คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 279 สัตว์บินได้
ชีวิตบนเรือเหาะเงียบสงบและน่าเบื่อ ลี่เหนียงอยู่ว่างในห้องเล็กๆ ที่เหมือนคุกใต้ดินไม่ได้ ไม่มีเรื่องอะไรก็แล่นออกไปข้างนอก
ขอเพียงขึ้นไปอีกชั้น ห้องก็จะใหญ่กว่าที่นี่หลายเท่า บางทีเนื่องจากนางปล่อยสัตว์ภูติทั้งหมดไว้ข้างนอก ดังนั้นสำนักจึงจงใจให้นางได้ห้องเล็กชั้นล่างสุด
จินเฟยเหยาสังเกตมาหลายวัน พบว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ชื่อลี่เหนียงมีพฤติกรรมแปลกประหลาดยิ่ง นอกจากให้อาหารสัตว์น้อยนิดแล้ว นางก็รักเอ็นและดูสัตว์ภูติมาก แต่ท่าทีที่นางมีต่อคนอื่นกำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง มีหลายครั้งนางถึงกับยั่วยวนผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษที่อาศัยอยู่ชั้นเดียวกันตรงหน้าประตู
เนื่องจากปัญหาเรื่องอาหารสัตว์ จินเฟยเหยาเคยถามลูกน้องกลุ่มนั้น ในเมื่อลี่เหนียงเป็นเวทภาษาวิญญาณ เพราะเหตุใดพวกมันจึงไม่ขออาหารจากลี่เหนียงเพิ่ม แต่คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่หลงลงแรงมากที่สุด ย่อมต้องให้มันกินเยอะหน่อย พวกมันออกแรงเล็กน้อย ขออาหารมากเกินไปจะทำให้ลี่เหนียงลำบากใจ
จินเฟยเหยาได้ยินคำพูดที่น่าซาบซึ้งเช่นนี้ก็นึกถึงกบสองตัวของตนเอง เอาสัตว์มาเปรียบเทียบกันคงมีโทสะตายจริงๆ
จินเฟยเหยามองพวกมันแสดงอารมณ์อ่อนไหวพลางค้นตานสัตว์ปิศาจในถุงเฉียนคุน นางค้นหาแล้วพลันนิ่งอึ้ง ตานสัตว์ปิศาจหมดแล้ว! เงยหน้าขึ้นมองพินิจสัตว์ภูติหลายตัวนี้ สัตว์หลัวซิงและสัตว์ภูติหลายตัวตามลี่เหนียงออกไป ตอนนี้สิ่งที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดในห้องคือนกสือกง เจ้านี่เพิ่งขั้นห้า นางมองร่างของมัน เกรงว่าตานสัตว์ปิศาจคงมีขนาดเพียงเมล็ดถั่ว
ไม่รู้ว่าสายตาของนางตะกละตะกลามเกินไปหรือเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของสัตว์ปิศาจ นกสือกงที่พูดจ๋อยๆ ไม่หยุดตลอดเวลาพลันหุบปากและมองจินเฟยเหยาอย่างตื่นตระหนก
“เจ้าตัวเล็กเกินไป กินไม่อร่อย” จินเฟยเหยาพลันเอ่ยยิ้มๆ ทำให้นกสือกงตกใจจนบินไปมุมกำแพง
ไม่มีตานสัตว์ปิศาจข้ายังมีของดีอีกอย่าง จินเฟยเหยายิ้มให้มันแล้วล้วงในถุงเฉียนคุน ขวดหยกสูงสองฝ่ามือขวดหนึ่งปรากฏบนอุ้งเท้า
จินเฟยเหยาเขย่าขวดหยกแล้วใช้ปากกัดเปิดฝาขวด ฝ่ามือซ้ายถ่ายเทพลังวิญญาณสีดำจากนั้นดึงในขวดหยก ดวงแสงสีขาวก็ถูกนางนำออกมาจากในขวด ในดวงแสงมีสิ่งที่ส่องประกายระยิบระยับเม็ดหนึ่ง จากนั้นนางปิดขวดหยกทันที
นางโยนดวงแสงบนอุ้งเท้าเข้าปากกิน ตบท้องอย่างพึงพอใจแล้วเอ่ยว่า “โชคดีที่ข้าคายตานสัตว์ปิศาจของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณออกมา คิดไม่ถึงว่าในตานสัตว์ปิศาจของเจ้านี่จะมีวิญญาณ จินตัน และหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียนมากมายขนาดนี้ ถ้ากินลงไปในคราวเดียวต้องร่างระเบิดตายแน่ แต่นำมาใช้แทนตานสัตว์ปิศาจได้ไม่เลว แค่กินแบบนี้สิ้นเปลืองไปหน่อย”
แต่จินเฟยเหยายังอุทานอย่างรู้สึกเสียใจ “น่าเสียดายที่หยวนอิงและจินตันล้วนผสมปนเปกลายเป็นแก่นเหล่านี้ ติงจั๋วผู้นี้ฝึกเคล็ดวิชาชั่วร้ายลับๆ ใช่หรือไม่ หรือไม่รู้ว่าสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณมีความสามารถในการเก็บรวบรวมวิญญาณ ในตานสัตว์ปิศาจของมันมีวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนหลายหมื่นดวง ไม่ใช่วิญญาณของคนธรรมดาจะสามารถเปรียบได้ ถ้าขายให้ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายคงได้กำไรตาย”
ถึงแม้ต่างเป็นสัตว์ภูติ ทว่าบรรดาสัตว์ภูติของลี่เหนียงก็ขบคิดไม่เข้าใจ ลูกพี่ที่เป็นสุนัขสีดำกำลังกินอะไรอยู่ทั้งวันกันแน่ ไม่กินอาหารสัตว์แสนอร่อย ถ้าไม่กินตานสัตว์ปิศาจทั้งวันก็บอกว่าจะกินคน ตอนนี้ยังกินดวงแสงแปลกประหลาดอีก หรือว่าพลังการบำเพ็ญเพียรสูงแล้ว สัตว์ปิศาจไม่ต้องกินเนื้อ เปลี่ยนมากินวัตถุประหลาดไม่ทราบชื่อแทน
เรื่องนี้จินเฟยเหยาไม่มีทางอธิบายให้พวกมันเข้าใจได้และไม่มีความคิดจะอธิบายด้วย แต่เมื่อนางรู้ว่าสำนักเทียนตี้ที่ลี่เหนียงสังกัดตั้งอยู่ในเทือกเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ปิศาจ นางก็วางแผนว่าหลังลงจากเรือจะจากไปก่อน จากนั้นแอบย้อนกลับมาติดตามพวกเขาไปสำนักเทียนตี้
เจ้าพวกนี้เคยบอกว่า เทือกเขาอูอวิ๋นทอดตัวเชื่อมกันเป็นแนวยาว มีสัตว์ปิศาจมากมาย ถึงแม้สัตว์ปิศาจระดับสูงที่สุดจะแค่ระดับหก ทั้งยังมีปริมาณน้อย ทว่าสัตว์ปิศาจอื่นๆ ก็มีไม่หวาดไม่ไหว ตนเองซ่อนตัวอยู่ในนั้นคงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร แก่นผู้บำเพ็ญเซียนของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณยังสามารถยันได้หลายวัน ถึงตอนนั้นค่อยให้พั่งจื่อและต้านิวไปล่าสัตว์ปิศาจ น่าจะอยู่อย่างสบายใจได้หลายปี
จินเฟยเหยาไม่คิดจะลากสังขารแบบนี้ไปโลกวิญญาณอื่นกับปู้จื้อโหยว ไม่แน่ว่าเจ้าหมอนี่จะขายร่องรอยของตนเองให้จอมมารหลง ไม่บอกเขาดีกว่า ถ้าสามารถเจี๋ยหยวนอิงขณะที่เขาไปโลกวิญญาณอื่นค่อยไปเที่ยวเล่นกับเขา
รอจนเรือเหาะผ่านชั้นเมฆดำ ดับชีพสัตว์ปิศาจบินได้จำนวนนับไม่ถ้วนและร่อนลงที่เมืองวั่นเซียนสุ่ย ลี่เหนียงก็เข้าใกล้จินเฟยเหยาไม่ได้อีก นางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ตนเองมีแรงดึงดูดต่อสัตว์ภูติโดยกำเนิด เพราะเหตุใดสุนัขสีดำสวมชุดลายดอกตัวนี้จึงไม่ยอมเข้าใกล้ตนเอง
ลี่เหนียงนำสัตว์ภูติลงจากเรือเหาะอย่างผิดหวัง พอหันมาก็พบว่าสุนัขสีดำหายไปแล้ว เห็นจินเฟยเหยาหายไปอย่างกะทันหัน บรรดาสัตว์ภูติของนางยินดีสุดขีด ในที่สุดก็หลุดพ้นจากเจ้าวิปริตได้ เจ้านายก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว สัตว์ภูติแต่ละตัวยินดีอย่างยิ่ง นั่งรอลี่เหนียงฟังคำสั่งของอาจารย์อาอยู่ด้านข้างก็สามารถกลับสำนักเทียนตี้อย่างเบิกบานใจได้
ในขณะที่พวกมันกำลังยินดี ด้านหลังก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังมา “เมื่อครู่พวกเจ้านึกว่าข้าไปแล้วดังนั้นจึงเบิกบานใจใช่หรือไม่?”
พอสัตว์ภูติสิบกว่าตัวหันหน้ามา ก็เห็นจินเฟยเหยาหมอบอยู่ด้านหลังและมองพวกมันด้วยสายตาร้ายกาจ สัตว์ภูติเหล่านี้ตกใจจนตะลึง รีบปฏิเสธทันที
สบายใจจริงๆ มิน่าเล่าจอมมารหลงจึงชอบเล่นลูกไม้นี้ จินเฟยเหยามองสัตว์ภูติที่ทำผิดแล้วถูกจับได้กลุ่มนี้ ท่าทางกลัวจนหัวหดแต่ยังประจบสอพลอ ในใจเข้าใจรสชาติการแกล้งคนแบบนี้ดี มีความสุขจริงๆ แต่ของแบบนี้จะติดเป็นนิสัยนะ
“ที่นี่ของพวกเจ้ามีคนเยอะเกินไป ข้าจะไปเทือกเขาอูอวิ๋นเอง ถึงตอนนั้นพวกเจ้าไปหาข้า ข้าจะพาพวกเจ้าไปกินดีๆ” หลังจินเฟยเหยาสบายใจก็เริ่มให้รสหวานแก่พวกมันเล็กน้อย
พอได้ยินว่ามีผลประโยชน์ บรรดาสัตว์ภูติล้วนตาเป็นประกาย พยักหน้าให้จินเฟยเหยาอย่างแรง จินเฟยเหยาสั่งความเสร็จจึงปะปนเข้าไปอยู่ในกลุ่มคน ครู่หนึ่งก็วิ่งหายไป
จินเฟยเหยาคุ้นเคยกับเมืองวั่นเซียนสุ่ยเป็นพิเศษ ครู่หนึ่งก็วิ่งมาถึงนอกเมืองวั่นเซียนสุ่ย เนื่องจากเรือเหาะพาผู้บำเพ็ญเซียนมามากเกินไป บางคนรั้งอยู่ในเมือง แต่ยังมีคนอีกมากมายเดินทางกลับสำนักทันที จึงเห็นผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนเหยียบของวิเศษนานาชนิดแหวกอากาศไปที่นอกเมือง จินเฟยเหยาไม่กล้าใช้พรมบิน สุนัขตัวหนึ่งนั่งบนของวิเศษเหาะเหิน คือคิดจะทำลายตนเองแท้ๆ
จินเฟยเหยามีแผนที่โลกวิญญาณเป่ยเฉิน นางไม่ต้องเปิดออกดูก็รู้ทิศทางคร่าวๆ ของเทือกเขาอูอวิ๋น เพียงแต่อยู่ไกลจากเมืองวั่นเซียนสุ่ยไปหน่อย ที่หนึ่งอยู่ริมทะเล อีกที่หนึ่งอยู่แผ่นดินด้านใน ถ้าใช้พรมบินสองสามเดือนก็น่าจะบินถึง ถ้าวิ่งคงใช้เวลามากกว่านั้น
“ข้านี่โง่จริงๆ ทำไมจึงไม่ใช้ยันต์ซ่อนกายซ่อนร่างของข้าและพรมบินเสีย จากนั้นก็บินไปได้แล้ว” จินเฟยเหยาหยุดเท้า นึกถึงสิ่งนี้ขึ้นได้
เพียงแต่ถุงเฉียนคุนที่ใส่ของจิปาถะถูกต้านิวนำเข้าไปในเกาะลอยได้เล็กๆ ต้องหาสถานที่ลับตานำออกมา ดังนั้นนางจึงวิ่งไปยังเวิ้งภูเขาอันห่างไกลในอดีต เห็นรอบด้านไร้ผู้คน เหนือศีรษะไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนเหาะผ่าน จินเฟยเหยาจึงรีบโยนเกาะลอยได้เล็กๆ ออกมา
จากนั้นนางกระโดดเข้าไปอย่างรวดเร็ว วิ่งไปหาต้านิวโดยไม่มองสภาพรอบด้านเลยสักนิด ต้านิวที่อ้วนมากกว่าเมื่อก่อนสองเท่ากำลังนั่งอยู่หน้ากระท่อมอย่างเกียจคร้าน เหม่อลอยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นางเงยหน้าขึ้นเห็นจินเฟยเหยาพุ่งเข้ามาพอดี และคำรามใส่ว่า “ถุงเฉียนคุนของข้าล่ะ! รีบนำออกมา”
ต้านิวยื่นขากบชี้ไปยังกระท่อมที่หลงเคยอาศัยอยู่ด้วยสีหน้างุนงง จินเฟยเหยารีบวิ่งเข้าไปทันที มองแวบเดียวก็เห็นถุงเฉียนคุนของตนเองแขวนอยู่บนกำแพง นางกระโดดไปหยิบถุงเฉียนคุนทั้งหมดลงมา และหาถุงเฉียนคุนที่ตนเองต้องใช้พบทันที จากนั้นคาบขึ้นและกระโดดออกจากเกาะลอยได้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ในชั่วพริบตาที่นางเก็บเกาะลอยได้เล็กๆ อย่างรวดเร็ว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมช่วงกลางคนหนึ่งก็หยุดอยู่เหนือเวิ้งภูเขาแห่งนี้และเอ่ยอย่างสงสัย “น่าแปลก ข้ารู้สึกได้ว่าที่นี่มีการกระเพื่อมของพลังวิญญาณขนาดใหญ่ เหตุใดจึงหายไปอย่างกะทันหัน”
เขาใช้การรับรู้กวาดดูด้านล่างก็ไม่พบของวิเศษอะไร จึงเอ่ยพึมพำ “มีสัตว์ปิศาจขั้นสามตัวหนึ่ง จิตสังหารก็ไม่มี หรือว่าเมื่อครู่มีผู้อาวุโสกำลังใช้ของวิเศษ?”
ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้หาอยู่นานก็ไม่พบอะไรจึงได้แต่เหาะจากไปด้วยความงุนงง
ส่วนจินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองตลอดจนเขาจากไปจึงโล่งอก จริงเสียด้วย เกาะลอยได้ใหญ่เกินไป ใช้แล้วมีการกระเพื่อมของพลังวิญญาณมาก ที่นี่มีคนไปมาไม่ค่อยสะดวกจริงๆ
พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็นึกถึงมุกเทียนจี้ของปู้จื้อโหยว ของสิ่งนั้นใช้ง่าย พริบตาคนก็หายไป ถ้าเกาะลอยได้เป็นมุกเทียนจี้ก็ดีสิ ตนเองยังจำเป็นต้องหาที่ซ่อนกาย อยู่ที่โลกระดับเทพก็สามารถซ่อนตัวอยู่ในมุกเทียนจี้ฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นกำเนิดใหม่ได้
อีกทั้งไปโลกระดับเทพก็ไม่ได้พื้นที่มิติอื่นๆ มา ตนเองยังกลายร่างเป็นสัตว์อีก นี่หมายความว่าอย่างไร!
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ หาก้อนหินที่ยื่นออกมาจากตัวภูเขา ใช้กรงเล็บที่นางหลอมจนคมกริบขุดรูเล็กๆ กว้างหนึ่งฉื่อด้านล่าง แล้วมุดเข้าไปขุดด้านในเป็นถ้ำภูเขาเล็กๆ กว้างหนึ่งจั้ง
ในถ้ำภูเขาโทรมๆ แห่งนี้เกิดเรื่องที่ทำให้คนหมดวาจาขึ้น
สุนัขสีดำตัวหนึ่งใช้อุ้งเท้าถือพู่กันวิญญาณ วางกระดาษลงบนก้อนหินราบเรียบ ตั้งใจวาดยันต์ซ่อนกาย ตอนนี้อยู่ในร่างสัตว์ ยันต์ซ่อนกายมีประโยชน์มาก ต้องวาดเยอะๆ จึงสามารถใช้ได้จนถึงเทือกเขาอูอวิ๋น ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงวางแผนว่าวาดยันต์ได้เพียงพอจึงออกไปจากถ้ำเล็กๆ แห่งนี้
คิดจะใช้กรงเล็บสัตว์วาดยันต์ไม่ใช่เรื่องง่าย จินเฟยเหยาหลั่งเหงื่อโซมกาย ใช้พลังวิญญาณดูดพู่กันไว้บนอุ้งเท้า จึงสามารถฝืนควบคุมมันให้วาดแผนภาพบนกระดาษยันต์ได้ นางปาดเหงื่อบนศีรษะและถอนหายใจยาว มองยันต์ซ่อนกายที่วาดได้สำเร็จในมือ รู้สึกว่าตนเองช่างมีความสามารถจริงๆ สามารถใช้อุ้งเท้าสัตว์วาดยันต์ได้
คิดๆ ดูแล้วมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่แค่วาดยันต์ใบหนึ่งก็ยากลำบากและล้มเหลวจนถึงที่สุด แต่นางกลับใช้กรงเล็บอูมๆ วาดยันต์ออกมา สามารถบอกว่าตนเองเป็นอัจฉริยะได้ใช่หรือไม่?
ครึ่งเดือนต่อมา กลางเวิ้งภูเขามีการกระเพื่อมของพลังวิญญาณและมีสายลมพัดมา จินเฟยเหยานั่งซ่อนกายบนพรมบินอย่างกระหยิ่มใจ เหนือศีรษะมีร่ม ด้านหลังมีหมอนอิง เหาะไปเทือกเขาอูอวิ๋นแบบสุขสบายยิ่ง