ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 233 นางต้องเข้าวัง
การที่สกุลหลินถูกจับตามองเช่นนี้มิใช่เรื่องดี
หากมิใช่เพราะท่านพี่และท่านพ่อปกป้องสกุลหลินอย่างเข้มงวด เกรงว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาแทนที่สกุลหลินไปแล้ว
ฮ่องเต้ที่มีฐานะเป็นพ่อสามีของนางไม่ได้นั่งบัลลังก์มานานแล้ว ตอนนี้อำนาจทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของฮองเฮาและไท่จื่อ
แม้ท่านพ่อจะแต่งงานกับน้องสาวแท้ๆ ของฮองเฮา แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิเคยฝักใฝ่อยู่ฝ่ายเดียวกับไท่จื่อ ตอนนี้นางเองก็แต่งงานกับหลงเทียนอวี้ ฮองเฮาและไท่จื่อจึงรู้สึกเกรงว่าจะควบคุมไม่อยู่ ดังนั้นจึงคิดจะกำจัดสกุลหลินให้สิ้นซาก
หากพวกเขาไม่ได้ไปเป็นพวก เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้พวกท่านพ่อไปเป็นพวกเดียวกับคนอื่นเช่นเดียวกัน
ฮองเฮาและไท่จื่อพยายามทำดีกับสกุลหลินมาโดยตลอด แต่เพราะท่านพ่อปฏิเสธมาแล้วหลายปี พวกเขาจึงส่งนางไปแต่งงานกับหลงเทียนอวี้เพราะคิดจะทำลาย
อันที่จริงนางเข้าใจเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว
หากนางตายตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเกี้ยว ท่านพ่อและท่านพี่ก็จะมาถามหาความรับผิดชอบเอาจากจวนอวี้
เมื่อถึงเวลานั้นฮองเฮาและไท่จื่อก็จะเป็นฝ่ายออกหน้าแทน
เพื่อปลอบโยนขุนนางเก่า พวกเขาต้องแสดงให้เห็นว่าตนเองมีประโยชน์กับท่านพ่อ อีกทั้งยังยืมมือของท่านพ่อสังหารหลงเทียนอวี้อีกด้วย
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่น่าเสียดาย นางที่มาจุติใหม่ในร่างนี้กลับทำให้แผนการของพวกเขาปั่นป่วน แม้แต่ท่านพ่อและท่านพี่เองก็เริ่มเอนเอียงมาทางหลงเทียนอวี้
เกรงว่าทางฝั่งฮองเฮาก็คงร้อนใจไม่น้อย
“เจ้าเด็กน้อย อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่า…เจ้าอย่าเป็นชายาอวี้อีกต่อไปเลย เจ้าลองดูสภาพตัวเองเถิด ตอนนี้หน้าของเจ้าซูบตอบกว่าเดิมมาก”
เอนกายนอนลงบนตั่งตรงข้ามหลินเมิ้งหยา นิ้วมือเรียวยาวของชิงหูยื่นเข้าไปหยิกแก้มของนาง
เอี้ยวตัวหลบ หลินเมิ้งหยายิ้มแล้วส่ายหน้า
“ข้าสามารถไปจากหลงเทียนอวี้ได้ แต่ข้าไม่อาจหลบเลี่ยงสกุลหลินได้ เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่เหนื่อยที่สุด พูดมาสิว่าอยากได้อะไรตอบแทน ข้าจะเติมเต็มความต้องการของเจ้าเอง”
ยากนักที่หลินเมิ้งหยาจะรับปากเช่นนี้ เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ดวงตาของเขาจึงเปล่งประกาย
ชิงหูครุ่นคิด ท้ายที่สุดก็เสนอขึ้นมา
“เจ้าเด็กน้อย ข้าได้ยินมาว่าอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีการเปิดประมูลในเจียงตู ซ้ำยังมีของมากมายถูกส่งมาขาย เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าไปเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนก็จะเป็นช่วงปีใหม่ เจียงตูเองก็อยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล
“ได้ ถึงอย่างไรตอนสิ้นปีข้าก็อยากพาพวกเจ้าไปเที่ยวอยู่แล้ว ถือเสียว่าเป็นโบนัสประจำปีก็แล้วกัน”
ชิงหูเลิกคิ้วสูง มองดูเด็กน้อยของตนเอง ท่องเที่ยวคืออะไร? โบนัสประจำปีคือสิ่งใดกัน?
ส่ายหน้า ตอนแรกเขาคิดอยากไปกับเจ้าเด็กน้อยเพียงลำพัง แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…
แต่ว่า..แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ขอเพียงเจ้าเด็กน้อยไปด้วยก็พอ
หลังจากจัดการสวีมามาและจิ่นซู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตำหนักของหลินเมิ้งหยาจึงกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
คราวนี้นางได้กำจัดพวกผอจื่อหน้าไหว้หลังหลอกออกไปด้วย คราวนี้ตำหนักของนางก็จะมีแต่คนที่สามารถไว้ใจได้
หลังจากยุ่งมาตลอดวัน เมื่อถึงเวลาดึก หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง นางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดจีนสีชมพูอ่อน
ดึงปิ่นปักผมออก เส้นผมตรงยาวสีดำขลับปล่อยสยาย นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ในมือถือหนังสือ ท่าทางเสมือนแม่บ้านธรรมดาแต่กลับน่าเกรงขาม
สวนในตำหนักหลิวซินได้ชิงหูและหลินจงอวี้เข้าไปจัดการดูแลอีกครั้ง จนในที่สุดก็กลับมาสวยงามดั่งเดิม
ต่อให้อากาศด้านนอกหนาวเหน็บขนาดไหน ทว่าภายในตำหนักกลับอบอุ่นไร้ซึ่งความเย็นยะเยือก
ไม่รู้ว่าพวกเขาไปหาฉากกั้นมาจากที่ไหน พวกเขาวางเอาไว้ในห้อง แน่นอนว่ามันมีไว้สำหรับกันลม
“ข้าขอใส่ฟืนเพิ่มหน่อยนะเจ้าคะ นายหญิงจะได้อ่านหนังสือโดยไม่เจ็บตา”
ป๋ายจีเองก็เหมือนกันกับหลินเมิ้งหยา นางสวมเพียงชุดจีนสีขาว ผมถูกปล่อยลงมา ในมือถือกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้
“เจ้าอย่ายุ่งยากอีกเลย มานั่งนี่เถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
หลินเมิ้งหยาวางหนังสือในมือลง ความลับระหว่างนางและป๋ายซ่าวเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่ป๋ายจีที่เป็นคนละเอียดรอบคอบกลับสังเกตเห็น
ฉะนั้นการที่นางจะมีปมในหัวใจจึงเป็นเรื่องปกติ
“นายหญิงมีอะไรหรือเจ้าคะ?”
มองดูสายตาที่แฝงไว้ซึ่งความเชื่อใจในตัวเอง หลินเมิ้งหยาไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงเล่าให้นางฟัง
“อันที่จริงที่ข้าไม่บอกเจ้าก็เพราะไม่อยากให้ป๋ายซ่าวต้องเสี่ยงเลยแม้แต่น้อย นางเข้าไปเป็นหนอนบ่อนไส้ อันที่จริงนางต้องเผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายกว่าเรามาก ป๋ายจี เจ้าอย่าได้โทษนางเลย เรื่องนี้โทษข้าเถิด”
อันที่จริงคืนนี้ป๋ายซูต้องเข้ามาทำหน้าที่ดูแลนายหญิง แต่นางขอเปลี่ยนเวร อีกทั้งยังบอกอีกว่านายหญิงมีเรื่องต้องการอธิบาย แล้วแบบนี้หัวใจของป๋ายจีจะมีความโกรธเกรี้ยวหลงเหลืออยู่ได้อย่างไร
การได้รับใช้นายหญิงเช่นนี้มิใช่เรื่องขาดทุน
“จริงสิ ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากให้เจ้าไปทำ แต่ว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ นอกจากข้าและเจ้าแล้ว ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด”
หลินเมิ้งหยาแอบกำชับที่ข้างหูของป๋ายจี ป๋ายจีจึงหันไปมองนางด้วยแววตาฉงน
“เจ้าค่ะ นายหญิงโปรดวางใจ ข้าจะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
ด้านนอก ตอนนี้หิมะตกลงมาอย่างหนัก หลินเมิ้งหยายืนพิงหน้าต่าง ตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง
จู่ๆ ประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออก ร่างที่ต้องแสงจากโคมไฟส่องปรากฏขึ้นในลานสายตาของหลินเมิ้งหยา
ผอจื่อซึ่งเป็นผู้เปิดประตูรีบเข้ามาเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท
“นายหญิง ท่านอ๋องเสด็จเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครสามารถเข้ามาสั่นคลอนตำแหน่งของหลินเมิ้งหยาได้อีกแล้ว
จวนแห่งนี้จำต้องมีนายหญิง แต่นายหญิงเพียงคนเดียวที่หลงเทียนอวี้ยอมรับก็คือหลินเมิ้งหยา
“ด้านนอกอากาศเย็น เชิญท่านอ๋องเสด็จเถิดเพคะ”
ดึกขนาดนี้แล้วแท้ๆ หลงเทียนอวี้มาทำอะไรกันนะ?
ป๋ายจีเปิดประตูห้อง หลงเทียนอวี้ที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวหนาสีดำเดินเข้ามาภายใน
บรรยากาศในตำหนักหลิวซินอบอุ่นกว่าตำหนักฉินหวู่ของเขามาก
“ตอนนี้ข้างนอกอากาศหนาว เชิญท่านอ๋องทำตัวให้อุ่นก่อนเถิดเพคะ”
ป๋ายจียกเตาเล็กเข้ามา ถ่านที่จุดภายในส่งกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ
“นายหญิงของเจ้านอนแล้วหรือ?”
สีหน้าเรียบเฉย ทว่าดวงตากลับเป็นกังวล
ป๋ายจีส่ายหน้า ก่อนจะชี้ไปที่ห้องนอน
“นายหญิงยังไม่นอนเจ้าค่ะ เชิญท่านอ๋อง”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลงเทียนอวี้จึงต้องการเข้าไปหาหลินเมิ้งหยาในยามวิกาลเช่นนี้
เหล่าสาวใช้ถูกสั่งให้อยู่ด้านนอก หลงเทียนอวี้ถอดเสื้อคลุมออกแล้วเข้าไปในห้อง
กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้หัวใจสงบลงไม่น้อย ภายในห้องหญิงสาวสวมใส่ชุดสีชมพูนั่งอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อชื่นชมหิมะ
“อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น เจ้ามิกลัวหนาวหรือ?”
คำพูดเป็นห่วงเป็นใยหลุดออกมาจากปากของเขาโดยไม่มีเหตุผล หลงเทียนอวี้รู้สึกว่านี่หาใช่เรื่องผิดเพราะพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน…มิใช่หรือ?
“ไม่กลัวเพคะ ห้องนี้อุ่นมากเสียจนหม่อมฉันกลัวจะร้อนตายอยู่แล้ว ท่านอ๋องมีเรื่องร้อนใจอันใดหรือเพคะ? เหตุใดจึงเสด็จมาด้วยตนเองยามวิกาลเช่นนี้?”
นับตั้งแต่วันที่แต่งงานเข้าจวนมา น้อยครั้งนักที่หลงเทียนอวี้จะมาหานางตอนกลางคืน
พวกเขาใช้ชีวิตเสมือนเพื่อนที่อยู่ในจวนเดียวกัน เขามีชีวิตของเขา นางเองก็มีชีวิตของนาง
เพียงแต่ทั้งคู่ไม่เคยสังเกตเลยว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรจากแม่เหล็กที่พร้อมจะดึงดูดหากันตลอดเวลา
“ไม่มีอะไร…ก็แค่ ที่วังส่งข่าวมาว่าอาการประชวรของเสด็จพ่อรุนแรงมากขึ้น”
เสด็จพ่อประชวรจนลุกไม่ขึ้น
หลงเทียนอวี้หันหน้าไปทางวังหลวง เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เจอเสด็จพ่อมานานเพียงใดแล้ว
“เป็นไปได้อย่างไรเพคะ? ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันได้เจอกับหมอชิว เขาบอกว่าอาการของฮ่องเต้คงที่แล้ว เหตุใดเพียงชั่วเวลาสั้นๆ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้?”
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน เท่าที่นางรู้ ร่างกายของฮ่องเต้ค่อนข้างแข็งแรงมาก
แต่เพราะอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย กอปรกับอายุที่มากขึ้น ดังนั้นอาการประชวรจึงทรุดหนัก
ยาที่หมอหลวงจ่ายให้ล้วนเป็นยาบำรุงที่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“ข้าเองก็ไม่ทราบ ข้าถามหมอหลวงแล้ว แต่ไม่มีใครตอบข้าได้ ตอนนี้วังหลวงถูกฮองเฮาควบคุมอย่างเข้มงวด แม้แต่ข้าเองก็ไม่ได้รับข่าวจากเสด็จพ่อ”
ดวงตาเผยให้เห็นร่องรอยของความเจ็บปวด
เขาเป็นลูกชาย เมื่อเห็นว่าพ่อของตนเองเจ็บป่วยแต่ไม่มีทางรักษา ความเจ็บปวดจึงแล่นพล่านในใจ
หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ว่าชายคนนี้กำลังเจอปัญหาที่ยากเกินจะแก้
สมองพลันเกิดความคิดอาจหาญอย่างหนึ่งขึ้น หรือเพราะอาการเจ็บป่วยของฮ่องเต้มิใช่อาการเจ็บป่วยปกติ?
“เช่นนั้นให้หม่อมฉันไปดูพระอาการของฮ่องเต้แทนพระองค์ดีหรือไม่เพคะ?”
หลินเมิ้งหยาเองก็ตกตะลึงกับความคิดนี้ นางครุ่นคิด ฮ่องเต้กับท่านพ่อเองก็สนิทชิดเชื้อกันไม่น้อย หากฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ เช่นนั้นเรื่องนี้จะส่งผลดีต่อสกุลหลิน
อย่างน้อยก็คงไม่มีใครลงดาบสังหารสกุลหลินอย่างแน่นอน
“ไม่ได้ แม้เจ้าจะมีความรู้เรื่องยา แต่ขนาดหมอหลวงยังไม่มีทางรักษาอาการประชวรของเสด็จพ่อ แล้วเจ้าจะมีวิธีการรักษาอย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง ฮองเฮากับไท่จื่อกำลังเพ่งเล็งเจ้าอยู่ หากเจ้าเข้าวัง…หากว่า…หากว่า…เกิดอันตรายขึ้นมา ข้าจะนิ่งนอนใจได้อย่างไร”
หลงเทียนอวี้ปฏิเสธด้วยความจริงใจ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยิ่งแสดงสีหน้ามุ่งมั่น
“เหตุเพราะหม่อมฉันมีความรู้เรื่องยา ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปดูพระอาการของฮ่องเต้ได้ว่าตกลงพระองค์ประชวรด้วยสาเหตุอันใด ไท่อีเหล่านั้นล้วนเป็นหมอที่ทำได้เพียงฟื้นบำรุงกำลัง มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะได้รักษาอาการของฉินมั่วหรือเพคะ?”
หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด อันที่จริงคำพูดของหลินเมิ้งหยาใช่จะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
บางทีหมอหลวงเหล่านั้นอาจจะเคยชินกับโรคทั่วไป ดังนั้นอาการของเสด็จพ่อจึงยังไม่ดีขึ้น
“แต่มีเรื่องยากอีกหนึ่งเรื่องเพคะ แม้ตอนนี้หม่อมฉันจะได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ของฮ่องเต้ แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจเข้าวังได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ท่านอ๋องเองก็ไม่อาจเข้าไปหาฮ่องเต้ได้ แล้วหม่อมฉันจะมีโอกาสได้อย่างไร?”
ความหวังที่มีพลันดับลง ขณะเดียวกันหัวใจของหลงเทียนอวี้เสมือนถูกแช่ในน้ำเย็นจัด