คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 280 หมอกขาวแห่งมี่ตี้
เทือกเขาอูอวิ๋นทอดตัวยาวเกือบห้าร้อยหลี่ เนื่องจากมีสัตว์ปิศาจมากมาย สำนักเทียนตี้ที่เลี้ยงสัตว์เป็นหลักจึงเลือกที่นี่เป็นสถานที่ตั้งสำนัก เพื่อความปลอดภัยของศิษย์ในสำนักและเพื่อให้สะดวกในการรับศิษย์ สำนักเทียนตี้จึงสร้างอยู่บนหน้าผาของเทือกเขาอูอวิ๋น
หน้าผาเป็นยอดเขาสูงถึงร้อยจั้ง ด้านหลังเป็นเทือกเขาอูอวิ๋นซึ่งทอดตัวยาวต่อเนื่อง ส่วนด้านหน้ากลับเป็นหน้าผาที่ดูเหมือนถูกคมดาบฟันอย่างประณีต
บนผนังศิลาเรียบลื่นสุดเปรียบปาน ไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักนิด ถูกเจ้าสำนักเทียนตี้คนแรกใช้เวทมนตร์เขียนอักษรไว้บนนั้นสี่ตัวว่าสำนักเทียนตี้ อักษรสี่ตัวนี้ลึกครึ่งจั้ง แต่ละอักษรกว้างสิบจั้ง ขอเพียงเห็นเทือกเขาอูอวิ๋นก็ต้องเห็นอักษรขนาดใหญ่สี่ตัวว่าสำนักเทียนตี้บนผนังผา
หน้าผาแห่งนี้ก็ถูกเรียกว่า หน้าผาเทียนตี้ และสำนักเทียนตี้ก็สร้างอยู่บนยอดหน้าผา เนื่องจากสำนักเทียนตี้ใช้การขับขี่สัตว์เป็นหลัก สัตว์ภูติต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนั้นที่อยู่อาศัยของบรรดาศิษย์ส่วนมากจึงเรียบง่ายและเข้ากับธรรมชาติเป็นหลัก บ้านและตำหนักใหญ่ที่สร้างจากหินหยก อิฐ และกระเบื้องมีไม่มาก อาคารที่สร้างขึ้นจากอิฐและกระเบื้องเพียงแห่งเดียวคือ ตำหนักเทียนตี้หลิง ซึ่งเป็นตำหนักหลักของสำนักเทียนตี้
บนหน้าผาเทียนตี้เต็มไปด้วยเรือนเล็กๆ นานาชนิดราวกับมีเห็ดงอก แม้แต่ศิษย์ขั้นฝึกปราณที่เพิ่งเข้าสู่สำนักก็สามารถกั้นพื้นที่อยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ภูติของตนเองได้
สัตว์ภูติที่ศิษย์สำนักเทียนตี้ใช้งานส่วนมากอาศัยอยู่ในเทือกเขาอูอวิ๋น ในเทือกเขาอูอวิ๋นมีสัตว์ปิศาจมากถึงสองร้อยกว่าชนิดและเป็นสถานที่ซึ่งมีสัตว์ปิศาจมากที่สุดในโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ถึงส่วนมากจะเป็นสัตว์ปิศาจระดับต่ำ ทว่าการเลี้ยงดูสัตว์ปิศาจล้วนต้องเริ่มตั้งแต่เป็นไข่หรือลูกสัตว์ สัตว์ที่โตเต็มวัยแล้วถึงไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่ก็ไม่มีผลกระทบกับสำนักเทียนตี้
นอกจากสัตว์ปิศาจจำนวนนับไม่ถ้วนเทือกเขาอูอวิ๋นยังมีหญ้าวิญญาณที่ขึ้นในป่าและวัตถุดิบหลอมสร้างอาวุธเวท ทำให้สำนักเทียนตี้สามารถเลี้ยงดูศิษย์ระดับล่างในสำนักได้อย่างเพียงพอ
เพียงแต่ส่วนลึกของเทือกเขาอูอวิ๋นจะมีสัตว์ปิศาจขั้นห้าขั้นหกไปมา สถานที่บางแห่งยังเป็นสถานที่อันตรายซึ่งมีไอพิษสะสม สถานที่เหล่านี้ต่อให้สัตว์ปิศาจเข้าไปก็ไม่เหลือแม้แต่ซากจึงกลายเป็นเขตต้องห้ามของสำนักเทียนตี้
โดยเฉพาะสองปีนี้ เทือกเขาอูอวิ๋นปรากฎหุบเขาต้องห้ามแห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่ามี่ตี้[1] ที่นั่นกินพื้นที่ห้าสิบกว่าหมู่ ถูกหมอกขาวปกคลุมตลอดปี หุบเขาแห่งนี้มีสระน้ำและด้านในมีของเหลวสีขาวน้ำนมชนิดหนึ่งซึ่งมีกลิ่นหอมหวานสุดเปรียบปานไม่เหมือนสถานที่ซึ่งมีไอพิษอื่นๆ
ถึงดมแล้วจะมีกลิ่นหอมมาก ทว่าขอเพียงสัมผัสของเหลวเหล่านี้ก็สามารถทำให้สัตว์ปิศาจถูกพิษตายได้ทันที เนื้อหนังของผู้บำเพ็ญเซียนเน่าเฟะ ส่วนสระน้ำซึ่งมีรูปร่างเป็นแถบยาวสามหมู่กว่า พอดีสกัดกั้นทางเข้าหุบเขาไว้ หมอกขาวลอยอยู่เหนือสระน้ำ ทำให้คนไม่ทราบกระจ่างว่าสระน้ำพิษแห่งนี้กว้างเพียงใด
มีศิษย์ขั้นสร้างฐานของสำนักเทียนตี้บุกทะลวงเข้าไป และติดอยู่ในหมอกขาวหลายวันออกมาไม่ได้ ส่วนน้ำพิษอันหอมหวานเหล่านั้นก็ราวกับไม่มีขอบเขต สุดท้ายพวกเขาเดินวนอยู่หลายวันราวกับแมลงวันโดนคลุมหัวจึงเดินออกมาจากหมอกขาวผืนนี้ได้
ด้านในไม่มีสิ่งใด อีกทั้งน้ำพิษเหล่านี้ก็ยังดุร้ายผิดปกติ นอกจากบางครั้งมีผู้บำเพ็ญเซียนสำนักเทียนตี้บางคนที่แล่นพิษมาเอาน้ำพิษไปบ้าง ที่นี่ก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งผ่านไปหลายเดือนก็ไม่มีคนปรากฏตัวขึ้นสักคน
จินเฟยเหยาพอใจการป้องกันที่ตนเองสร้างขึ้นอย่างยิ่ง กลางหุบเขาวางเกาะลอยได้เล็กๆ ได้พอดี เพื่อไม่ให้ศิษย์สำนักเทียนตี้พบเห็นที่นี่ นางจึงให้พั่งจื่อและต้านิวเค้นน้ำพิษสิบกว่าวันตรงทางเข้าหุบเขา จากนั้นกางวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจทำให้ภายในหุบเขาทั้งหมดเต็มไปด้วยหมอกขาวปกคลุมบดบังเกาะลอยได้เล็กๆ ไว้
ศิษย์สำนักเทียนตี้ซึ่งแล่นมาสำรวจความลึกลับทั้งหมดถูกนางกักขังไว้ในวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจ วงเวทวิญญาณปิศาจที่บรรจุมังกรขั้นเจ็ดสิบสองตัว อานุภาพไม่เหมือนกับตอนบรรจุสัตว์ปิศาจขยะขั้นสองขั้นสามในวันวาน ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้หลงทางจนสับสนและแยกทิศทางไม่ออก ทั้งยังสร้างภาพมายาเป็นพิเศษทำให้พวกเขาเข้าใจผิดนึกว่ามาถึงในหุบเขา และทุกแห่งหนในหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยน้ำพิษ ไม่มีหญ้าวิญญาณหรือสิ่งพิเศษเฉพาะอะไร
การสังหารพวกเขาง่ายดายยิ่ง แค่เกรงว่าหลังจากสังหารแล้ว คนเหล่านี้จะอับอายจนกลายเป็นโทสะจนต้องรู้สิ่งที่อยู่ในหมอกขาวให้กระจ่างชัดให้ได้ ถ้าแล่นมาที่นี่ทั้งวันคงน่ารำคาญแทบตาย ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงให้พวกเขาเข้ามาได้อย่างสบายๆ หลังจากขังไว้สามสี่วันค่อยปล่อยออกมา
ทำเช่นนี้หลายครั้ง คนของสำนักเทียนตี้จึงไม่ค่อยชอบมาที่นี่อีก บางครั้งยังมีคนมาเก็บน้ำพิษ จินเฟยเหยาก็คร้านจะยุ่งเกี่ยว
วันเวลาเงียบสงบ จินเฟยเหยาจึงสามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ
นางยืนอยู่ข้างสระน้ำของเกาะลอยได้มองพั่งจื่อใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างเป็นก้อนอิฐและกระเบื้องปูก้นสระทีละชิ้น ก็ด่าทออย่างไม่พอใจว่า “พั่งจื่อ พวกเจ้าฉวยโอกาสที่ข้าไม่อยู่ในเกาะ ทำอะไรไปทั่ว! เจ้าถึงกับทำต้านิวท้องโต ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วว่าเลี้ยงไท่จื่อโซ่วมากมายไม่ไหว แต่เจ้ากลับถือเป็นเสียงลมพัดผ่านหู”
มองพั่งจื่อก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่ส่งเสียง จินเฟยเหยาก็เดือดดาลอย่างยิ่ง นางตำหนิพั่งจื่อไม่หยุด “เกาะลอยได้มีขนาดเพียงสิบหมู่ ยังขุดแปลงสมุนไพรของข้าเป็นสระน้ำอีกสองหมู่ เจ้าเอาศิลาวิญญาณปูด้านล่างทำไม? ต่อให้ศิลาวิญญาณชั้นล่างไม่มีค่าในโลกระดับวิญญาณ ข้าก็มีแค่ถุงนี้ถุงเดียว เจ้าคิดจะสร้างรังลูกๆ ให้ดีหน่อย ไม่ไปเก็บก้อนหินข้างนอกมาเล่า!”
“มดหนึ่งผลึกก็เป็นเจ้าตัวน่าผิดหวัง ผ่านไปหลายวันข้าได้ศิลาวิญญาณมาใหม่แค่หลายสิบก้อน ต่อไปมีเจ้าตัวกินเก่งมากมายขนาดนี้ มิกินจนข้าล้มละลายหรือ!” จินเฟยเหยาบ่นอย่างไม่พอใจ เอ่ยปากพูดไม่หยุด
“นี่ เจ้าว่าเมียเจ้าจะคลอดเมื่อใด นี่ก็สองปีแล้วนะ ตอนข้าไม่อยู่ยังไม่แน่ใจว่าท้องเมื่อไร คงมิใช่ไม่มีลูกแต่กินมากเกินไปจนอ้วนหรือไม่?” มองพั่งจื่อถูกด่าทออยู่นานกลับไม่ส่งเสียงสักแอะ จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
ในที่สุดพั่งจื่อที่กำลังปูศิลาวิญญาณก็ทนไม่ไหว ใช้ศิลาวิญญาณในฝ่ามือกบขว้างก้นสระ แล้วคำรามใส่จินเฟยเหยา “อ๊บ อ๊บๆ! อ๊บ!”
จินเฟยเหยาฟังอยู่นาน จากนั้นจึงหลุบตาลงเอ่ยถามอย่างอย่างสงสัยยิ่ง “เจ้าว่าอะไรนะ? ต้านิวบังคับผลักเจ้าล้ม จากนั้นบีบบังคับให้เจ้าล่วงเกิน เจ้าแค่ถูกภูตผีดลใจไปชั่วขณะจึงไม่ได้ดิ้นรน เจ้าไปหลอกผีเถอะ เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือ ว่ากบทำจากด้านหลัง…หรือว่าต้านิวสามารถกดเจ้าลงกับพื้น จากนั้นหันหลังให้เจ้าแล้วขึ้นคร่อม?”
“อ๊บ!” พั่งจื่อพลันตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้น ในดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
จินเฟยเหยาหมดวาจา มองมันอย่างสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหางหมุนตัวจากไป นางไม่อยากเข้าใจพั่งจื่อจริงๆ ขอเพียงเป็นภาพที่จินตนาการไว้ในสมอง นางก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูด หมดวาจาจะตอบ ทำให้คนรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
พั่งจื่อเห็นจินเฟยเหยาทิ้งมันไว้แล้วเดินจากไปก็เงยหน้าขึ้นตะโกนลั่นใส่ท้องฟ้าอย่างเศร้าโศก
“ไม่ต้องตะโกนแล้ว ได้เปรียบแล้วยังอวดฉลาดอีก ฝันไปเถอะ เจ้าก็ได้ลิ้มรสจุดสุดยอดของกบไปแล้ว ยังมีอะไรไม่พอใจอีก ถ้ายังไม่ทำงานระวังต้านิวจะอัดเจ้า” จินเฟยเหยาหมุนตัวมาคำรามใส่มันหลายประโยค จากนั้นก็กลับกระท่อม
ตอนนี้จินเฟยเหยาอาศัยอยู่ในกระท่อมที่จอมมารหลงอาศัยอยู่ในอดีต กระท่อมของตนเองให้ต้านิวยึดครอง เป็นกบสองตัวและสุนัขหนึ่งตัวยังจะอาศัยอยู่กระท่อมอีก แต่ต้านิวกลับต้องอยู่ในกระท่อม ทั้งยังมีพวกโต๊ะเก้าอี้เตียงฟูกพร้อมสรรพ แม้แต่อ่างอาบน้ำก็ให้มันยึดครอง
เนื่องจากอ้วนเกินไป ต้านิวจึงมีสีหน้าอัปลักษณ์ ดุร้าย และเกียจคร้านทั้งวัน
ไม่รู้ว่าพั่งจื่อไร้มโนธรรมหรือจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนสุดขีด คิดไม่ถึงว่าจะหดลีบ ถ้ามีเวลาว่างก็หดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ทั้งวัน มองดอกไม้สีแดงสีขาวเหล่านี้อย่างเหม่อลอย ดวงตาไร้ชีวิตชีวา แต่พอครุ่นคิดดูอย่างละเอียด ปกติดวงตาของเจ้านี่ก็ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นแบบนี้ก็สมน้ำหน้ามัน ใครให้ในอดีตมันใช้งานต้านิวเป็นทาสทั้งวัน
เก้าอี้นอนที่จินเฟยเหยาสั่งทำเมื่อร้อยปีก่อนตกเป็นของต้านิว เห็นมันยัดร่างอ้วนๆ ลงไปนอนโยกบนเก้าอี้ นางก็ถอนหายใจชื่นชมในความแข็งแกร่งของเก้าอี้ตัวนี้ ของหนักขนาดนี้ยังวางลงไปได้ คิดไม่ถึงว่ามันแค่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ทว่าไม่ได้หลุดเป็นชิ้นๆ
จินเฟยเหยาปิดประตูกระท่อม ทอดถอนใจชื่นชมพี่สยง ดูเหมือนเขาจะคาดเดาได้ว่าตนเองจะกลายเป็นเช่นนี้ จึงท่องจำเวทหุ่นเชิดมาให้ตนเองโดยเฉพาะ ถ้าไม่มีเสี่ยวหงกับเสี่ยวลวี่ ทั้งต้านิวยังถูกพั่งจื่อทำท้องโต คงไม่มีใครทำงานจิปาถะบนเกาะ
คิดถึงว่าต่อไปภายในสระน้ำสองหมู่จะเต็มไปด้วยลูกอ๊อด จินเฟยเหยาก็รู้สึกศีรษะพองโต มีเพียงเสี่ยวหงกับเสี่ยวลวี่เกรงว่าคงทำงานไม่ทัน ท่าทางตนเองต้องหลอมหุ่นเชิดพวกเสี่ยวหลันเสี่ยวหวงออกมา ไม่เช่นนั้นในอนาคตคงอยู่ไม่ไหว
ในขณะที่นางรู้สึกหงุดหงิด คิดจะต่อยอาชญากรตัวสำคัญอย่างพั่งจื่อสักยก นอกหุบเขาก็มีเสียงร้องของสัตว์ภูติดังมา สัตว์ภูติของลี่เหนียงมากินข้าวฟรีอีกแล้ว
ตั้งแต่จินเฟยเหยามาตั้งรกรากในเทือกเขาอูอวิ๋นและยังล่าสัตว์ปิศาจหลายตัวโยนให้พวกสัตว์หลัวซิงกินฟรีๆ บางครั้งบางคราวเจ้าพวกนี้ก็มาขอข้าวกิน แต่ไม่ได้มามือเปล่า ทุกครั้งที่มาล้วนนำข่าวสารที่ได้ยินจากโลกภายนอกหรือขโมยซื่อเต้าจิงมาให้จินเฟยเหยา
พวกมันมีข้าวกิน จินเฟยเหยาก็ได้รู้ข่าวสารภายนอก เรียกได้ว่ายิงนัดเดียวได้นกสองตัว
จินเฟยเหยานำถุงเฉียนคุนใบหนึ่งลงมาจากบนกำแพง ด้านในมีสัตว์ปิศาจสามตัวที่ออกไปล่ามาเมื่อวันก่อน นางคาบถุงเฉียนคุนใบนี้ไว้ในปากแล้วกระโดดออกจากเกาะลอยได้เล็กๆ ออกจากหมอกขาว และเหาะข้ามน้ำพิษร่อนลงนอกหุบเขา
วันนี้สัตว์ภูติที่มามียี่สิบกว่าตัว มีสัตว์หลัวซิงเป็นผู้นำดังเดิม มันช่วยเอาซื่อเต้าจิงฉบับล่าสุดมาให้จินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาโยนสัตว์ปิศาจสูงหนึ่งถึงสองจั้งจำนวนสามตัวในถุงเฉียนคุนไปให้ แล้วงับซื่อเต้าจิงมาอ่านด้านข้าง ส่วนพวกสัตว์หลัวซิงล้อมวงกินสัตว์ปิศาจสามตัวนี้อย่างเต็มที่
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองท่าทางการกินของพวกมันก็ส่ายศีรษะ เจ้าพวกนี้จะออกมาก็ต้องหาโอกาส ลี่เหนียงเฝ้าพวกมันอย่างเข้มงวด อีกทั้งสัตว์หลัวซิงยังพาสัตว์ภูติในสำนักเดียวกันมาจำนวนไม่น้อย หากไม่รู้ยังนึกว่านางเป็นสัตว์ภูติมีความรักเมตตาอย่างล้นเหลือ
เป็นสัตว์ภูติไม่ง่ายดายเลย ปกติต้องออกไปล่าสัตว์กับเจ้านาย เหยื่อที่จับได้ก็ต้องส่งมอบให้เจ้านาย ปกติได้รับอาหารสัตว์เพียงเล็กน้อย บางครั้งบางคราวหาโอกาสหนีออกมาสักครั้งก็ไม่มีเวลาไปล่า อีกทั้งสัตว์ภูติเหล่านี้ยังดื้อรั้น รู้สึกว่าเหยื่อที่ตนเองล่าได้จะมอบให้คนอื่นไม่ได้ ต้องมอบให้เจ้านายของตนเองทั้งหมดจึงสบายใจ
จินเฟยเหยาคิดถึงเรื่องนี้ก็ไม่เข้าใจ สิ่งของที่พวกเจ้าล่าเองยังต้องส่งมอบให้เจ้านาย สิ่งของที่ผู้อื่นล่ามาสามารถแบ่งให้พวกเจ้ากินฟรีได้ งุนงงจริงๆ ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด ค่าตอบแทนในการรู้ข่าวสารโลกภายนอกแพงจริงๆ ให้เจ้าพวกนี้ได้เปรียบแล้ว
………………………………
[1] มี่ตี้ หมายถึง สถานที่อันหอมหวาน