คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 277 เมืองหลีฮวา
“อันตราย คิดไม่ถึงว่าจะถูกจู๋ซวีอู๋เหยียบมือ” จินเฟยเหยาวิ่งมาถึงมุมกำแพงแห่งหนึ่ง แอบมองไปบนถนน หลังจากไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ นางจึงกลับไปบนถนนอีกครั้ง ครั้งนี้นางไม่กล้าเดินกลางถนน ทว่าเดินเลาะกำแพงไป
นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาเมืองหลีฮวา ตอนนี้พอดีเป็นฤดูที่ดอกหลีฮวาเบ่งบาน พอสายลมแผ่วเบาพัดมาก็จะทำให้ดอกหลีฮวาล่องลอยไปทั่วท้องนภา เพื่อป้องกันกลีบดอกร่วงใส่ศีรษะ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีจำนวนไม่น้อยกางร่มดอกไม้คันเล็กๆ นานาชนิดเพื่อป้องกันกลีบดอกไม้อันงดงาม ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษบางคนที่ได้รับผลกระทบก็กางร่มกันฝนดอกไม้เช่นกัน ดูแล้วรู้สึกท่าทางเหมือนอิสตรี
จินเฟยเหยาชื่นชมตนเองอย่างยิ่ง เวทควบคุมพลังวิญญาณและเวทแปลงโฉมที่เคยเรียนมีประโยชน์กับเทาเที่ยมาก นางใช้เวทควบคุมพลังวิญญาณลดพลังการบำเพ็ญเพียร ต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาลจึงสะกดลงมาเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตได้ อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงสัตว์ขั้นสามตัวหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีเขาแล้ว ไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าใดมันจึงงอกออกมา จินเฟยเหยาจึงใช้เวทแปลงโฉมตกแต่งตามสบาย ปลอมตัวเป็นสุนัขวิญญาณตัวหนึ่ง
แถบผ้าบนท้องของนางก็มีประโยชน์ ถ้าพั่งจื่อกับต้านิวออกมาจะสะดุดตาเกินไป ดังนั้นจึงใส่ไว้ในเกาะลอยได้เล็กๆ ถุงเฉียนคุนส่วนมากก็ให้ต้านิวนำเข้าไปในเกาะด้วย จินเฟยเหยาพกพาถุงเฉียนคุนใบเดียวที่บรรจุตานสัตว์ปิศาจและเกาะลอยได้เล็กๆ
สุนัขที่มีถุงเฉียนคุนห้อยไว้บนคอต้องถูกคนปล้นชิงไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อแน่ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงให้ต้านิวเย็บผ้าคาดพุงแนบตัวให้ตนเองชิ้นหนึ่ง จากนั้นซ่อนถุงเฉียนคุนไว้ด้านในและยังให้ต้านิวถักขนตรงหน้าอกของตนเองเป็นเชือกเส้นเล็กๆ แล้วผูกถุงเฉียนคุนไว้บนขนเพื่อไม่ให้ถุงเฉียนคุนร่วงหล่น แบบนี้จะได้ไม่เกิดความผิดพลาด
จินเฟยเหยาใจกล้ามาก คิดไม่ถึงว่าจะหนีมาในดินแดนของเผ่ามนุษย์ แต่นางจะไม่มาก็ไม่ได้ หนทางกลับสู่โลกระดับวิญญาณ นางรู้จักแต่เรือเหาะของเมืองวั่นเซียนสุ่ย เผ่ามารไปมาอย่างไรนางไม่รู้เลยสักนิด คิดๆ ดูตนเองก็ทึ่มไปหน่อย ปกติน่าจะอาบแดดแต่น้อยและสอบถามให้มาก
ทว่าตอนนี้สำนึกเสียใจไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงรู้ว่าเผ่ามารไปมาโลกระดับเทพอย่างไร นางก็ไม่กล้าไป ตนเองหนีมาแล้ว เผ่ามารต้องค้นหาตนเองไปทั่วแน่ โดยเฉพาะสถานที่กลับโลกระดับวิญญาณต้องเฝ้ายามอย่างแน่นหนา มาดินแดนของเผ่ามนุษย์ดีกว่า คนที่นี่ไม่รู้ว่าตนเองหนีมา อีกทั้งเผ่ามนุษย์มีสำนักมากมาย คนเยอะแยะส่งเสียงเอะอะ ใครจะรู้ว่าสุนัขสีดำตัวเล็กๆ อย่างเจ้าเป็นใคร
ตั้งแต่จินเฟยเหยาเดินวางมาดติดตามผู้บำเพ็ญเซียนเดินเข้าเมืองหลีฮวาได้ นางก็รู้ว่าตนเองเดิมพันได้ถูกต้อง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าถูกจู๋ซวีอู๋เหยียบเท้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อย่างเขายังมองไม่ออก การปะปนขึ้นเรือเหาะของเมืองวั่นเซียนสุ่ยน่าจะง่ายดุจพลิกฝ่ามือ
จินเฟยเหยาปัดๆ ขาหน้าที่ถูกจู๋ซวีอู๋เหยียบจนสกปรกแล้ววิ่งตรงไปยังสถานที่ที่เรือเหาะอยู่ เรือเหาะจอดอยู่ด้านหลังเมืองหลีฮวา ตอนนี้ยังไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขึ้นเรือ จินเฟยเหยาก็อาศัยอยู่ที่ร้านตานสัตว์ปิศาจแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก
ด้านล่างร้านนี้มีบันได พอดีมีสถานที่หลบแดดหลบฝนได้ นางเฝ้ามองเรือเหาะอยู่ที่นี่ เถ้าแก่ร้านพบเห็นจินเฟยเหยาอย่างง่ายดาย เถ้าแก่เห็นสุนัขตัวนี้มีคนเลี้ยงและกลับพลัดหลงจึงโยนเนื้อติดกระดูกให้นาง
เพื่อแสร้งทำให้เหมือนหน่อย จินเฟยเหยาจึงกระดิกหางให้เขาแล้วคาบกระดูกชิ้นนั้นไปด้านล่างบันได ฉวยโอกาสที่คนไม่สังเกตเห็นใช้ฝ่าเท้ากดเนื้อติดกระดูกชิ้นนั้นฝังลงไปในดิน
บางครั้งนางก็ปีนขึ้นมาอาบแดดที่ด้านล่างประตูร้าน มองอย่างไรก็นึกว่าเป็นสุนัขที่ร้านนี้เลี้ยงไว้ บางครั้งจินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองกลีบดอกไม้ปลิดปลิวทั่วท้องนภา ขบคิดถึงปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง ส่ายหางมาหลายปีจนชิน ถ้าเปลี่ยนกลับเป็นมนุษย์แล้วไม่มีหาง จะทำอย่างไรกับความเคยชินนี้ดี หรือว่าส่ายก้นแทน?
วันนี้นางกำลังอาบแดดอยู่พลันได้ยินเสียงดังหลายครั้ง ทำให้นางสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นนั่งมองสถานที่ส่งเสียงดัง จินเฟยเหยาเห็นตรงเรือเหาะจุดพลุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จุดถึงสิบสองครั้งเต็มๆ
จากนั้นร้านก็เปิดออก เถ้าแก่ร่างอ้วนขั้นหลอมรวมช่วงปลายเดินออกมา มองเรือเหาะฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยทอดถอนใจว่า “เรือเหาะจะกลับไปแล้ว อยากนั่งเรือกลับไปจริงๆ น่าเสียดายที่สำนักไม่เห็นด้วย”
เงยหน้าขึ้นมองชายชราที่อ่อนโยนน่าสนิทสนมคนนี้ จินเฟยเหยารู้สึกว่าจนกระทั่งตายเขาคงบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ไม่ได้ ดังนั้นจึงถูกสำนักทิ้งไว้เฝ้าร้านตานสัตว์ปิศาจที่นี่ คิดถึงว่าชายชราผู้นี้เป็นคนไม่เลว นางจึงปลอบใจเถ้าแก่หลายประโยค “โฮ่ง โฮ่งๆ โฮ่ง”
จินเฟยเหยาเห่าออกมาแล้วก็รู้สึกอับอายเองจนเหงื่อตก ตนเองบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ ถ้าปลอมตัวเป็นสุนัขต่อไปเกรงว่าคงพูดภาษามนุษย์ไม่ได้จริงๆ นี่เพิ่งปลอมมาไม่กี่เดือน ยิ่งเห่าโฮ่งๆ คล่องปากขึ้นทุกที
“ฮ่า ข้ายังไม่น่าสงสารถึงขนาดต้องให้สุนัขอย่างเจ้ามาปลอบใจ” ชายชรามองจินเฟยเหยาแล้วหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา
จุดพลุสิบสองครั้งแล้ว ผ่านไปไม่นานก็มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากมายเดินมาขึ้นเรือคนแล้วคนเล่า จินเฟยเหยานั่งจ้องมองฝูงชนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง ขึ้นเรือเหาะได้หนึ่งวัน พรุ่งนี้จึงออกเดินทาง ถ้าตนเองจะปะปนเข้าไปก็ต้องหาคนที่พึ่งพาได้
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็พบคนคุ้นเคยกำลังติดตามด้านหลังบุรุษผู้หนึ่งด้วยใบหน้าอ่อนหวานและหัวเราะได้งดงามยิ่งกว่าดอกหลีฮวา
ไห่หลันอิน…หรือว่ายายนี่แต่งงานกับศิษย์พี่ของตนเองแล้ว? คำนวณดูก็หลายปีแล้ว ไม่แน่นะ หัวสมองของยายนี่เรียบง่าย ถ้าติดตามด้านหลังนางขึ้นเรือน่าจะไม่มีปัญหา ในสมองของจินเฟยเหยามีความคิดนี้วาบขึ้น แต่เห็นคนในตระกูลล้อมหน้าล้อมหลังไห่หลันอิน นางก็หดตัวกลับมา
คนเหล่านี้ชั่วร้ายเกินไป ถ้าติดตามข้างกายไห่หลันอินขึ้นเรืออันตรายยิ่ง รออีกหน่อยดีกว่า จินเฟยเหยาเลิกล้มความคิดจะขึ้นเรือกับไห่หลันอิน นั่งจ้องมองบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนอยู่ตรงนั้นต่อไป
นั่งตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งย่ำค่ำ เถ้าแก่ร้านประหลาดใจยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขึ้นเรือมีอะไรน่ามองกัน เพราะเหตุใดสุนัขสีดำตัวนี้จึงตั้งใจจ้องมองอยู่ตลอดเวลา หรือว่าเจ้านายของมันก็จะขึ้นเรือดังนั้นจึงให้มันมารอที่นี่ มิน่าเล่ามันจึงเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดไม่ยอมไปไหน ที่แท้เพราะเหตุนี้เอง
คิดไม่ถึงว่าสุนัขวิญญาณระดับต่ำจะเฉลียวฉลาดขนาดนี้ เถ้าแก่ร้านผลักประตูออกไป คิดจะพูดกับมันสักหน่อย กลับเห็นสุนัขสีดำตัวนี้ลุกขึ้นอย่างกะทันหันและจับจ้องด้านล่างด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เจ้าหาเจ้านายพบแล้วหรือ? รีบไปเถอะ ไม่เช่นนั้นถ้าขึ้นเรือไม่ทันจะยุ่ง” ผู้บำเพ็ญเซียนที่ขึ้นเรือด้านล่างมีมากมาย เถ้าแก่ร้านไม่รู้ว่าเจ้านายของสุนัขสีดำคือผู้ใดจึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“โฮ่ง โฮ่งๆ” จินเฟยเหยาส่ายหางแล้วกระโดดลงบันได วิ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่ขึ้นเรือ
ในกลุ่มคนด้านล่าง จินเฟยเหยาพบผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่ง ร่างท้วมแข็งแรงดูแล้วห้าวหาญ ที่สำคัญที่สุดคือด้านหลังของนางมีสัตว์ภูติตัวใหญ่น้อยสิบกว่าตัว ตัวใหญ่สูงหนึ่งจั้งกว่า ตัวเล็กก็ยังเล็กกว่าจินเฟยเหยา มีขนาดเพียงหนึ่งฉื่อกว่าเท่านั้น นางแอบติดตามไปโดยไม่ลังเลและเดินอยู่กับกระต่ายหลิงอวิ๋นตัวหนึ่งที่ด้านหลังสุด
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้อยู่ขั้นหลอมรวมแล้ว ก้าวเท้าขึ้นเรือเหาะกำลังเตรียมเดินเข้าดาดฟ้าก็ถูกผู้ดูแลเรือเหาะขวางไว้
“ทำอะไรน่ะ!” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นขมวดคิ้ว ดวงตารูปผลซิ่งถลึงใส่เขา
ผู้ดูแลคนนี้ชี้สัตว์ภูติด้านหลังนางแล้วเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “สหายเซียน ท่านพาสัตว์ภูติมามากมายเกินไป จะซื้อตั๋วเพิ่มหรือไม่”
“เจ้าว่าอะไรนะ! เจ้าให้ข้าซื้อตั๋วเพิ่ม? ตั๋วเรือของพวกเจ้าให้ผู้บำเพ็ญเซียนซื้อคนละใบมิใช่หรือ มีสิทธิ์อะไรให้สัตว์ภูติของข้าซื้อตั๋วเพิ่ม พูดออกมาไม่กลัวคนหัวเราะบ้าง ในผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นมีใครบ้างที่ไม่พาสัตว์ภูติมาเป็นฝูง เกรงว่ารูปร่างของสัตว์ภูติบางตัวคงยาวสิบกว่าจั้ง ทำไมเจ้าจึงไม่ให้พวกเขาซื้อตั๋วเพิ่มบ้าง!” นางเท้าสะเอว ใช้นิ้วจิ้มอกของผู้ดูแลไม่หยุด
ผู้ดูแลบนเรือเหาะถูกนางจิ้มแบบนี้ก็เอ่ยอย่างมีโทสะ “สหายเซียนสังวรการกระทำหน่อย ขอเพียงท่านเก็บสัตว์ภูติเหล่านี้ในถุงสัตว์ภูติ ย่อมไม่ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม”
“หา? เจ้าว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีใช้ฝ่ามือตบทรวงอกของผู้ดูแลคนนี้ แล้วเอ่ยถามอย่างยั่วโทสะ “เจ้าจะให้ข้าเก็บลูกๆ เหล่านี้ไว้ในถุงสัตว์ภูติ? ใช้ถุงเล็กๆ เหล่านั้นมาใส่ลูกๆ ของข้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ยัดตัวเองใส่ถุงสัตว์ภูติเสียล่ะ”
“เอ๋? สหายเซียน กล้ามอกของเจ้าไม่เลวนะ แน่นมาก” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีพลันพบเรื่องบางอย่าง ใช้มือลูบคลำทรวงอกของผู้ดูแลอย่างประหลาดใจแล้วเอ่ยชื่นชม
ใบหน้าของผู้ดูแลเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำสลับสีขาวซีด ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้เอียงศีรษะแล้วเอ่ยยั่วเย้าเขา “ว่าอย่างไร จะไปเล่นสนุกกับพี่สาวหรือไม่ รับประกันว่าจะทำให้เจ้ามีความสุขแทบตาย”
“เจ้ารีบเข้าไปเลย! เร็วหน่อย!” ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ผู้ดูแลมีโทสะจนใช้มือผลักนางออก แล้วด่าทออย่างเดือดดาล
จินเฟยเหยากำลังชื่นชมในความห้าวหาญของสตรีผู้นี้ก็ได้ยินสัตว์ภูติสิบกว่าตัวพูดคุยกัน
“เจ้าหมอนี่ต้องหวั่นไหวแน่”
“ใช่ ต้องหวั่นไหวแน่นอน”
“ดูท่าทางของเขาสิ คืนนี้ต้องแล่นมาแน่นอน”
“เช่นนั้นก็กินเขา กินให้หมด”
จินเฟยเหยาหมดวาจา หลังจากนางเปลี่ยนเป็นร่างเทาเที่ย สัตว์ปิศาจที่เกิดในป่ายังต้องมีสติปัญญาจึงฟังคำพูดของอีกฝ่ายเข้าใจ ส่วนสัตว์ภูติก็ยุ่งยากแล้ว พวกมันพูดจากันนางฟังรู้เรื่องแทบทั้งหมด แต่ส่วนมากนางแสร้งโง่
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้เดินขึ้นไปอย่างวางมาดตามการที่ผู้ดูแลยอมถอยให้
“นี่ เจ้าตัวที่แกล้งโง่ด้านหลังน่ะ เจ้าตามพวกเรามาทำไม?” สัตว์หลัวซิงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าพลันหันหน้ามาเอ่ยถามจินเฟยเหยา
ที่มันใช้คือภาษาสัตว์ ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ฟังไม่เข้าใจจึงไม่รู้สึกประหลาดใจ จินเฟยเหยากระพริบตา ไม่กล้าเปล่งอานุภาพของเทาเที่ยออกมา ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเซียนมากมาย ถ้าถูกพบเห็นต้องกลายเป็นหนังสัตว์แน่
นางหดคอแสดงท่าทางขลาดกลัวออกมา “ข้าเร่ร่อนอยู่ตัวเดียวมานาน เห็นพวกเจ้าครึกครื้นแบบนี้ อดเดินตามมาไม่ได้ พวกเจ้าอย่าไล่ข้าไป ข้าทำอะไรไม่เป็นเลย”
สัตว์หลัวซิงเชิดหน้าขึ้นอย่างวางอำนาจและแยกเขี้ยวแหลมคมใส่จินเฟยเหยา ส่วนจินเฟยเหยากลับก้มหัวลงทำท่าทางน่าสงสาร บวกกับตอนนี้ฝีมือในการเสแสร้งของนางเก่งกาจยิ่ง ทั้งยังทำท่าสั่นไปทั้งตัวออกมาอีก
สัตว์หลัวซิงขั้นหกตัวนี้เห็นท่าทางของนางก็พึงพอใจอย่างยิ่ง จึงไม่เอ่ยวาจามากความอีก เดินติดตามเจ้านายไปอย่างกระหยิ่มใจ
จินเฟยเหยามองท่าทางของมันแล้วกัดฟัน สัตว์ภูติยังทำท่าทางแบบนี้ใส่ข้า อีกเดี๋ยวตอนไม่มีคน ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร