้น คมวายุสายหนึ่งโจมตีมาอีก จินเฟยเหยารีบให้โล่ทงเทียนหรูอี้ต้านทานไว้ ด้านหลังพลันปรากฏลมแรง นางยังไม่ทันหันหน้ามาก็ถูกบางอย่างโจมตีจนพุ่งลงในสันทรายและกลิ้งออกไปไกล
“ถุย” จินเฟยเหยาปีนขึ้นมาจากในกองทราย ถ่มทรายเต็มปากทิ้งแล้วมองไปรอบด้านอีกครั้ง
นางจับเงาตกค้างบางอย่างได้ ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษคนนั้นซ่อนตัว ทว่าระดับความเร็วของเขารวดเร็วเกินไป แม้แต่สายตาของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ก็ตามระดับความเร็วของเขาไม่ทัน จับตัวไม่ได้ก็ไม่มีทางโจมตีเขา
“ทะเลเพลิงนรก” จินเฟยเหยาย่อกายลงยื่นมือไปตบบนพื้น เงาดำสายหนึ่งเริ่มปรากฏออกมาจากใต้เท้าของนาง และขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นเงาดำรูปวงกลมกว้างสิบจั้ง ส่วนนางยืนอยู่ตรงกลางเงาดำ ทั่วร่างมีไฟนรกสีดำปะทุออกมา
บางครั้งผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษกลายเป็นเงาตกค้างสายหนึ่งกลางอากาศ ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็ชี้ไปยังบางแห่งในเงาดำ “จับเจ้าได้แล้ว”
ในเงาดำพลันมีมือสีดำสนิทหลายข้างยื่นออกมาฉุดดึงบางสิ่งไว้ ร่างส่ายไหว ผู้บำเพ็ญเซียนที่จนถึงตอนนี้ยังไม่คิดจะสวมเสื้อผ้าปรากฏร่างขึ้นในเงาดำ
เขาก้มหน้าลงมองมือสีดำหกข้างที่จับขาตนเองไว้ เอ่ยอย่างจับผิด “นี่คงไม่ใช่มือของเจ้ากระมัง ถ้าคิดจะลูบคลำ ระดับความสูงแค่นี้ยังไม่เพียงพอ”
“ฮึ เก็บ” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก ก็เห็นมือสีดำทะลุผ่านเนื้อหนังของเขาตรงเข้าไปภายในร่าง
ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษมีสีหน้าเคร่งขรึม เห็นสิ่งของสีเหลืองเป็นประกายสายหนึ่งถูกลากออกมาจากในเท้า เขาใช้มือขวาวางบนทรวงอกด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทำเป็นมุทรา “กลายเป็นสายลม”
ฟุ่บ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ในเงามือสีดำคนนี้กลายเป็นสายลมแล้วหายไปต่อหน้าจินเฟยเหยาอีกครั้ง
“คิดจะลากหยวนอิงของข้าออกมา มีความกล้าไม่เบา ข้ายิ่งรู้สึกสนใจเจ้ามากขึ้นทุกที ถ้าดูดซับเจ้า พลังการบำเพ็ญเพียรของข้าน่าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย” น้ำเสียงของเขาเดือดดาลและแฝงด้วยความยินดีดังมาจากรอบด้าน ราวกับสายลม ทำให้จินเฟยเหยาแยกแยะไม่ได้ว่าตัวเขาอยู่ที่ใด
“หมื่นคมวายุ!” กลางอากาศมีเสียงตวาดหนักๆ ดังมา คิดไม่ถึงว่าลมจะพัดมาจากรอบด้านและรวมตัวกันกลายเป็นพายุหมุนตรงจินเฟยเหยา ลมแต่ละสายใยคือคมวายุอันคมกริบ หมุนวนตรงจินเฟยเหยาคิดจะฉีกกระชากร่างนางออก
ไฟนรกทั่วร่างของจินเฟยเหยาปะทุ สะเก็ดไฟกระเด็นออกจากหมื่นคมวายุ สะเก็ดไฟขนาดเท่าเล็บมือร่วงลงบนพื้นแล้วกลายร่างเป็นมนุษย์ในพริบตา
“เจ้ากลายร่างเป็นวายุได้ ข้าก็กลายร่างเป็นเปลวเพลิงได้ ท่าทางพวกเราสองคนคงจะทำร้ายกันไม่ได้ มีของวิเศษอะไรก็นำออกมาดู ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อย” เห็นแบบนี้คงไม่มีทางอื่น จินเฟยเหยาคิดจะบีบให้เขาเผยร่างออกมา จากนั้นฉวยโอกาสขณะที่เขายังไม่ได้กลายเป็นสายลมใช้กำปั้นของตนเองที่หลอมเป็นของวิเศษชั้นกลางอัดหน้าเขาให้ยับ
“กลายร่างเป็นเปลวเพลิงได้ เช่นนั้นข้าจะดับเปลวเพลิงของเจ้า”
รอบด้านมีเสียงผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง จินเฟยเหยารู้สึกตาพร่า เงาตกค้างสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นางเอนศีรษะไปด้านหลังยังหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ไม่สมบูรณ์ก็รู้สึกว่าใบหน้าเจ็บปวด นางถูกต่อยลอยออกไปอีกครั้ง
จินเฟยเหยาถูกต่อยออกจากขอบเขตเงาดำ ทะเลเพลิงนรกหายไป นางลูบใบหน้าของตนเอง มีโลหิตสดเต็มมือ
“เจ้ากล้าต่อยใบหน้าของข้าบาดเจ็บ!” จินเฟยเหยาเดือดดาล ถึงแม้บาดแผลแบบนี้หลังจากใช้พลังวิญญาณและยารักษาหายดีจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นใดๆ ไว้ แต่อย่างไรนางก็เป็นสตรี เห็นใบหน้าของตนเองถูกต่อยเป็นแผลจึงมีโทสะ
ฟุ่บ หลังจากจินเฟยเหยากลายร่างเป็นไฟนรกก็ฉีกเสื้อผ้าของตนเอง
ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษคนนั้นเห็นฉากนี้ก็เอ่ยล้อเลียน “เจ้าหาร่างจริงของข้าไม่พบจึงถอดเสื้อผ้าคิดจะยั่วยวน? ก่อนหน้านี้กระบวนท่านี้ยังใช้ได้ผลนิดหน่อย ใช้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
“โฮก!” มีเสียงคำรามดังมาจากในไฟนรก ไฟนรกพุ่งพรวดขึ้นฟ้า เทาเที่ยสูงห้าสิบจั้งตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนผืนทราย
เทาเที่ยที่ไม่มีเขาอ้าปากกว้างคำราม ดูแล้วน่าขำอยู่บ้าง ที่จริงเขางอกออกมาแล้ว เพียงแต่งอกปีละไม่ถึงครึ่งชุ่น เวลานี้เปลี่ยนร่างให้ใหญ่ขนาดนี้ จึงมองไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ใดใต้ขนยาว
“เจ้าหนู มาเป็นของหวานให้ข้าเถอะ” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ ใช้อุ้งเท้าตบบนโอเอซิส โอเอซิสถูกนางตบทีเดียวจมลึกลงในทรายสิบกว่าจั้ง พริบตาก็ถูกทรายกลบฝังหมด
“เทาเที่ย? เจ้าน่าจะเป็นเทาเที่ยสินะ” ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษที่ไม่เห็นร่องรอยพลันเอ่ยถามอย่างลังเล
“ทำไม ตอนนี้กลัวแล้ว? แต่ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ถึงเจ้าร้องจนคอแตกข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป!” หางของจินเฟยเหยากวาดไปรอบด้าน ตบทรายพุ่งขึ้นสูงหลายสิบจั้ง คำรามทีหนึ่งก็พัดทรายฟุ้งราวกับละอองธุลี
“แต่งงานกับข้าเถอะ!” พลันมีเสียงผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษคนนั้นดังมาจากในทรายอย่างยินดี
“หา? หืม?” จินเฟยเหยางุนงง
“ในโลกนี้ไม่มีใครเหมาะสมกันมากเท่าเราสองคนอีกแล้ว ข้ามาจากโลกวิญญาณไท่สือเพื่อตามหาเจ้าโดยเฉพาะ” ในฝุ่นทรายปรากฏเงาร่างสูงห้าสิบกว่าจั้งเช่นเดียวกัน ทว่าปะปนอยู่ในฝุ่นทรายจนมองเห็นไม่ชัดเจน ในเวลานี้ ฝุ่นทรายพลันแยกออกเองและรวมเป็นพายุหมุนทีละลูก ส่วนในพายุหมุนปรากฏสัตว์ปิศาจที่มีร่างพยัคฆ์และปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่ง
เห็นสัตว์ปิศาจตัวนี้เอ่ยคำพูดงงๆ ออกมาโดยไม่ละอาย จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถามโดยไม่ไว้หน้า “เจ้าเป็นใคร!”
“ฉยงฉี เหรินเซวียนจือ” เสือมีปีกขนาดใหญ่เอ่ยปาก
“ไปตายเสียเถอะ!” จินเฟยเหยาพุ่งเข้าใส่ ชูกรงเล็บขึ้นตบหัวของเขาอย่างแรง จินเฟยเหยาตบไปกรงเล็บหนึ่งอย่างกะทันหัน
ตบเหรินเซวียนจือคว่ำลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง ฉวยโอกาสที่เขายังไม่ได้กลายร่างเป็นสายลมหลบหนีไป จินเฟยเหยาพุ่งขึ้นไปตบท้องเขาอีกหลายครั้ง ตบจนขนปีกปลิวว่อนทั่วท้องนภา สุดท้ายยังกดร่างของเขาไว้ อ้าปากกว้างงับขาขนาดใหญ่ของฉยงฉี
“โฮก!” ให้เทาเที่ยกัดคำหนึ่งหนักหนาสาหัสยิ่ง เจ็บปวดจนเหรินเซวียนจือร้องคำรามออกมาทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังกร๊อบ กระดูกขาของเขาถูกจินเฟยเหยากัดหัก
ปีกข้างหนึ่งของเหรินเซวียนจือหายวับไปจากในปากจินเฟยเหยา จากนั้นกลางอากาศมีเสียงด่าทออย่างเดือดดาลของเขาดังมา “เจ้าตัวกินจุ พวกเราเป็นพวกเดียวกันนะ! ข้าตามหาเจ้ามานาน เจ้าทำกับข้าแบบนี้หรือ?”
“ถุย” จินเฟยเหยาถุยขนเสือเต็มปากทางด้านข้างแล้วเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าคิดจะสังหารข้าก่อน และยังทำให้ใบหน้าของข้าบาดเจ็บ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นฉยงฉีหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ใครบอกว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า ข้าไม่ใช่คนโง่ที่จะเป็นของบำรุงให้เจ้า”
เหรินเซวียนจือสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ลดเสียงลงเอ่ยว่า “เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่แบบนั้น สตรีคนนั้นคิดจะดึงพลังหยางเสริมพลังหยิน แต่ข้ามีร่างฉยงฉี นางย่อมรับการเสริมพลังมากขนาดนี้ไม่ไหวจึงกลายเป็นเช่นนั้น ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”
“เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นสร้างฐานคิดจะใช้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อย่างเจ้ามาเสริมพลัง? อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่สนใจเจ้า เจ้าอย่าคิดจะหลอกข้าเลย รีบออกมานะ พวกเรายังไม่ได้คิดบัญชีกันให้กระจ่าง!” จินเฟยเหยาไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไร พวกเดียวกันอะไร ตัวพรรค์นี้นับเป็นอย่างไรได้!
นิสัยของเทาเที่ยหยาบเถื่อนอย่างยิ่งจริงๆ แม้อยู่ในร่างของสตรีก็ยังมีนิสัยนี้ ข้าเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด ดื้อรั้น หลอกยาก ถ้าไม่ถูกนางเห็นตอนข้าดึงพลังหยินก็ดีสิ ตอนนี้สำนึกเสียใจก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องสำคัญคือทำอย่างไรจึงทำให้นางคลายโทสะได้ เหรินเซวียนจือเดินวนรอบจินเฟยเหยาพลางคิดวิธีรับมือ
ตัวเขาเองรู้สึกว่าเดินอย่างช้าๆ ทว่าในสายตาของผู้อื่น เขารวดเร็วจนไม่มีแม้แต่เงาตกค้าง
จินเฟยเหยาคิดจะอาศัยประสาทรับกลิ่นและการได้ยินของเทาเที่ยตรวจสอบร่องรอยของเหรินเซวียนจือ แต่จะจับลงมาความเคลื่อนไหวก็ช้าเกินไป ท่าทางฉยงฉีที่เป็นหนึ่งในสี่สัตว์ร้ายก็มิใช่ชนชั้นธรรมดา ระดับความเร็วรวดเร็วเกินไปจริงๆ
จินเฟยเหยามีโทสะในใจ อ้าปากคำรามเสียงดังใส่รอบด้าน เสียงคำรามนี้ไม่ใช่เสียงคำรามธรรมดา คลื่นการโจมตีพุ่งออกมาจากปากของจินเฟยเหยา แม้แต่อากาศก็กระเพื่อมไหว ดังออกไปไกลหลายร้อยจั้ง เนินทรายอันเงียบสงบถูกคลื่นการโจมตีในเสียงคำรามของนางทำให้เกิดพายุทรายกวาดไปรอบด้าน ทิวทัศน์ทะเลทรายโดยรอบเปลี่ยนไปทันที
“คำรามสุ่มสี่สุ่มห้าทำไม! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดูสิว่าเทาเที่ยกับฉยงฉีใครจะร้ายกาจกว่ากัน!” เหรินเซวียนจือพลันปรากฏร่าง มองเห็นรางๆ ว่าหูของเขามีโลหิตสดไหลลงมา
เสียงคำรามของจินเฟยเหยาสั่นสะเทือนจนทำให้หูของเขาบาดเจ็บ ถ้ายังให้นางคำรามต่อไปหูไม่หนวกสิแปลก เหรินเซวียนจือตัดสินใจออกมาสู้กับจินเฟยเหยาสักยก สำหรับคนหยาบแบบนี้มีเพียงหลังจากต่อสู้กันจึงเปิดอกพูดคุยกับนางได้ง่ายๆ
ดังนั้นพอปรากฏร่างออกมา เขาจึงยกกรงเล็บแหลมคมฟาดหลังจินเฟยเหยา หนังหนาบนร่างของจินเฟยเหยาถูกเหรินเซวียนจือตบเป็นแผล
จินเฟยเหยาหมุนตัวพุ่งเข้าใส่ ร่างแยกของสัตว์ร้ายแห่งบรรพกาลสองตัวจึงเริ่มต่อสู้กันบนทะเลทรายในโลกวิญญาณหนานเฟิง
ความเคลื่อนไหวใหญ่โตอย่างยิ่ง ต่อสู้กันจนท้องฟ้ามืดมิด ตะวันจันทราอับแสง สุดท้ายก็ต่อสู้กันจนน้ำใต้ดินในทะเลทรายออกมา เดิมเป็นโอเอซิสเล็กๆ แห่งหนึ่งชัดๆ หลังจากถูกจินเฟยเหยาตบจมผืนทราย โอเอเซิสแห่งนี้ก็ถูกพวกนางทุบออกมาเป็นทะเลสาบที่กว้างกว่าเมื่อก่อนสิบกว่าเท่า
การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ได้เปรียบ ถึงแม้พลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาจะด้อยกว่าเหรินเซวียนจือเล็กน้อย แต่โชคดีที่เคยฝึกไฟนรกและเคล็ดวิชาสร้างร่างมาร สุดท้ายพวกเขาใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้นล้มตัวลงบนพื้นทรายในเวลาเดียวกัน สู้ได้เสมอกัน