ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล - ตอนที่ 943 เทพรุ่นที่สอง / ตอนที่ 944 ไม่รักษาคำพูด
ตอนที่ 943 เทพรุ่นที่สอง
ในใจเทพชีมู่อัดอั้นก็พานรู้สึกแย่ จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เทพธิดาน้อยอย่างเจ้าไม่เคยพบเห็นโลกกว้าง และไม่รู้ว่ายุคโบราณเป็นอย่างไร”
“ในตอนนั้น โลกเทพและภูตผีปีศาจชั่วร้ายทำสงครามกันบ่อยครั้ง บัดนี้ยังมีดินแดนภูตผีปีศาจชั่วร้ายที่หญ้าไม่ขึ้นแม้แต่ต้นเดียวอยู่เลย ทุกครั้งที่รบรากัน เทพเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสังเวยชีวิต หากไม่ใช่เพราะนาง มีหรือโลกเทพจะสงบสุขเช่นนี้ได้”
สมบัติล้ำค่าของโลกเทพถูกใช้ไปในการสู้รบระหว่างเทพและภูตผีปีศาจชั่วร้ายมากมาย โลกปีศาจหลุดพ้นทางโลกแล้ว จักรพรรดิปีศาจมีความแข็งแกร่ง มีทั้งวิชาจากการบำเพ็ญตบะและสมบัติล้ำค่า นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครอื่นทำได้ปานนั้น
อีกทั้งตอนนั้นเขาสนับสนุนจักรพรรดิปีศาจเต็มที่ รวมไปถึงเทพระดับเทียนจุนและเทพเซียนรุ่นเล็กในโลกเทพจำนวนมาก ต่างก็เชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิปีศาจ
การร่วมมือในครั้งนั้น เดิมทีเป็นสถานการณ์ที่ชนะไปด้วยกัน
แต่คิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิสวรรค์ตอนนั้นเมื่อผนึกโลกภูตผีปีศาจชั่วร้ายสำเร็จแล้ว รู้สึกว่าสถานะของตนสู้จักรพรรดิปีศาจไม่ได้ ไม่อยากด้อยกว่าจักรพรรดิปีศาจ ดังนั้นจึงทำเรื่องที่น่ารังเกียจร่วมกับเทพฟ่านโยว
ในตอนนั้นไม่เพียงแต่ราชันปีศาจที่ตกตะลึง แม้แต่เทพเซียนในโลกเทพที่กำลังยุ่งอยู่กับการปิดผนึกก็ถึงกับเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งสาม[1]ไปอย่างสิ้นเชิง
น่าเสียดาย จักรพรรดิปีศาจสลายหายไปเป็นความจริง โลกปีศาจต้องเสียหายใหญ่หลวงก็เป็นความจริง แม้กระทั่งเรื่องที่เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อโลกเทพก็ยิ่งเป็นความจริง
จักรพรรดิสวรรค์ตอนนั้นยังอยู่ หากยอมรับว่าเป็นความผิดของจักรพรรดิสวรรค์ก็จะพลิกสถานการณ์ไม่ได้ อีกทั้งเหล่าเทพเซียนบางส่วนก็จะเกิดความนึกคิดวุ่นวายสับสนได้เช่นกัน จึงทำได้เพียงกัดฟันยอมรับว่านี่ก็คือแผนการของโลกเทพ!
ผู้ที่รู้ความในต่างก็จำใจทำไปตามนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่พูดอันใด แม้แต่ชางเวยก็เช่นกัน ในตอนนั้นล้วนรู้ว่าไม่มีกำลังพอจะแก้ต่าง จึงตัดขาดจากโลกภายนอกและเอาแต่บำเพ็ญเพียรฝึกฝน
บัดนี้เจ้าทุกข์ในตอนนั้นมาหาถึงที่แล้ว เขาในฐานะผู้ที่รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีหน้าจะไปตำหนิจู๋อิ๋งว่าทำเกินกว่าเหตุอย่างหน้าด้านๆ ได้
เทพชีมู่แสดงทัศนคติออกมาอย่างชัดเจน
เทพเซียนที่ถูกปิดกั้นอยู่ด้านนอกต่างก็พากันถอนหายใจ
“นี่…เหลือสัตว์ปีศาจไว้ไม่กี่ตนคงไม่เป็นปัญหากระมัง สัตว์ปีศาจกลืนเมฆที่ตำหนักข้า ลงแรงไปตั้งมากมายกว่าจะจับมาได้ ลูกศิษย์ของข้าเสียดายเกินกว่าจะส่งมอบออกไปได้จริงๆ…”
“หากต้องส่งสัตว์ปีศาจคืนทั้งหมด แล้ว…แล้วควรทำเช่นไรกับพาหนะที่ใช้ขี่ จะอย่างไรก็คงใช้สัตว์เทพไม่ได้กระมัง หากต่อไปสัตว์เทพกลายเป็นเซียน เช่นนั้น…เช่นนั้นก็จะเสียหน้าน่ะสิ”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องหาเทพชีมู่แล้ว ดูก่อนว่ายังมีคนอื่นเต็มใจส่งสัตว์ปีศาจพวกนี้กลับไปหรือไม่”
“…”
เทพเซียนกลุ่มหนึ่งวนเวียนถามไถ่ครบรอบหนึ่ง สุดท้ายเลือกเทพอี๋เยว่ เทพระดับเสินจวินผู้นี้ถึงแม้เคยจุติใหม่มาสองครั้ง แต่ก็เป็นเทพใหญ่จากยุคโบราณ และเคยมีวาสนาพบเจอจักรพรรดิสวรรค์สองสามครั้ง
เทพอี๋เยว่ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
งานระดับนี้ซึ่งไม่ต้องประจบประแจง ต้องมีผลประโยชน์ไม่น้อยเป็นแน่ จึงเป็นธรรมดาที่จะตอบตกลง
หลังจากนับจำนวนสัตว์ปีศาจแล้วก็ออกเดินทางในทันที
ถึงแม้โลกปีศาจเป็นโลกของตัวเอง แต่ก็ยังพอหาทางไปได้ เพียงแต่ว่าเนื่องจากพาสัตว์ปีศาจมาจำนวนมาก เทพอี๋เยว่ผู้นี้จึงไปบริเวณใกล้ทะเลชางเซิง ใช้พลังเทพเพื่อการเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วผ่านเข้าสู่โลกปีศาจ
“พลังเทพนี้…” ชางเวยขมวดคิ้ว “น่าจะเป็นของเทพอี๋เยว่”
“อ้อ เทพรุ่นที่สองผู้นั้นหรือ ข้าจำได้ว่าบิดาเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในตอนนั้น และถือว่าเป็นหนึ่งในสิบเทพสงครามที่ชื่อเสียงโด่งดังในโลกเทพด้วยกระมัง” ซ่งอิงกล่าว
“ถูกต้อง” ชางเวยพยักหน้า “เพียงแต่พลังเทพของเขาธรรมดา ทว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาเขาอยู่ไม่น้อย ไม่กี่ปีมานี้ก็ยังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาอย่างถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้สถานะของเขาในโลกเทพจึงไม่ธรรมดา”
ซ่งอิงพยักหน้า
นางพอใจอยู่บ้าง
ตอนนั้นเทพอี๋เยว่ยังไม่ใช่เทพระดับเสินจวิน ก็แค่เทพที่หยิ่งยโสโอหังเป็นพิเศษตนหนึ่ง คิดว่าไม่กี่ปีมานี้คงเรียนรู้ที่จะเจียมเนื้อเจียมตัวได้หน่อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก มิเช่นนั้นคงไม่โง่เขลาถึงขนาดยอมมาส่งสัตว์ปีศาจถึงโลกปีศาจเป็นแน่
เพียงแต่ว่าผู้มาเยือนก็คือแขก ย่อมต้องเชิญเข้ามาเป็นธรรมดา
ตอนที่ 944 ไม่รักษาคำพูด
ยิ่งไปกว่านั้นเทพอี๋เยว่ยังพาสัตว์ปีศาจมากมายมาที่นี่อีกด้วย
ซ่งอิงให้คนพาเทพอี๋เยว่ที่ทะเลชางเซิงเข้ามายังโลกปีศาจ
นางก็นับจำนวนของสัตว์ปีศาจด้วยเช่นกัน เทียบกับที่นางและชางเวยตรวจสอบก่อนหน้านี้ยังขาดไปครึ่งหนึ่ง
ซ่งอิงจัดงานเลี้ยงรับรอง ในเวลาสั้นๆ มีการก่อสร้างราชวังเป็นที่พำนักของนางขึ้นมาเรียบร้อย ซึ่งในราชวังนั้นก็มีปีศาจรุ่นเล็กจำนวนไม่น้อย บัดนี้มีแขกมาเยือน ย่อมต้องเลี้ยงรับรองเสียหน่อยเป็นธรรมดา
เทพอี๋เยว่ก็ช่างใจกล้าไม่เบา ในงานเลี้ยงรับรอง เขายิ้มตาหยีมองซ่งอิง
“จักรพรรดิปีศาจ จักรพรรดิสวรรค์ของพวกเรากล่าวว่าเห็นแก่ความที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตกต่ำ การสู้รบที่ทะเลชางเซิงไม่ต้องส่งกำลังพลมามากมายเกินไป แต่ละฝ่ายส่งมาสักหมื่นนายก็พอแล้ว เพียงแต่ว่าถึงแม้ไม่ใช่จำนวนมากมาย แต่ก็ยังคงหวังให้จักรพรรดิปีศาจรับปากว่าหลังจากพ่ายแพ้แล้วจะไม่มาสร้างปัญหาให้โลกเทพของพวกเราอีก กลับไปอยู่โลกปีศาจและนับถือโลกเทพของพวกเราเสีย” เทพอี๋เยว่กล่าวพลางเผยรอยยิ้ม
ซ่งอิงกระตุกมุมปาก “ได้สิ เพียงแต่หากโลกเทพของพวกเจ้าแพ้เล่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เทพอี๋เยว่หัวเราะเยาะหยัน
“ในเมื่อเจ้าไม่พูดออกมา เช่นนั้นข้าก็จะพูดแทนเจ้าเลยแล้วกัน หากโลกเทพแพ้สงครามในครั้งนี้ ข้าต้องการให้โลกเทพมอบจานชะตาของมวลมนุษย์ ปิดผนึกจานชะตาชีวิตเสีย ไม่ว่าใครหน้าไหนก็แตะต้องไม่ได้อีก นอกจากนี้…ข้าต้องการพลังเชื่อมโยงชีวิตและจิตวิญญาณของจักรพรรดิสวรรค์”
พลังเชื่อมโยงชีวิตและจิตวิญญาณมีค่าเท่ากับศักดิ์ศรี
ศึกครั้งนี้ ก็เพื่อศักดิ์ศรีของโลกปีศาจ
ตอนนี้พลังที่ฝึกฝนยังไม่เพียงพอให้ผนึกโลกเทพและปีศาจ โชคดีที่ตอนนี้โลกมนุษย์ถือว่าปลอดภัยแล้ว โลกเทพต้องการแทรกแซงก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายดายขนาดนั้น อีกทั้งเทพเซียนอ้างตนว่าเป็นผู้มีเมตตา ดังนั้นโดยทั่วไปก็จะไม่สร้างหายนะแก่โลกมนุษย์
เพียงแต่จานชะตาชีวิตนี้ เดิมทีสวรรค์เป็นผู้กำหนด เมื่อตกอยู่ในมือโลกเทพ กลับกลายเป็นหนึ่งในวิธีที่พวกเขาควบคุมโลกมนุษย์
เทพอี๋เยว่ขมวดคิ้ว หลังจากครุ่นคิดแล้วจึงกล่าวว่า “ข้าจะกลับไปปรึกษากับจักรพรรดิสวรรค์ จะตกลงเช่นนั้นได้หรือไม่ยังต้องดูอีกที”
“ไม่รบกวนท่านเทพไปอีกรอบให้เสียเที่ยวหรอก ข้าจะส่งคนไปแจ้งให้ทราบเอง” ซ่งอิงกล่าวอีกครั้ง
“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” เทพอี๋เยว่มุ่นคิ้ว ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย มองเขาอย่างเหยียดหยาม “ท่านเทพ มีหรือข้าจะไม่รู้ว่าโลกปีศาจของข้ามีสัตว์ปีศาจอยู่มากน้อยเท่าไหร่ บัดนี้ที่เจ้าส่งมายังมีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ข้าบอกแล้วนี่ว่าเมื่อใดที่โลกเทพส่งสัตว์ปีศาจทั้งหมดกลับมาให้ ถึงตอนนั้นข้าค่อยพิจารณาเรื่องสงครามอีกที”
“เจ้ามีหลักฐานอันใดยืนยันว่าจำนวนพวกนี้เป็นเพียงครึ่งเดียว ข้าว่าเจ้าก็แค่กำลังหาข้ออ้างเท่านั้นเอง!” เทพอี๋เยว่กล่าวอย่างโมโหทันที
ซ่งอิงยิ้มเยาะหยัน
ไม่ตอบเขาแต่อย่างใด
นางคิดว่าด้วยฐานะของนาง ยังไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายข้อเท็จจริงกับเทพระดับเสินจวินผู้นี้
“นำตัวเทพอี๋เยว่ไปขุดเหมือง” ซ่งอิงกล่าวอย่างเย็นชา
สิ้นคำ นางก็ไม่ลืมผนึกพลังเทพของเทพอี๋เยว่เอาไว้เสร็จสรรพ
เมื่อมายังโลกปีศาจ หากต้องการใช้พลังเทพ มากสุดก็ใช้ได้เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น ไม่ว่าเทพอี๋เยว่ผู้นี้ทรงพลังเพียงใด ซ่งอิงเองก็มีความสามารถพอที่จะทำให้เขามีความทุกข์ยากลำบากแต่บอกใครไม่ได้
“จู๋อิ๋ง! เจ้าไม่รักษาคำพูด!” เทพอี๋เยว่ตะโกนต่อว่า
เขามาเพื่อส่งตัวสัตว์ปีศาจ ไม่ใช่มาขุดเหมืองเสียหน่อย!
เทพอี๋เยว่ถูกคนลากตัวออกไปทันที
นอกจากตำหนักใหญ่โตของซ่งอิงแห่งนี้ ตลอดทางมานี้เขาก็เห็นทิวทัศน์ของโลกปีศาจ ซึ่งสร้างความตกตะลึงระคนประหลาดใจเป็นอย่างมากจริงๆ
สภาพแวดล้อมของโลกปีศาจคล้ายกับขุนเขาเซียนในโลกเทพ แน่นอนว่าเขาก็รู้เช่นกันว่าสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตอยู่ของปีศาจแต่ละชนิดแตกต่างกัน บ้างก็ชอบอยู่กับทราย บ้างก็ชอบอยู่กับน้ำ ดังนั้นโลกปีศาจนี้ก็น่าจะมีการแบ่งเป็นหลายเขตพื้นที่เช่นกัน
เขานึกว่าโลกปีศาจเพิ่งปรากฏตัวจึงน่าจะยังไม่มีสัตว์ปีศาจมากนักถึงจะถูก
แต่มองไปตลอดเส้นทางนี้ พบว่ามีไม่น้อยเลยทีเดียว
บินอยู่บนท้องฟ้า แหวกว่ายอยู่ในน้ำ…
“นี่เป็นสัตว์พาหนะของเทียนจุนนี่…” เทพอี๋เยว่ตาเฉียบแหลม มองเห็นสัตว์พาหนะที่ถูกขโมยมาจากโลกเทพตัวหนึ่ง จึงเกิดความตกตะลึงระคนประหลาดใจในทันที
[1] ทัศนคติทั้งสาม (三观) ได้แก่ ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิตและทัศนคติต่อคุณค่า