คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 285 กลางแจ้ง
“พั่งจื่อ เจ้าไม่เสียใจภายหลังจริงๆ?” จินเฟยเหยาเอนอิงบนพรมบิน เอ่ยถามพั่งจื่อที่นั่งอย่างสงบนิ่งอยู่ด้านข้าง
พั่งจื่อเหล่มองนางอย่างดูแคลนแล้วไม่ส่งเสียง ทว่ายังนั่งลืมตาโตอยู่ด้านข้างไม่ขยับเขยื้อนด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ นางคิดไม่ถึงว่าต้านิวจะทิ้งพั่งจื่อที่ชอบที่สุดและยอมจากพั่งจื่อไปเพื่อกบตัวเล็กๆ จำนวนสองร้อยกว่าตัว เมื่ออยู่ต่อหน้าความรักฉันชู้สาวและความรักฉันญาติสนิท สุดท้ายต้านิวก็เลือกข้อหลัง
ทว่าสิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยายิ่งคิดไม่ถึงคือ ตอนแรกนางวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว นึกว่าพั่งจื่อจะรั้งอยู่ ทว่าผลสุดท้ายพั่งจื่อกลับจากไปกับจินเฟยเหยาโดยไม่ลังเล สีหน้าของมันกับต้านิวแน่วแน่อย่างผิดปกติ ไม่มีความอาวรณ์หรือตัดใจไม่ได้เลยสักนิด
ตัวหนึ่งต้องจากตัวผู้มาเป็นแม่กบ อีกตัวหนึ่งต้องจากตัวเมียของตนเองและลูกๆ ร่อนเร่พเนจรต่อไป ต่างมีท่าทางตัดสินใจแน่วแน่ สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาไม่เข้าใจคือพั่งจื่อทำเพื่อหนีจากต้านิวหรือตัดใจจากเจ้านายอย่างตนเองไม่ได้จริงๆ
สำนักเทียนตี้รับปากจะให้ต้านิวอาศัยอยู่ในสำนักเทียนตี้ด้วย มันแก่เกินไป ทำสัญญาโลหิตไม่ได้แล้ว ในสำนักเทียนตี้มีทะเลสาบขนาดไม่ใหญ่นัก ปกติให้บรรดาสัตว์ภูติใช้อาบน้ำ สามารถให้ต้านิวอยู่ที่นั่นได้พอดี
จินเฟยเหยาไม่เข้าใจการกระทำของต้านิวอย่างยิ่ง ตามหลักเหตุผล บรรดากบตัวเล็กๆ ผ่านขั้นตอนการเป็นลูกอ๊อดในเปลือกไข่แล้ว ตอนนี้สามารถอยู่ตัวเดียวได้ ต้านิวต้องการเฝ้าดูพวกมันซึ่งไม่สอดคล้องกับนิสัยของกบ หรือว่าเนื่องจากในท้องยังมีไข่ ดังนั้นความรักของมารดาจึงรุนแรงและไม่อาจตัดใจปล่อยมือจากไท่จื่อโซ่วเล็กๆ ที่พึ่งพาตนเองได้แล้ว?
แต่ลูกกบเหล่านี้ไม่อาจอยู่กับต้านิวไปชั่วชีวิต ถ้าอยู่ในป่า ต่อให้ลูกกบไม่ยอมไป แม่กบก็ต้องไล่ลูกกบไป
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่จินเฟยเหยาต้องครุ่นคิด สำนักเทียนตี้ย่อมมีวิธีจับกบตัวเล็กๆ ไปทำสัญญาโลหิต เรื่องนี้จินเฟยเหยาเคยบอกต้านิวแล้ว เดิมทีคิดจะโน้มน้าวมัน แต่มันกลับแสดงออกว่าถึงแม้ทำสัญญาโลหิต แต่ขอเพียงได้เห็นบรรดาลูกกบทุกเมื่อก็พอ
ในดวงตาของต้านิวเหลือเพียงบรรดาลูกกบ แม้แต่พั่งจื่อก็กลายเป็นเมฆล่องลอย ก็สามารถเข้าใจได้ ถึงอย่างไรสติปัญญาของต้านิวก็สูงกว่าสัตว์ภูติอื่นๆ นิดหน่อย แต่จินเฟยเหยายังรู้สึกว่าการกระทำเหมือนมนุษย์นี้แปลกประหลาดเกินไป หลังรับศิลาวิญญาณและตานสัตว์ปิศาจจากอู๋ปอเสร็จสิ้น ก็ไปจากเทือกเขาอูอวิ๋นกับพั่งจื่อ
ราวกับฝันตื่นหนึ่ง จินเฟยเหยามองพั่งจื่อ รู้สึกว่ากลับคืนสู่ก่อนขั้นสร้างฐานอีกครั้ง นางครุ่นคิดอย่างละเอียดพบว่านิสัยของตนเองกับพั่งจื่อเหมือนกันจริงๆ ตอนนี้รู้สึกว่าสาเหตุที่ต้านิวไม่ไปกับนางมีเพียงข้อนี้ นั่นคือมันกับตนเองเดินกันคนละเส้นทาง
“พั่งจื่อ เจ้ากบไร้หัวใจ” จินเฟยเหยาเงียบงันไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยกับพั่งจื่อ
“เชอะ” ในที่สุดพั่งจื่อก็ส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วมองนางอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง
จินเฟยเหยาหัวเราะ “พั่งจื่อ ก่อนหน้านี้ข้าสนทนากับเจ้าล้วนใช้การคาดเดา แต่กลับไม่เคยเดาผิด ตอนนี้ถึงแม้ร่างจริงของเทาเที่ยจะหายไป แต่ความสามารถในการสนทนากับสัตว์ของข้ายังเหลืออยู่สองสามส่วน ข้าจึงพบว่าการสื่อสารกับเจ้าจะมีความสามารถสองสามส่วนหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ถึงอย่างไรก็เดาไม่ผิด”
“อ๊บๆ”
“สุรา? รอจนถึงเมืองแล้วค่อยซื้อเถอะ ตอนนี้ข้าไม่มีสุราจะให้เจ้าฉลองที่กลับคืนสู่ชีวิตโสดอีกครั้ง” หนึ่งคนหนึ่งสัตว์เลี้ยงต่างเป็นสิ่งที่ไร้หัวใจ พริบตาก็โยนต้านิวและลูกกบฝูงนั้นออกจากสมอง ทั้งยังเตรียมจะไปหาสุราอย่างอารมณ์ดี
พวกนางบินออกจากเทือกเขาอูอวิ๋น ระหว่างทางพบเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง และไม่จู้จี้ว่าเมืองเล็กๆ แบบนี้จะซื้อสุราดีอะไรได้ หลังจากซื้อสุราในเมืองจนเกลี้ยง ก็ดื่มบนพรมบินพลางเหาะไปโลกวิญญาณหนานเฟิง
โลกวิญญาณหนานเฟิงถึงจะมีอักษรหนาน[1] ที่จริงไม่ได้อยู่ทางใต้ของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน มันมีรูปร่างเป็นเส้นยาวราวกับเข็มขัดบางๆ พาดเป็นแถบยาวจากทิศเหนือไปยังทิศตะวันตกอยู่ข้างโลกวิญญาณเป่ยเฉิน
จินเฟยเหยาไม่รู้จักสภาพของโลกวิญญาณหนานเฟิง ในซื่อเต้าจิงนอกจากด่าว่าพวกเขาเลวร้ายแล้ว โดยพื้นฐานก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องอื่นๆ หลังจากนางเข้าไปใกล้โลกวิญญาณหนานเฟิงก็เห็นเมืองระหว่างทางว่างเปล่าไร้ผู้คน สำนักถูกทิ้งให้รกร้างมาตลอดทาง ทั้งหมดเป็นทิวทัศน์หลังจากถูกผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายของโลกวิญญาณหนานเฟิงกวาดล้าง
จินเฟยเหยามองเมืองและสำนักที่ถูกผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเผาทำลาย ก็อดเอ่ยวาจาไม่ได้ “เมืองทั้งหมดถูกทำลายจนกลายเป็นแบบนี้ ซากศพกลับไม่เหลือแม้แต่น้อย ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายนี่จริงๆ เลย วิญญาณก็เก็บไปซากศพก็เก็บไป ไม่รู้ว่าโลกวิญญาณหนานเฟิงจะมีลักษณะเป็นเช่นไร อาจจะมีซากศพแข็งทื่อเกลื่อนพื้น ผู้ฝึกวิญญาณยังสู้สุนัขไม่ได้”
ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเซียนสิบสองคนกลุ่มหนึ่งบินมาแต่ไกล ในนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมหนึ่งคนและขั้นสร้างฐานสิบเอ็ดคน หลังจากพวกเขาเห็นพลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาก็หยุดลงแต่ไกล มีสีหน้าอยากจะหลบหนีทว่าก็ลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าขำ
ดังนั้นนางที่เอนพิงหมอนอิงจึงลุกขึ้นนั่งตวาดใส่พวกเขา “พวกเจ้าเป็นใคร ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายหรือ?”
ผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนั้นถูกตวาดก็ชะงักไป ไม่กล้าเข้ามาคารวะใกล้ๆ จึงคารวะและเอ่ยตอบอยู่ไกลๆ “ตอบผู้อาวุโส พวกเราเป็นศิษย์ที่มาลาดตระเวนแถบชายแดน ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะไปที่ใด?”
“ข้าจะไปโลกวิญญาณหนานเฟิงล่าสังหารผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายคนหนึ่ง ต้องผ่านการเห็นชอบจากพวกเจ้าหรือ?” จินเฟยเหยาเอียงศีรษะเอ่ยยิ้มๆ
“ไม่กล้า พวกเราเพียงถามตามหน้าที่เท่านั้น ผู้อาวุโสยังมีธุระ พวกเราไม่รบกวนแล้ว” คนกลุ่มนี้ถอยไปด้านหลังอีกหนึ่งช่วงทันที
บนศีรษะของผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายไม่ได้เขียนอักษรว่าเลวไว้ ถ้าหากมิใช่ผู้ฝึกวิชามารที่แต่งกายแปลกประหลาด แบกโลงศพยกคนตาย อย่างอื่นก็ดูไม่ออกเลยจริงๆ บางคนสวมชุดเหมือนสำนักอันเที่ยงธรรมยิ่งกว่าสำนักอันเที่ยงธรรมจริงๆ เสียอีก หากไม่รู้ยังนึกว่าเป็นสำนักอันทรงคุณธรรมที่มีชื่อเสียง ระวังไว้ก่อนดีกว่า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคนผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ถ้าเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายกลุ่มของตนเองจะมีชีวิตรอดกลับไปหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย
“ไปตามทางนี้สามารถข้ามไปโลกวิญญาณหนานเฟิงได้สินะ?” จินเฟยเหยาชี้เบื้องหน้าแล้วเอ่ยถาม
“ใช่” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่เป็นผู้นำเอ่ยตอบอย่างเคารพ
จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยถาม “มีการป้องกันอะไรหรือไม่?”
“ไม่มี โลกวิญญาณหนานเฟิงมีผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายที่ใช้วงเวทเป็นจำนวนไม่น้อย วางการป้องกันไว้ก็ไม่มีประโยชน์ คนธรรมดาและสำนักของโลกทางด้านนี้ก็ถูกพวกเขาทรมานไปหมดเกลี้ยงแล้ว ปกติจะไม่ออกมา สถานที่ที่ไปล้วนเป็นสถานที่ซึ่งมีคนจำนวนมาก”
ได้ยินคำอธิบายของพวกเขา จินเฟยเหยาอยากจะบอกว่าพวกเจ้าตั้งกลุ่มลาดตระเวนขึ้นเพื่อลดเรื่องยุ่งยากและแสร้งทำท่าทางไปอย่างนั้นเองสินะ
“ขอเรียนถามชื่อแซ่อันสูงส่งของผู้อาวุโส” นี่เป็นคำถามที่จำเป็นต้องถาม ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมในกลุ่มนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม
“ข้าชื่อจินเฟยเหยา” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
จากนั้นก็เห็นกลุ่มที่อยู่ห่างเกือบร้อยจั้งทางฝั่งตรงข้าม บรรยากาศพลันผนึกค้าง หนึ่งอึดใจต่อมา คนกลุ่มนี้ใช้เวทหลบหนีหลากชนิดบนร่างแล้วหลบหนีไปจนเกลี้ยงเกลาโดยไม่ได้กล่าวอำลา
เห็นเบื้องหน้ากลายเป็นเวิ้งว้างว่างเปล่า จินเฟยเหยาตะลึงงัน “ตอนนี้ข้ามีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้เลย?”
จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าหลังนางเพิ่งจากมา สำนักเทียนตี้ก็พูดเรื่องของนางออกไป เมื่อทุกสำนักรู้ข่าวจินเฟยเหยาก็หายไปโดยไร้เงานานแล้ว
ซื่อเต้าจิงก็รีบเขียนเรื่องนี้ ทำเอาโลกวิญญาณเป่ยเฉินรู้กันทั่ว ทุกคนย่อมรู้จักนามอันยิ่งใหญ่ของนางดี อีกทั้งเทาเที่ยยังกินคน นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนหวาดกลัวจนหนีไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง จินเฟยเหยาจึงได้สติคืนมา นางเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “นั่นเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้ข้าบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ ไม่กินคนตั้งนานแล้ว ตอนนี้ไม่หิวเลยสักนิด จะวิ่งหนีทำไม”
“อ๊บๆ อ๊บ” พั่งจื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างหัวเราะใส่นาง
“พั่งจื่อ ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าจะอิสรเสรีจริงๆ ข้ารู้สึกว่าเจ้าสมควรกลับไปดูแลลูกๆ ที่เทือกเขาอูอวิ๋น” จินเฟยเหยามองพั่งจื่อด้วยเจตนาร้าย
พั่งจื่อเป็นใบ้ไปทันที หุบปากและแสดงท่าทางโง่งมแต่โดยดี
“ช่างเถอะ รีบไปโลกวิญญาณหนานเฟิงดีกว่า คาดว่าคนชั่วอย่างข้าไปถึงที่นั่น บรรดาผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายน่าจะมาตั้งแถวรอต้อนรับ” จินเฟยเหยาคิดอย่างเบิกบานใจ เหยียบพรมบินเหาะไปโลกวิญญาณหนานเฟิง
นางคิดเสียเลิศลอย แต่เรื่องจริงกับจินตนาการแตกต่างกันลิบลับ เมื่อจินเฟยเหยาเหยียบย่างมาถึงทะเลทรายของโลกวิญญาณหนานเฟิงอย่างราบรื่น นางเดินทางมาครึ่งเดือนเต็มๆ เมื่อมาถึงโอเอซิสแห่งหนึ่ง นางก็หมดวาจา
ข้างสระน้ำใสแจ๋วที่โอเอซิส มีคนสองคนก็กำลังมีสัมพันธ์กันกลางแจ้ง จินเฟยเหยารู้สึกช่วยไม่ได้อย่างยิ่ง ได้พบคนของโลกหนานเฟิงอย่างยากเย็น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฉากแบบนี้
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางหมดวาจาคือ คนทั้งสองมองเห็นนางแล้วกลับไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด ยังคงสนุกสนานกันอย่างร้อนแรงดังเดิม
สตรีที่อยู่ข้างหน้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียน เพียงแต่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐาน สายตาเลอะเลือนเกรงว่าคงลืมทุกสิ่งรอบด้านไปนานแล้ว ส่วนบุรุษด้านหลังนางคิดไม่ถึงว่าจะมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง เวลานี้เส้นผมแผ่กระจายลงมากำลังยุ่งสุดๆ ชั่วขณะจึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด
จินเฟยเหยาลูบคาง ครุ่นคิดว่าตนเองจะจากไปหรือสอบถามเส้นทางดี มองความเคลื่อนไหวของคนทั้งสองน่าจะใกล้เสร็จแล้วกระมัง รอก่อนดีกว่า ดังนั้นนางจึงนั่งอยู่บนพรมบิน จ้องมองคนทั้งสองอย่างตั้งใจกับพั่งจื่อ
บุรุษขั้นกำเนิดใหม่คนนั้นไม่สนใจว่ามีคนอยู่ด้านข้าง สมควรทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นดังเดิม ดูเหมือนยังตื่นเต้นกว่าปกติเนื่องจากมีคนมองอยู่ด้านข้างด้วย
เนิ่นนานก็ยังไม่เสร็จเสียที จินเฟยเหยาหาวอย่างเบื่อหน่าย ได้แต่บ่นพึมพำกับพั่งจื่อ “น่าเบื่อยิ่ง คนผู้นี้คงไม่ได้กินตัวเดียวอันเดียวของสัตว์อะไรมาหรอกนะ ข้ารออยู่นานแล้ว ถ้ารู้แต่แรกคงไปก่อน คิดผิดจริงๆ”
สิ้นเสียง ก็ได้ยินบุรุษขั้นกำเนิดใหม่ที่โอเอซิสด้านล่างเอ่ยปาก “ถ้าสหายเซียนรู้สึกเบื่อหน่ายก็ลงมาสนุกกันหน่อย”
“ช่างเถอะ ชั่วครู่ชั่วคราวท่านคงยังไม่เสร็จกิจ ข้าไม่ถามทางท่านแล้วขอตัวก่อน” จินเฟยเหยาล้วงหูแล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ท่าทางของนางย่ำแย่เกินไป ดูละครฟรีๆ แล้วยังมีท่าทางเบื่อหน่ายอีก บุรุษขั้นกำเนิดใหม่ผู้นี้พลันส่งเสียงขึ้นจมูก ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นพลันส่งเสียงร้องโหยหวน
พอจินเฟยเหยามองก็เห็นร่างของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นพลันหดลงราวกับถูกสูบน้ำออก กลายเป็นศพแห้งซากหนึ่งในพริบตา
จากนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหยวนอิงคนนั้นโยนศพแห้งลงบนพื้น แล้วยืนขึ้นเงยหน้ามองจินเฟยเหยา ใบหน้าที่ถูกเส้นผมยาวปิดบังไปกว่าครึ่งแย้มยิ้ม “ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้น ไม่ได้กินมานานแล้ว พาตัวมาหาถึงที่พอดี”
“ดึงหยินเสริมหยาง…อาศัยเจ้าก็คิดจะกินข้า? ใครจะกินใครก็ยังไม่แน่” จินเฟยเหยาก็ยืนขึ้น เลียริมฝีปาก เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
……………………………………
[1] หนาน แปล ว่า ทิศใต้