คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 284 มอบให้
“สหายเซียนจิน นี่คือ…” อู๋ปอมองกบสีขาวตัวเล็กๆ บนร่าง ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ใครจะเลี้ยงกบมากมายขนาดนี้
พอมองดูอย่างละเอียด เขาพลันสงสัย เขาไม่เคยเห็นกบสีขาวสายพันธุ์นี้มาก่อน ถึงรูปร่างภายนอกจะดูเหมือนกบธรรมดา แต่สีผิวดูเหมือนกบเสวี่ยรุ่นนิดหน่อย แต่บนหัวของกบเสวี่ยรุ่นกลับไม่มีมุกล้ำค่า นี่เป็นกบอะไรกันแน่ เหตุใดที่นี่จึงมีมากมายนัก?
เสี่ยวหงต้มน้ำเสร็จจึงชงชามาให้ ทว่าที่นี่ไม่มีแม้แต่โต๊ะ เสี่ยวหงเห็นด้านข้างมีก้อนหินจึงนำถ้วยชาที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่วางบนก้อนหินแล้วเดินตัวปลิวจากไป
เนื่องจากปกติใช้สัตว์ภูติโจมตีบ่อยๆ ความสนใจของอู๋ปอจึงอยู่บนร่างกบตัวเล็กๆ สีขาวพวกนี้ ส่วนจินเฟยเหยาหลุบตาลงมองถ้วยชาไม้ไผ่ นางรู้ว่าตนเองไม่ได้เตรียมใบชาไว้ ไม่รู้ว่าเสี่ยวหงเก็บใบไม้ที่ลอยอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาจากที่ใด
แต่นางไม่สนใจมากความ ยกถ้วยชาไม้ไผ่ขึ้นยิ้มพลางเอ่ย “สหายเซียนอู๋ เชิญดื่มชา”
“อ้อ ขอบคุณ” อู๋ปอหยิบถ้วยชาไม้ไผ่ขึ้นดื่มเบาๆ คำหนึ่ง จินเฟยเหยามองท่าทางของเขา ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด จึงก้มหน้าลงมองถ้วยชาในมือของตนเองในนั้นมีใบไม้สีเขียวสามใบลอยอยู่ เป็นใบไม้ของต้นไม้สองต้นหลังกระท่อม ส่วนน้ำชามีสีเหลืองทองงดงาม คิดไม่ถึงว่าจะต้มออกมาได้แบบนี้
“ชาดี คิดไม่ถึงว่าสหายเซียนจินจะมีน้ำชาเลิศรสถึงปานนี้” หลังจากอู๋ปอดื่มคำหนึ่ง อดชมเชยไม่ได้
“ชาหยาบในภูเขา สหายเซียนอู๋ชมเกินไปแล้ว” จินเฟยเหยาสงสัยขึ้นมา หรือว่าใบของต้นไม้ต้นนี้อร่อยจริงๆ? ดังนั้นนางจึงชิมคำหนึ่งแล้วคิ้วขมวดทันที นี่มันขยะอะไร ขมแทบตาย เป็นคำชมตามมารยาทจริงๆ คิดไม่ถึงว่าข้าจะถือเป็นจริงเป็นจัง
จินเฟยเหยาวางถ้วยชาลงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเซียนอู๋ พวกเรามาสนทนาหัวข้อเมื่อครู่ต่อเถอะ”
“จริงด้วย” อู๋ปอได้สติคืนมาจากความขมรุนแรง วางถ้วยชาในมือลงบนก้อนหินด้านข้าง จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเซียนจิน ไม่ทราบว่าสนใจสำนักเทียนตี้ของเราหรือไม่?”
มาเพื่อเชิญข้าไปเป็นผู้อาวุโสจริงๆ ด้วย เจ้าพวกนี้มีความกล้าจริงๆ ถึงกับกล้ารั้งข้าไว้เป็นผู้อาวุโส จินเฟยเหยาแอบคิดในใจ จากนั้นเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับอู๋ปอ “ขอบคุณความหวังดีของสหายเซียนอู๋ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระจนเคยชินเสียแล้ว ไม่คิดจะเข้าสำนัก”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสำนักเทียนตี้จงใจคิดจะรั้งตนเองไว้หรือคิดจะให้ตนเองเป็นผู้อาวุโสจริงๆ ต่อไปจะได้รับใช้สำนัก จินเฟยเหยาก็ไม่สนใจทั้งนั้น
ในใจอู๋ปอลอบยินดี กลับไม่กล้าแสดงออกบนใบหน้า ทว่าแสดงสีหน้าเสียใจแทน “ในเมื่อสหายเซียนจินพูดแบบนี้คงไม่เหมาะที่ข้าจะพูดจาโน้มน้าวอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าสหายเซียนจินเตรียมตัวจากไปเมื่อใด?”
จินเฟยเหยาตะลึงงัน เพิ่งบอกว่าไม่เข้าสำนักเทียนตี้ ก็จะไล่ข้าไป?
เห็นจินเฟยเหยาขมวดคิ้ว อู๋ปอจึงรีบอธิบาย “พวกเราเป็นห่วงสหายเซียนจิน ปรากฏการณ์ประหลาดตอนที่สหายเซียนบรรลุขั้นกำเนิดใหม่แหลมคมเกินไป ยากรับรองได้ว่าจะไม่ถูกผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ที่ผ่านทางมาพบเห็น พวกเราได้ให้คนทั้งสำนักปิดปาก ห้ามพูดออกไปแม้แต่ครึ่งประโยคแล้ว แต่เกรงว่าจะถูกผู้บำเพ็ญเซียนที่ผ่านทางมาแพร่ออกไป เช่นนี้เพียงไม่กี่วัน ทั่วทั้งโลกวิญญาณเป่ยเฉินอาจจะรู้ว่าสหายเซียนจินอยู่ที่เทือกเขาอูอวิ๋น”
“ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าเข้าสู่สำนักเทียนตี้ของท่านก็ได้” ในเมื่อคิดจะมาไล่ข้าไป จินเฟยเหยาจึงเอ่ยปากตามสบาย
อู๋ปอตกตะลึงอย่างหนัก รีบยิ้มประจบ “สหายเซียนจินล้อเล่นแล้ว ฮ่าๆๆ”
“ข้าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกว่าดี ยังไม่คิดจะไปชั่วคราว ทำไม สหายเซียนอู๋ไม่อยากให้ข้าอยู่ที่นี่หรือ?” จินเฟยเหยายกถ้วยชาขึ้น แสร้งทำท่าจิบน้ำชา
“สหายเซียนจิน ข้าขอพูดตรงๆ นะ สำนักเทียนตี้ของพวกเราไม่ถือว่าเป็นสำนักใหญ่อะไร ถ้าเรื่องของสหายเซียนจินถูกเผยแพร่ออกไป ไม่กี่วันก็จะมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากหลั่งไหลมา ปากของพวกเขาบอกว่าเพื่อคุณธรรมและความถูกต้อง ในทางลับกลับคิดอ่านเพื่อตนเอง ต้องเป็นผลร้ายกับสหายเซียนแน่ ดังนั้นข้าจึงคิดจะโน้มน้าวสหายเซียนให้จากไปแต่เนิ่นๆ” อู๋ปอมองจินเฟยเหยา พบว่ายายนี่สงบนิ่งขนาดนี้
เห็นนางไม่มีปฏิกิริยา อู๋ปอจึงเอ่ยโน้มน้าวต่อ “สำนักเทียนตี้ของพวกเรามีเพียงพื้นที่เล็กๆ ในเทือกเขาอูอวิ๋น ถ้าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นมาก่อเรื่องกันเต็มไปหมด ต่อไปศิษย์ของพวกเราคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะจับสัตว์ปิศาจขั้นหนึ่งมาเป็นสัตว์ภูติ หวังว่าสหายเซียนจินจะช่วยอำนวยความสะดวก ทุกคนเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายสิบปีแล้ว พวกเราก็ไม่เคยมารบกวนสหายเซียน เรื่องนี้สำหรับสหายเซียนแล้วลำบากเพียงแค่ยกมือเท่านั้น”
คิดไม่ถึงว่าอู๋ปอจะเริ่มเล่นบทน่าสงสาร จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าหัวเราะ เดิมทีนางก็คิดจะจากไป ในเมื่อตอนนี้เป็นขั้นกำเนิดใหม่แล้ว อยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกบำเพ็ญ
แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายพาตัวมาหาถึงที่เอง แน่นอนว่าจะปล่อยไปไม่ได้ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “สิ่งที่สหายเซียนอู๋พูดมาข้าเข้าใจดี เพียงแต่ตอนนี้ข้าไปไม่ได้ ท่านก็เห็นสภาพของที่นี่ ข้าต้องจัดการไท่จื่อโซ่วมากมายขนาดนี้ก่อนจึงจากไปได้”
“ที่แท้สัตว์ภูตินี้ชื่อไท่จื่อโซ่ว ไม่ทราบสหายเซียนจินได้มาจากที่ใด ข้าไม่เคยเห็นลักษณะเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งตัวเล็กแค่นี้ยังมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสามแล้ว ขอเพียงเลี้ยงไม่กี่ปีคงมีอานุภาพมาก” อู๋ปอได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยาจึงยื่นมือมาคิดจะคว้ากบตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง อย่าเห็นว่าพวกมันมีสีหน้าท่าทางโง่งม ความเคลื่อนไหวกลับปราดเปรียว พอยื่นมือมาก็กระโดดหนีไป
จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ “สหายเซียนอู๋เป็นผู้รู้จริงๆ ไท่จื่อโซ่วชนิดนี้ข้าหามาจากดินแดนที่หนาวเหน็บสุดขีด ตอนนั้นมีเพียงคู่เดียว ข้าเดินอยู่สองปีเพื่อไท่จื่อโซ่วคู่นี้ และยังสังหารมังกรเทียนเสวียนที่เฝ้าถ้ำในดินแดนที่หนาวเหน็บสุดขีด ตอนนั้นข้าเป็นเพียงขั้นหลอมรวมช่วงต้น มังกรเทียนเสวียนขั้นแปดจัดการยากเย็นอย่างยิ่ง สหายเซียนอู๋น่าจะรู้ดี”
“สหายเซียนจินลำบากแย่ มังกรเทียนเสวียนมีพลังแข็งแกร่งยิ่ง” อู๋ปอลูบเคราพลางพยักหน้าตอบรับ ไท่จื่อโซ่วและมังกรเทียนเสวียนอะไรนั่นขนาดได้ยินเขาก็ยังไม่เคยได้ยินมา ในฐานะที่สำนักเทียนตี้เล่นสัตว์ภูติ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินชื่อสัตว์ภูติที่ไม่รู้จักอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองหูตาคับแคบเกินไป
แต่อย่างไรก็เป็นสำนักที่เล่นสัตว์ภูติ จะยอมรับว่าตนเองไม่รู้จักสัตว์ปิศาจเหล่านี้ได้อย่างไร เขาได้แต่ฝืนใจพยักหน้าและเอ่ยวาจาคล้อยตาม
“จริงสิ ทำไมข้าจึงนึกไม่ถึงนะ สำนักเทียนตี้ของสหายเซียนอู๋เลี้ยงสัตว์ภูติ ท่านเห็นว่าไท่จื่อโซ่วเหล่านี้แต่ละตัวยังไม่ได้ทำสัญญาโลหิต อีกทั้งเกิดมาก็มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสาม ถ้ามอบให้ศิษย์คนละตัว สำนักเทียนตี้จะรับศิษย์ได้มากเพียงใด สัตว์เลี้ยงขั้นต้นเป็นสัตว์ภูติขั้นสาม ดีกว่าต้องไปจับสัตว์ภูติขั้นหนึ่งขั้นสองในเทือกเขาอูอวิ๋นมากนัก” จินเฟยเหยามีท่าทางเพิ่งนึกขึ้นได้ เอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
อู๋ปอลังเล มองดูบนเกาะอย่างละเอียดรอบหนึ่ง นับจำนวนไท่จื่อโซ่วตัวเล็กคร่าวๆ รวมทั้งหมดมีสองร้อยหกสิบแปดตัว สำหรับศิษย์นับพันของสำนักเทียนตี้แล้ว ให้ศิษย์ขั้นฝึกปราณคนละตัวก็ยังไม่พอ อีกทั้งยังเป็นขั้นสาม พากลับไปก็กินพื้นที่ไม่มากนัก
ดังนั้นอู๋ปอจึงตกปากรับคำ “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา สหายเซียนจิน สำนักเทียนตี้เราสามารถช่วยท่านดูแลไท่จื่อโซ่วพวกนี้ได้”
“ดียิ่งนัก” จินเฟยเหยาปรบมืออย่างยินดี “ข้าไม่ต้องการมากมาย ตัวละห้าร้อยศิลาวิญญาณชั้นกลาง นำตานสัตว์ปิศาจมาแลกก็ได้ ถึงอย่างไรสิ่งที่พวกท่านมีคือสัตว์ภูติ น่าจะมีตานสัตว์ปิศาจมากจนไม่มีที่ไว้”
“ต้องจ่ายศิลาวิญญาณ?” อู๋ปอมองจินเฟยเหยา เอ่ยถามอย่างกลัดกลุ้ม
จินเฟยเหยาก็มองเขา “ลูกสัตว์ภูติขั้นสามนะ จะเอาไปฟรีๆ หรือ? อีกทั้งเอาไปแล้วข้าจะจากไปทันที…”
อู๋ปอแอบคำนวณดู สองร้อยหกสิบแปดตัวก็เป็นศิลาวิญญาณชั้นกลางหนึ่งแสนกว่าก้อน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ควักกระเป๋าตัวเอง อีกทั้งยังบอกว่าสามารถนำตานสัตว์ปิศาจมาแลกเปลี่ยนได้ อย่างอื่นไม่มี แต่ตานสัตว์ปิศาจในห้องเก็บของสำนักมีอยู่มากมาย ถือว่าทำความสะอาดห้องเก็บของ
“ก็ได้ พวกเราตกลงตามนี้”
“ไม่มีปัญหา มือข้างหนึ่งถือศิลาวิญญาณมืออีกข้างหนึ่งถือกบ จากนั้นข้าจะไปทันที”
เรื่องนี้เจรจากันเรียบร้อยทันที อู๋ปอรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ขาดทุน สามารถทำให้จินเฟยเหยาจากไปได้ ทั้งยังซื้อไท่จื่อโซ่วเกือบสองร้อยกว่าตัวได้ในราคาถูก ถ้าความเป็นมาไม่ธรรมดาอย่างที่นางบอกจริงๆ ก็ถือว่าเป็นบุญของสำนักเทียนตี้
ส่วนจินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าสามารถจัดการลูกสัตว์มากมายขนาดนี้ได้เป็นเรื่องดี ไม่เช่นนั้นเจ้าพวกนี้กินเก่งออกอย่างนั้น มิกินจนข้าต้องแขวนคอตายหรือ
คิดเสียดิบดี ทว่าจินเฟยเหยากลับมองข้ามกบตัวหนึ่งไป ต้านิวยืนโดยมีไท่จื่อโซ่วเล็กๆ เต็มตัวอยู่ไม่ไกลนัก ฟังพวกเขาสองคนเจรจาแลกเปลี่ยนอย่างสงบนิ่ง มองทั้งสองคนหารือกันเสร็จเรียบร้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งยังยกถ้วยชาขึ้นดื่มน้ำขมๆ หนึ่งอึก หลังจากหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว มันก็ทำวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เพื่อปกป้องลูกๆ
เห็นต้านิวขยายร่างใหญ่ขึ้น เรือนร่างสูงสามจั้งกว่า นั่งลงกับพื้นและเริ่มร่ำไห้ พอไท่จื่อโซ่วทั้งหมดได้ยินเสียงร้องไห้ของมัน ทุกตัวก็มารวมกันอยู่บนหลังมัน กระพริบดวงตาโตด้วยท่าทางน่าสงสาร ภาพความเศร้าสลดของการพรากจากชั่วนิรันดร์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอู๋ปอ
อู๋ปอมองต้านิวร่ำไห้อย่างหนัก หยาดน้ำตาร่วงลงมาราวกับอ่างล้างหน้า จึงถามจินเฟยเหยาที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกทางด้านข้างว่า “สหายเซียนจิน หรือว่าในไท่จื่อโซ่วของท่านจะมีวิญญาณมนุษย์?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร สหายเซียนอู๋ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าจะใช้เวทชั่วร้ายชนิดนี้ได้อย่างไร ถ้าท่านไม่ได้พูด ข้ายังไม่รู้จักสิ่งของแบบนี้เลย” จินเฟยเหยามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยวาจาเรียบๆ
“อาศัยประสบการณ์ในการเลี้ยงสัตว์ภูติมาแปดร้อยปีของข้า มันไม่ยินยอมให้พวกเราพาลูกๆ ของมันไป อีกทั้ง คิดไม่ถึงว่าท่านไม่ได้ทำสัญญาโลหิตกับไท่จื่อโซ่วตัวใหญ่ ไม่เช่นนั้นขอเพียงออกคำสั่ง ต่อให้มันไม่ยินยอมก็ต้องมอบลูกๆ ออกมาอย่างเชื่อฟัง” ถึงอย่างไรอู๋ปอก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักเทียนตี้ เคยสัมผัสกับสัตว์ภูติมามาก จึงสามารถเดาความคิดของสัตว์ภูติได้จากกิริยาท่าทาง การกระทำของต้านิวทำให้เขารู้สึกลำบากใจ
ในเวลานี้ เขาก็สังเกตเห็นว่าด้านข้างยังมีไท่จื่อโซ่วที่โตเต็มวัยอีกตัว เวลานี้ก็ขยายขนาดเป็นสามจั้งกว่า ส่งเสียงร้องใส่ไท่จื่อโซ่วที่ร่ำไห้ไม่หยุด อู๋ปอเดาว่านี่คงเป็นตัวผู้ ใช้กำลังสั่งให้ตัวเมียยอมมอบลูกๆ ออกมา
ความจริงเป็นเช่นนี้จริงๆ ทว่าผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายของเขา ไท่จื่อโซ่วที่กำลังร่ำไห้ตัวนั้นพลันยืนขึ้น ใช้ขาหน้าตบไท่จื่อโซ่วตัวผู้ลอยออกไปจากพื้นที่มิติกระแทกลงบนก้อนหินอย่างหนักหน่วงทันที จากนั้นมันก็นั่งลงอีกแล้วร่ำไห้ต่อ
อู๋ปอได้แต่มองจินเฟยเหยา ส่วนจินเฟยเหยาก็มองมาด้วยสีหน้าน่าเกลียดและเอ่ยว่า “สหายเซียนอู๋ พวกเรามาหารือกันใหม่อีกครั้ง”