ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 9 บทที่ 260 นอนด้วยกันเถิด
แสงสีทองบนท้องฟ้าสะท้อนใบหน้าไม่เป็นมิตรของหลงเทียนอวี้
ใบหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีม่วง สายตาไม่เพียงอาบไว้ด้วยยาพิษ แต่กลับเจือไว้ซึ่งความรู้สึกไม่แยแสต่อสิ่งใด
“เจ้าเองก็รู้ว่าข้าควบคุมเขาไม่ได้ นี่ก็อีกเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกที่จะร่วมมือกับเจ้า”
หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาง่วงนอนมากจนเกินไป ป่านนี้นางคงสะดุ้งตื่นและตกใจจนตัวโยนแล้ว เหตุเพราะใบหน้าของชายตรงหน้าเหมือนกับซินหลีผู้โหดเหี้ยมที่นางเพิ่งพบเจอเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน
เพียงแค่ “ซินหลี” คนที่ยืนตรงหน้าหลงเทียนอวี้ในเวลานี้กลับเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ถ้ามองไม่ดีอาจจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนคนเดียวกัน
หลงเทียนอวี้เหลือบมองหลินเมิ้งหยา ขยับมุมผ้าห่มให้มิดชิด ก่อนจะพาชายคนดังกล่าวไปยังห้องนอนด้านนอก
แม้ฟ้าจะสว่างแล้ว แต่เพื่อให้หลินเมิ้งหยาได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลงเทียนอวี้จึงสั่งห้ามคนที่คอยรับใช้นางทั้งหมดมิให้เข้าไปรบกวนนาง
ฉะนั้นแม้ในตำหนักจะมีคนรับใช้เดินผ่านไปมา แต่เสียงฝีเท้าก็ไม่ต่างจากการย่องเบา
“ข้าไม่สนใจเรื่องของครอบครัวเจ้า แต่สิ่งเดียวที่ข้ารู้ก็คือน้องชายของเจ้าเกือบจะฆ่าชายาของข้า เช่นนี้จะให้ข้าคิดบัญชีเช่นไร?”
พี่ชายของซินหลี ไม่สิ บางทีอาจต้องเรียกว่าซินหลีตัวจริงจึงจะถูกต้อง เขาหยักยิ้มขมขื่นเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าน้องชายของเขาจะเลวร้ายถึงเพียงนี้
“เขาเป็นเงาของข้า ดังนั้นข้าย่อมต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่เขาก่อ แต่การที่ชายาของเจ้ารับเจ้าเด็กนั่นมาเลี้ยงต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่”
หลงเทียนอวี้นั่งบนเก้าอี้ สายตาจ้องมองชายผู้ตกลงทำความร่วมมือกันตรงหน้า เมื่อครึ่งเดือนก่อน ว่าที่ผู้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลซินผู้นี้ส่งคนมาทำสัญญากับเขา
นับตั้งแต่วันนั้นเขาจึงได้รู้ว่าเจ้าตระกูลซินทุกคนจำต้องมีพี่น้องที่เปรียบเสมือนตัวตายตัวแทนของตนเอง
ฉะนั้นคนที่พยายามจะฆ่าหลินเมิ้งหยาเมื่อครู่คือซินหมิงซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดของซินหลี ทว่าสุดท้ายเขาไม่ได้เห็นท่าทางเสมือนสัตว์ประหลาดของซินหลี
“ข้าไม่อาจรับปากว่าจะปล่อยให้เจ้าพาตัวเขาไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาเป็นลูกบุญธรรมอย่างถูกต้องของสกุลหลินแล้ว เจ้าเองน่าจะรู้จักนิสัยของเจิ้นหนานโหวดี น้องชายของเจ้าคือผู้ฉีกสัญญาระหว่างพวกเราก่อน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าควรจะทำคือพาคนของเจ้าออกไปจากต้าจิ้น”
หลงเทียนอวี้เคยเจอพวกเขาสองพี่น้องแล้ว
คนหนึ่งโหดเหี้ยมแต่กลับสง่างาม ส่วนอีกคนโหดเหี้ยมและทารุณ แม้จะมีใบหน้าเฉกเช่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นก็สามารถแยกพวกเขาจากลักษณะนิสัยได้
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุที่เขาทำสัญญาร่วมมือกับซินหลีก็เพราะอยากเพิ่มหนทางในการเอาชนะไท่จื่อ แต่เขาเองก็ไม่อยากถูกสองพี่น้องตลบหลังเช่นเดียวกัน
“พวกข้าจะไปอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการที่ข้าจะพาเจ้าเด็กนั่นไปด้วย นี่เป็นเรื่องของเมืองเลี่ยหยุนตี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกแซง”
ในเมื่อไม่อาจโน้มน้าวได้สำเร็จ สีหน้าและแววตาของซินหลีพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ราวกับว่าหากหลงเทียนอวี้พูดไม่ถูกใจเขาแม้แต่คำเดียว เขาก็พร้อมที่จะลงมือทันที
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะจ้องเขาเขม็ง
“ดูเหมือนน้องชายของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ คนของข้าเองก็กำลังลอบตามดูเขา หากน้องชายของเจ้าตาย เจ้าเองก็จะต้องตายตามเขาไปใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงของหลงเทียนอวี้ราวกับคำพูดติดตลกอันแสนโหดร้าย
เขาหาใช่คนใจกว้าง เมื่อถูกคุกคาม ความตายย่อมเป็นจุดจบที่อีกฝ่ายสมควรจะได้รับ
เขากอดอก ท่าทางไร้ซึ่งความกังวล แม้ว่าคนตรงหน้าเขาจะไม่ต่างอันใดจากงูเห่าที่พร้อมจะแว้งกัดก็ตาม หากคิดจะร่ายรำกับงูพิษ เช่นนั้นจำต้องถอดเขี้ยวของมันออกมาก่อน
“เจ้า…น้องชายของข้าหาใช่คนธรรมดา พวกเจ้าอย่าได้ทำให้เขาขุ่นเคืองจะดีกว่า มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องถูกแผดเผาจนวอดวาย”
ซินหลีรู้สึกกระสับกระส่ายตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว นับตั้งแต่วันที่ออกจากเมืองเลี่ยหยุนตี้มา เหตุเพราะซินหมิงมิได้รับยาตามเวลาที่กำหนด ดังนั้นร่างกายของเขาจึงยิ่งย่ำแย่ลง
หากเขากลับไปไม่ถึงบ้านแล้วล่ะก็ เกรงว่าซินหมิงคงจะมอดม้วยมรณาอยู่ที่ต้าจิ้นแห่งนี้
แม้สกุลซินจะตั้งความหวังไว้กับพวกเขาสองพี่น้องมาก แต่คนที่เหล่าผู้อาวุโสทาบทามตัวไว้ในการสืบทอดตำแหน่งก็ไม่ได้มีเพียงพวกเขาทั้งสอง
หากเกิดเรื่องกับซินหมิงขึ้นมา เช่นนั้นเขาเองก็ต้องพบกับจุดจบที่ไม่สวยเช่นเดียวกัน
“ข้ารู้เรื่องนี้ดี ฉะนั้นเจ้าจงตัดสินใจให้รอบคอบว่าจะกลับไปรับการสืบทอดตำแหน่งแต่โดยดีหรือจะอยู่ที่นี่กับซินหมิง ถึงอย่างไรต้าจิ้นของพวกข้าก็มีที่กว้างขวางพอจะฝังร่างของพวกเจ้า”
คำขู่ของหลงเทียนอวี้ทำให้ซินหลีรู้สึกกระวนกระวายยิ่ง
แม้ซินหมิงจะเป็นกู่เหริน แต่ทุกครั้งที่ร่างกายเขาระเบิดออก ความร้ายแรงอาจหมายถึงชีวิต หากชีวิตของเขาจบลง ตัวเขาเองก็คงต้องถูกฝังตามกันไปด้วย
เมื่อเทียบกับความเป็นความตาย ตัวเลือกแรกย่อมดีที่สุด แม้จะไม่ยินยอมแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับไป
“ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าอย่าได้คิดทำสิ่งใดภายใต้การดูแลของข้า คนที่เจ้าส่งไปลอบสังหารหลินจงอวี้ล้วนกลายเป็นปุ๋ยหมดแล้ว ฉะนั้นเจ้าจงจากไปเงียบๆ จะดีที่สุด”
หลงเทียนอวี้มองแผ่นหลังของซินหลี เห็นได้ชัดว่ามันสั่นไหวเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเขากลับไม่หันหน้ามาอีก แล้วสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
สองพี่น้องซินหมิงและซินหลีทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
แม้จะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ถึงกระนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องนอนของหลินเมิ้งหยาโดยไม่รู้ตัว มองดูร่างบางที่นอนขดอยู่ที่มุมหนึ่ง หลงเทียนอวี้แหวกผ้าห่มออกแล้วเข้าไปโอบกอดร่างบางเอาไว้เพื่อรับสัมผัสอันแสนอบอุ่นจากร่างกายนุ่มนิ่มของนาง
จมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นกลิ่นกายประจำตัวหญิงสาวคนนี้ เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ความเหนื่อยล้าพลันแล่นพล่าน หลงเทียนอวี้ปิดเปลือกตาของตนเองลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา
แต่ไหนแต่ไรหลินเมิ้งหยานอนหลับได้ไม่ดีนัก เหตุเพราะสมองของนางประมวลผลตลอดเวลา
หลังจากทำการปลูกถ่ายคลื่นสมอง นางนอนหลับได้ไม่นานนัก ส่วนใหญ่มักจะมีเสียงเรดาร์ในสมองร้องเตือน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด วันนี้นางจึงหลับจนฟ้าสว่างจ้า
สติสัมปชัญญะมักจะตื่นก่อนสมองเสมอ หลังจากหลินเมิ้งหยาตั้งสติได้ว่าตนเองหลับสนิทตลอดทั้งคืน จู่ๆ นางก็นึกถึงคำพูดของอาจารย์ในโลกปัจจุบันขึ้นมาได้
“สมองเป็นอวัยวะที่น่าพิศวงที่สุดของมนุษย์ แม้การแพทย์ปัจจุบันจะก้าวหน้า แต่กลับไม่มีเครื่องจักรหรือสิ่งใดอัจฉริยะเกินกว่าสมองมนุษย์ เรดาร์ตัวนี้ใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์อันซับซ้อนในการรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้คล้ายคลึงกับการทำงานของสมอง ดังนั้นประโยชน์ของมันก็คือช่วยพัฒนาสมองให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น หากวิทยาการในคราวนี้สำเร็จเมื่อไร การพัฒนาคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนไม่อาจหยุดยั้ง”
หรืออาจพูดได้ว่าอันที่จริงเรดาร์ในสมองของนางเป็นเพียงหนึ่งในการทำงานขั้นพื้นฐานแต่เพียงเท่านั้น
เดี๋ยวก่อน เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนเอวของตนเองกำลังแบกแขนของใครอยู่กันเล่า?
หลินเมิ้งหยาลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาซึ่งกำลังหลับสนิท
ขนตายาวเป็นแพ ริมฝีปากหนาเล็กน้อยปิดสนิท หลินเมิ้งหยามองดูอย่างถี่ถ้วน เขานอนหลับโดยไม่มีน้ำลายไหลเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว
และแน่นอนว่าชายตรงหน้าคือหลงเทียนอวี้
แต่…เหตุใดเขาจึงมานอนอยู่บนเตียงของนางกันเล่า?
“กรี๊ด…ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ! หลงเทียนอวี้ ไอ้คนฉวยโอกาส ยังจะมีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชายอกสามศอกอีกหรือยังไง!”
หลินเมิ้งหยาระเบิดอารมณ์ออกมา ใบหน้าแดงระเรื่อ ชี้นิ้วเรียวยาวไปทางหลงเทียนอวี้ ปากร้องตะโกนเสียงดัง
เขา เขา เขา เขา…หลินเมิ้งหยาก้มลงมองเสื้อผ้าของตนเอง ยังดีที่มีอยู่ครบทุกชิ้น แต่นี่หาใช่เรื่องใหญ่ แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือเหตุใดหลงเทียนอวี้จึงมานอนอยู่กับนางเช่นนี้
ขนตายาวกระเพื่อมเล็กน้อย หลงเทียนอวี้ตื่นจากการหลับใหล ราวกับว่ายังคงรู้สึกง่วงอยู่อีกเล็กน้อย หลังจากหันหน้ามามองหลินเมิ้งหยาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นนั่ง
“เมื่อคืนข้าเหนื่อยมาก ขออภัย”
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเพราะเพิ่งตื่นนอน ความเย้ายวนแผ่ซ่านออกมา หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองไม่ต่างอันใดจากลูกแมวที่ถูกปลอบโยน
“เมื่อคืน…โอ้ ข้าจำได้แล้ว หลงเทียนอวี้ ข้าจะบอกเจ้าว่าอันที่จริงซินหลีเขา….”
“พี่สาว พี่สาว ท่านตื่นแล้วหรือไม่?”
ขณะที่คิดจะเล่าเรื่องซินหลีให้ฟัง เสียงของหลินจงอวี้พลันดังขึ้นมาจากทางด้านนอก
จริงสิ เสี่ยวอวี้ยังไม่รู้เรื่องที่ซินหลีเกือบจะฆ่านาง ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่อยากให้เสี่ยวอวี้รับรู้
“รับปากกับหม่อมฉันว่าพระองค์จะไม่เล่าเรื่องที่หม่อมฉันเกือบถูกซินหลีสังหารให้เสี่ยวอวี้ฟัง มิเช่นนั้นเขาจะต้องโทษตัวเองอย่างแน่นอนเพคะ”
ก้มหน้า ส่งเสียงเบา หลงเทียนอวี้ไม่ลังเลเลยที่จะพยักหน้ารับ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงผุดยิ้มกว้าง
อ้อมตัวหลงเทียนอวี้ไป หลินเมิ้งหยาวิ่งไปเปิดประตูห้อง
เขาเอนกายลงนอนบนเตียงอุ่นๆ อีกครั้ง จมูกสูดดมกลิ่นกายประจำตัวของหลินเมิ้งหยาซึ่งยังคงติดอยู่บนที่นอน
หลงเทียนอวี้ผงะ ดูเหมือนเมื่อครู่เขาจะตกปากรับคำกับหลินเมิ้งหยาโดยมิได้ไตร่ตรองอะไรเลยแม้แต่น้อยอีกครั้งแล้ว
หลินเมิ้งหยาเปิดประตู ก่อนที่ร่างบางจะถูกดึงไปสวมกอด
“พี่สาว ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
หลินจงอวี้ส่งเสียงอู้อี้บนบ่าของนาง ร่างของเขาสั่นเทิ้ม
ตบบ่าของหลินจงอวี้เบาๆ ป๋ายซูเอ่ยว่าทั้งห้าคนนั้นล้วนเป็นองครักษ์ประจำตัวของหลินจงอวี้ แม้ซินหลีจะกำลังโจมตีนาง แต่ทางเสี่ยวอวี้เองก็ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นเดียวกัน
“ข้าไม่เป็นไร ก็แค่พวกนักเลงหัวไม้สองสามคนเท่านั้น ข้ามีเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อยู่ด้วย จะมีใครทำร้ายข้าได้กัน?”
หลินจงอวี้เงยหน้ามองดูพี่สาว
เมื่อคืนเขาสูญเสียกำลังพลไปมาก แม้แต่เหล่าองครักษ์ที่ภักดีก็ล้วนตายด้วยน้ำมือของคนคนนั้น เพียงได้เห็นเหล่าองครักษ์ที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาเพื่อปกป้องอย่างไม่กลัวตาย เขารู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเองเย็นเฉียบ
“พี่สาว ข้ามีเรื่องอยากบอกท่าน”
ราวกับเขาได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่างเอาไว้แล้ว สีหน้าของหลินจงอวี้จึงเคร่งขรึมขึ้นมา
“เรื่องอะไรกัน? ร้ายแรงหรือไม่?”
หลังจากหลินจงอวี้แอบชำเลืองมองนางเล็กน้อย เขาจึงปริปากเอ่ย
“คนพวกนั้น…ข้าหมายถึงคนที่คอยปกป้องข้า พวกเขา…อยากให้ข้ากลับบ้านเมือง”