คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 282 สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
จินเฟยเหยาที่อยู่ภายในเกาะลอยได้กำลังอยู่ในความเจ็บปวด การรับรู้ของนางที่กลายร่างเป็นมนุษย์กำลังต่อสู้กับเทาเที่ยในห้วงการรับรู้ เดิมทีก็ยังดีๆ อยู่ แต่ขณะที่นางกำลังทะลวงขั้นกำเนิดใหม่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เทาเที่ยพลันแล่นออกมาจากทะเลสีดำกะทันหัน คิดจะหนีออกนอกห้วงการรับรู้อย่างสุดชีวิต
จินเฟยเหยากำลังทะลวงขั้นกำเนิดใหม่ย่อมมิอาจให้มันแล่นมาก่อกวนในเวลานี้จึงแบ่งการรับรู้สายใยหนึ่งเข้าไปในห้วงการรับรู้คิดจะทำให้เทาเที่ยสงบลง
แต่คิดไม่ถึงว่าเทาเที่ยที่เชื่อฟังมาตลอดจะปะทุนิสัยสัตว์ป่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เห็นการรับรู้ของจินเฟยเหยาเข้ามาในห้วงการรับรู้ มันก็ร้องคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่ทันที ความเชื่องและน่ารักในอดีตของมันหายไปจนเกลี้ยง เปลี่ยนเป็นดุร้ายสุดเปรียบปาน พุ่งเข้าหาจินเฟยเหยาด้วยสีหน้าอำมหิตเต็มไปด้วยความคิดจะกลืนกินนางให้หมด
จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว พลันนึกเรื่องที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ได้ ขณะที่บรรลุขั้นกำเนิดใหม่คนที่ถูกเทาเที่ยเลือกจะถูกเทาเที่ยกลืนกินจนสูญเสียสติสัมปชัญญะของตนเอง นับจากนี้ร่างที่ถูกสัตว์ร้ายยึดครองจะกลับมาไม่ได้อีก
คาดว่าตนเองกำลังจะบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ เกรงว่าเทาเที่ยตัวนี้จึงคิดจะยึดครองร่างของตนเอง แต่เคล็ดวิชาทงเสินอยู่ที่ใด จินเฟยเหยานิ่งงัน ถึงนางจะรู้ว่าเคล็ดวิชาทงเสินถูกใส่ไว้ในเคล็ดวิชาสร้างร่างมาร แต่จะนำออกมาใช้อย่างไร นางกลับไม่รู้เลยสักนิด
คราวนี้ยุ่งแล้ว จินเฟยเหยาจึงนึกได้ว่าจอมมารหลงไม่เคยบอกตนเอง เจ้าหมอนี่น่าชังจริงๆ หรือเขาคิดจะเฝ้าอยู่ข้างๆ ตอนตนเองเจี๋ยหยวนอิง จากนั้นมองตนเองเลื่อนขั้นจึงยอมลงมือ
จินเฟยเหยาไม่มีทางเลือกได้แต่ฝืนสู้กับเทาเที่ย ในเมื่อเจ้าคิดจะกินข้า เช่นนั้นข้าจะกินเจ้าก่อน ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ไม่รู้วิธีใช้เคล็ดวิชาทงเสิน ขอเพียงกินเทาเที่ยให้หมด เจ้าก็ไม่มีทางมากลืนกินข้าได้
จินเฟยเหยาพุ่งเข้าไปด้วยความคิดเช่นนี้ ใช้ปากคนปะทะปากกว้างของเทาเที่ย ดูสิว่าใครจะกลืนกินอีกฝ่ายก่อน
นางต่อต้านเทาเที่ยตั้งแต่เริ่มเจี๋ยหยวนอิง ส่วนสำนักเทียนตี้ที่อยู่ภายนอกกลับมองปรากฏการณ์ประหลาดมาหนึ่งเดือนแล้ว อากาศเปลี่ยนเป็นเลวร้ายจริงๆ
ตอนนี้มั่นใจแล้วว่ามีคนกำลังเจี๋ยหยวนอิงที่นี่ บรรดาผู้อาวุโสของสำนักเทียนตี้จึงไม่เฝ้ามองอยู่เฉยๆ อีก พวกเขานำศิษย์ทั้งหมดกลับสำนัก จับตาดูปรากฏการณ์ประหลาดของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้อย่างเงียบๆ
อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นเจี๋ยหยวนอิงที่นี่ น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ไม่เช่นนั้นเรื่องใหญ่แบบนี้ ไม่ว่าสำนักใดล้วนต้องส่งผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่หลายคนไปคุ้มครอง จากนั้นจัดงานเลี้ยงใหญ่ประกาศให้ทั่วทั้งแผ่นดินรู้ รอจนผู้บำเพ็ญเซียนอิสระคนนี้บรรลุขั้นกำเนิดใหม่แล้วจะไปหาถึงที่เพื่อคบหาทันที ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนไม่เลวและไม่มีนิสัยชั่วร้ายอะไร จะเชิญเขามาเป็นผู้อาวุโสอิสระในสำนัก
สำนักเทียนตี้มีความคิดเช่นนี้จึงไม่ไปรบกวน ที่จริงเนื่องจากเวลานี้รบกวนไม่ได้ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ขอเพียงพยายามอีกหน่อยก็เจี๋ยหยวนอิงได้ เวลานี้ต่อให้สามารถทำลายการเจี๋ยหยวนอิงของอีกฝ่ายได้ ทว่าผลกระทบที่เกิดจากการเจี๋ยหยวนอิงล้มเหลวก็เพียงพอจะทำลายทุกสิ่งรอบด้านได้ ครึ่งหนึ่งของเทือกเขาอูอวิ๋นจะถูกทำลายภายในวันเดียว และที่ตั้งของสำนักเทียนตี้ก็อยู่ในขอบเขตนี้ด้วย ถึงตอนนั้นจะมีผลกระทบต่อสำนัก
คนของสำนักเทียนตี้เคียดแค้นผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่ทราบที่มาคนนี้มากกว่ายินดี ไม่มีใครอยากให้วางสิ่งของอันตรายแบบนี้ไว้ตรงประตูสำนัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าสำนักเทียนตี้หรือไม่ ขอเพียงสามารถเจี๋ยหยวนอิงได้อย่างปลอดภัยแล้วไสหัวไปเสียก็เป็นเรื่องมงคลครั้งใหญ่แล้ว
ผู้บำเพ็ญเซียนปกติเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ อย่างเร็วสามวัน อย่างช้าแค่สิบวันก็เสร็จสิ้น คนของสำนักเทียนตี้รออยู่ครึ่งเดือนเต็มๆ เมฆดำก็ยังกองอยู่ตรงนั้น ไม่มีความคิดจะสลายไปแม้แต่น้อย นี่ยังไม่นับรวมอากาศวิปริตหนึ่งเดือนนั้น แค่เริ่มนับจากปรากฏการณ์ครั้งหลังสุด
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน เป็นสองเดือนเต็มๆ คนของสำนักเทียนตี้รอจนหมดความอดทน สงสัยว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เกิดความผิดปกติขณะบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ใช่หรือไม่จึงติดอยู่ตรงนั้นแบบใกล้ตาย ดังนั้นปรากฏการณ์จึงแช่อยู่ตรงนี้
ในเวลานี้เอง เมฆดำที่กองอยู่บนท้องฟ้าราวกับตายไปแล้วพลันมีความเปลี่ยนแปลง เมฆดำเริ่มพลิกตัวอย่างบ้าคลั่ง สายฟ้ากวาดไปรอบด้าน โจมตีจนเทือกเขาอูอวิ๋นเละเทะยุ่งเหยิงเป็นแถบ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ถ้าบรรลุขั้นกำเนิดใหม่สำเร็จ สิ่งที่ปรากฏขึ้นน่าจะเป็นเสียงดนตรีแดนเซียนดังทั่วท้องนภา ปักษาสวรรค์ร่ายรำ แสงมงคลสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า ตอนนี้มีเมฆดำทั่วท้องนภา ลางร้ายปรากฏชัด หรือว่านี่คือลางบอกเหตุของการเจี๋ยหยวนอิงล้มเหลว?” จื่อหยางเจินเหริน เจ้าสำนักเทียนตี้ยืนอยู่นอกตำหนักเทียนตี้หลิง มองมังกรเยี่ยนเฟิงสัตว์ภูติขั้นเก้าของตนเองหดตัวเป็นก้อนกลม ร่างสั่นสะท้านไม่หยุด
เขาใช้เวทภาษาวิญญาณสื่อสาร มังกรเยี่ยนเฟิงเพียงบอกว่ารู้สึกได้ถึงอานุภาพกดดันที่ทำให้มันหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด ขนาดสัตว์ภูติขั้นเก้ายังหวาดกลัวจนกลายเป็นเช่นนี้ จื่อหยางเจินเหรินไม่เข้าใจว่าผู้ใดกำลังบรรลุขั้นกำเนิดใหม่กันแน่ จึงมีความเคลื่อนไหวอัปมงคลแบบนี้?
“ตูม!” กลางเมฆดำพลันมีเสียงระเบิดดังสนั่น อานุภาพกดดันที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนยังรู้สึกได้พุ่งเข้ามาปะทะหน้า ทุกคนใจเต้นรัวอย่างหวาดผวา ศิษย์ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำเป็นอัมพาตล้มลงกับพื้นทันที กุมศีรษะเกลือกกลิ้งตัวพลางร่ำร้องไม่หยุด
“เทาเที่ย!” จื่อหยางเจินเหรินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นเมฆดำพลันแยกออกเป็นสองฝั่ง สัตว์ปิศาจตัวหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ จื่อหยางเจินเหรินเห็นสัตว์ปิศาจปากกว้างตัวนี้ก็ตะลึงงัน ใช้เวลาอยู่นานจึงมองออก เจ้านี่เป็นตัวอะไร ใครใช้ให้มันไม่มีเขาจึงทำให้สำนักเทียนตี้ที่รู้จักสัตว์ปิศาจดีที่สุดเกือบจดจำไม่ได้
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเทาเที่ย หรือว่านี่คือจินเฟยเหยาที่ถูกคนล่าสังหารที่โลกระดับเทพ? เกิดอะไรขึ้นกับนาง นางแล่นมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด คิดไม่ถึงว่าจะไม่ถูกคนพบเห็น!” จื่อหยางเจินเหรินได้สติขึ้นมา เกรงว่าเทาเที่ยอยู่ที่นี่มาไม่ใช่แค่วันสองวัน เหตุใดจึงไม่ได้ยินว่ามีศิษย์หายตัวไปหรือถูกกิน ถ้าให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ รู้ว่ามีเทาเที่ยอยู่ที่นี่ เทือกเขาอูอวิ๋นมิถูกคนเหยียบเละเทะหรือ
“เจ้าสำนักถ้าเป็นเทาเที่ยจริงๆ จะทำอย่างไรดี?” สายตาของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่มองดูปรากฏการณ์ประหลาดขั้นกำเนิดใหม่อยู่กับจื่อหยางเจินเหรินพากันมองดูเขา เรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่ง พวกเขาไม่เหมาะจะเสนอความคิดเห็นพล่อยๆ
จื่อหยางเจินเหรินมีสีหน้าดุจน้ำค้างแข็ง เอ่ยวาจาอย่างช้าๆ “ไม่ใช่ถ้า ถึงแม้เทาเที่ยตัวนี้ไม่มีเขา แต่พวกเราเป็นสำนักสัตว์ภูติ เหตุใดจะไม่รู้ว่าเทาเที่ยมีลักษณะอย่างไร นี่ต้องเป็นเทาเที่ยแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงหายไป แต่ต้องเป็นมันแน่ เรื่องนี้น่าจะปิดบังไม่อยู่ พวกเราแจ้งแต่ละสำนักใหญ่ดีกว่า”
“เจ้าสำนัก พวกเราพูดคุยกับคนผู้นี้ดีกว่า ถ้าสามารถให้นางจากไปเองได้เป็นดีที่สุด ไม่เช่นนั้นถ้าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอื่นๆ แล่นมา ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรลงไปบ้าง ถ้าทำจนเทือกเขาอูอวิ๋นเละเทะ จะมีแต่ผลเสียต่อพวกเราไม่มีผลดีเลย มิสู้รอให้นางจากไป พวกเราค่อยพูดเรื่องที่นางปรากฏตัวขึ้นออกมา เช่นนี้ก็จะไม่ล่วงเกินสำนักอื่นๆ และไม่ให้พวกเขาเข้ามาก่อเรื่องในพื้นที่ของเรา” เวลานี้มีผู้อาวุโสคนหนึ่งครุ่นคิดนิดหนึ่งจึงเอ่ยวาจา
ผู้อาวุโสที่เอ่ยปากชื่ออู๋ปอ เป็นคนเฉลียวฉลาดในสำนักเทียนตี้ เรื่องจำนวนมากมีเขาเป็นผู้วางแผน ความคิดของเขาได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ทันที
หลังจากเจ้าสำนักฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดของเขา ทำแบบนี้ก็เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเทาเที่ยตัวนี้จะยอมจากไปหรือจะดื้อแพ่งอยู่ที่นี่ ในเมื่ออู๋ปอเป็นผู้เสนอความคิด เช่นนั้นเรื่องโน้มน้าวให้เทาเที่ยไปจากเทือกเขาอู๋อวิ๋นก็มอบให้เขาไปกระทำ
อู๋ปอมีโทสะแทบตาย เจ้าพวกรักตัวกลัวตายเหล่านี้ แต่เจ้าสำนักเอ่ยวาจาแล้ว เขาก็ได้แต่ฝืนใจรับคำ หวังว่าเจ้านายของเทาเที่ยจะเป็นคนดี แต่พอคิดดูอีกที ถ้าเป็นคนดีจะถูกเทาเที่ยเลือกหรือ?
ปรากฏการณ์ประหลาดกลางท้องฟ้ายังไม่หายไป เทาเที่ยที่ไม่มีเขาและทำให้คนยิ้มไม่ออกตัวนั้นกำลังมุดไปมุดมาในก้อนเมฆ ดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนเห็นมันไม่มีพลังทำลายล้างอะไรจึงมองดูเหมือนชมละคร ดูไปหัวเราะไป ส่วนพวกศิษย์ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำก็ถือว่าตนเองได้เปิดหูเปิดตาเล็กน้อย
ทันใดนั้น ปรากฏการณ์ประหลาดเทาเที่ยก็พุ่งออกจากก้อนเมฆลงไปยังเทือกเขาอูอวิ๋น
“ฮ่า ปรากฏการณ์ประหลาดนี้น่าสนใจจริงๆ ยังคิดจะพุ่งลงมาอีก” ศิษย์สำนักเทียนตี้หัวเราะครืน ปรากฏการณ์ประหลาดนี้น่าสนุกจริงๆ มีลูกเล่นมากมาย
แต่พวกเขาเพิ่งหัวเราะ ก็เห็นภาพมายาของเทาเที่ยตัวนี้แค่อ้าปากก็กลืนยอดเขาทั้งลูกของเทือกเขาอูอวิ๋นไป
“…” รอบด้านเงียบกริบ ศิษย์สำนักเทียนตี้ไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรดี ปรากฏการณ์ประหลาดถึงกับสามารถกลืนกินวัตถุจริงๆ ได้ ทุกคนมองเทาเที่ยเคี้ยวภูเขาแล้วนิ่งเป็นไก่ไม้ ราวกับรสชาติไม่อร่อย เทาเที่ยคำรามลั่น ถุยคำหนึ่ง ก็คายภูเขาทั้งลูกที่ถูกกัดจนเละเทะออกมา
บนท้องนภาราวกับมีฝนก้อนหินตกลงมา มันคายต้นไม้ ดิน และก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาหมด จากนั้นกวาดตามองสรรพชีวิตของสำนักเทียนตี้แวบหนึ่ง ส่งเสียงขึ้นจมูก จึงหายไปในก้อนเมฆดำ
เมฆดำสลายไป ไม่มีเสียงดนตรีอันไพเราะของแดนเซียน ไม่มีเมฆหลากสีสัน ยิ่งไม่มีปักษาสวรรค์ และทิวทัศน์แดนเซียนอันงามวิจิตร ยามมามีปรากฏการณ์ประหลาดอยู่นาน ยามไปกลับไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ทุกสิ่งก็กลายเป็นความว่างเปล่าตามการหายตัวไปของเทาเที่ย
“ผู้อาวุโสอู๋ ท่านยังตกตะลึงอยู่ทำไม คนผู้นี้เจี๋ยหยวนอิงสำเร็จแล้ว ท่านยังไม่รีบไปเจรจากับนางอีก” การมาและจากไปอย่างรีบร้อนทำให้จื่อหยางเจินเหรินนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วได้สติคืนมาทันที รีบให้อู๋ปอไปเจรจา
อู๋ปอเหาะไปเทือกเขาอูอวิ๋นอย่างไม่ยินยอม มองจากทิศทางที่ปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นสมควรเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง พอมาถึงเขาจึงพบว่าที่นี่คือสระน้ำพิษที่ปรากฏขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่แท้เทาเที่ยซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ท่าทางยายนี่จะมาเทือกเขาอูอวิ๋นหลายสิบปีแล้ว แต่ไหนบอกว่าเทาเที่ยกินคน เหตุใดกลับไม่มีศิษย์หายตัวไป หรือว่าเทาเที่ยเริ่มกินเจแล้ว?
เขาครุ่นคิด ค้นยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งจากบนตัว ของสิ่งนี้มีประโยชน์ที่สุดในเวลานี้ เขาเขียนฐานะของตนเองลงไปและยังจงใจทำน้ำเสียงให้สุภาพและอ้อมค้อม ขอเพียงโน้มน้าวให้นางจากไปได้ เรื่องเหล่านี้ก็หารือกันได้
แต่นางจะหลอกตนเองเข้าไปกินหรือไม่ ในสายตาของเทาเที่ยผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่น่าจะเป็นอาหารมื้อใหญ่ที่ถูกปาก เขาครุ่นคิดอย่างละเอียด ยิ่งพูดมากขึ้นทุกที พูดจนยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งเต็มไปด้วยคำพูด หากมิใช่ยันต์ถ่ายทอดเสียงจดบันทึกลงไปไม่ได้ เขายังคิดจะเอ่ยวาจาเกรงอกเกรงใจอีกหน่อย
ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงไปสองใบดูไม่ค่อยเหมาะสม อู๋ปอได้แต่ถอนหายใจ โยนยันต์ถ่ายทอดเสียงใบนี้เข้าไปในผืนหมอกสีขาว จากนั้นรอคอยคำตอบอยู่ภายนอกอย่างสงบนิ่งแต่ไม่สบายใจ