ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 218 เก็บยากลับมา
“ขอบพระทัยพระชายา”
หลินขุยไม่ลังเลเลยยามที่กินยาถอนพิษของหลินเมิ้งหยาเข้าไป สภาพการตายของคนเหล่านั้นน่าสยดสยองเกินไป
เหล่าสัตว์มีพิษในระยะสิบลี้ล้วนมารวมตัวกันที่นี่
กลิ่นคาวคละคลุ้ง แม้แต่ชายร่างกำยำยังอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเห็นจนชินเสียแล้ว นางจึงไร้ท่าทีหวาดกลัว
“ทูลท่านอ๋อง นอกจากคนที่พระชายาไว้ชีวิต คนอื่นๆ ล้วนตายหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หลินขุยอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้
ในใจของเขา พระชายาเป็นเพียงหญิงสาวหน้าตางดงามและฉลาดเฉลียวเพียงเท่านั้น
ทว่าตอนนี้หลินเมิ้งหยากลับเก่งกาจเกินมนุษย์
“พี่สาม เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลย พวกเรารีบกลับกันก่อนดีกว่า เกรงว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายจะเข้ามาแทรกเสียก่อน”
การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ทำให้แผนการของหลินเมิ้งหยายุ่งเหยิง
พวกเขาทำให้แม้กระทั่งคนของหลงชิงหานยังรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างอันตราย
ก็แค่ชีวิตของคนธรรมดาที่เสียไปเท่านั้น มิได้หมายความว่าชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายเสียเมื่อไหร่
“ไม่ได้! ข้าจะต้องไปเก็บยา! ชิงหู พวกเราไปกันเถิด”
ความหวังของพี่ชายอยู่ที่นาง
ยิ่งไปกว่านั้น นั่นหาใช่เพียงการตายของฉินมั่ว แต่ยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสกุลหลิน
ฉะนั้นนางทำได้เพียงเดินหน้า จะไม่มีวันยอมถอยหลังเด็ดขาด
“ไม่ได้ แม้เจ้าจะไปเพียงคนเดียวแต่ก็ยังไม่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้น หากถูกจับตัวไประหว่างทางจะเป็นเช่นไร? อย่าลืมว่าเจ้าเป็นถึงพระชายา เจ้าหาใช่คุณหนูสกุลหลินอีกต่อไปแล้ว”
หลงชิงหานขวางหน้าหลินเมิ้งหยาเอาไว้ แม้ผู้หญิงคนนี้จะเป็นเพียงก้อนหินขวางหูขวางตาในสายตาของพวกเขา แต่ถึงกระนั้นนางก็เปรียบเสมือนอัญมณีที่ยังมิถูกเจียระไน
สกุลหลินและความสามารถทางด้านยาพิษล้วนเกี่ยวข้องกับนาง
อย่างน้อยนางก็สมควรได้รับการดูแลในฐานะอาวุธชิ้นหนึ่ง
“เข้ามา พาพระชายากลับ!”
ออกคำสั่งให้พาหลินเมิ้งหยากลับไป
ทว่าชิงหูแค่นหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะเข้ามายืนบังหลินเมิ้งหยาเอาไว้
“คิดจะแตะต้องเจ้าเด็กน้อยของข้า เช่นนั้นต้องข้ามศพข้าไปก่อน พวกเจ้าคิดหรือว่าจะเอาชนะข้าได้?”
คนธรรมดามิอาจต่อกรกับชิงหูได้
ทว่าหลงชิงหานกลับหัวเราะเสียงเย็น ราวกับไม่เห็นเขาในสายตา
เจ้านายเก่าของเถาฮวาอู๋ หลินเมิ้งหยาคนนี้มีความสามารถยิ่งนัก
เมื่อก่อนเขาประมาทนางเกินไป
“ฮึ ได้ เช่นนั้นก็ลองดู”
เมื่อครู่เพิ่งจะจัดการศัตรูภายนอก คราวนี้ต้องมาจัดการศัตรูภายใน
หลินเมิ้งหยารีบเข้ามาขวางหน้าชิงหู ทุกคนจึงต้องหยุดการกระทำลง
“หากข้าบอกว่าไป เช่นนั้นก็ต้องไป ข้ารับปากกับท่านพี่แล้ว หากข้าทำให้ใครต้องลำบากใจ เช่นนั้นจงเอาศพของข้าไปแทนเถิด!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าความมุ่งมั่นของหลินเมิ้งหยาจะแรงกล้าถึงเพียงนี้
มีดเล่มเล็กส่องประกายแวววาวแนบเข้าที่ลำคอของตนเอง หากนางแทงเข้าไปแม้เพียงนิดเดียว ชีวิตของนางคงจบสิ้น
สายตาเย็นชากวาดมองไปทุกคน
หากนางไม่อาจรักษาฉินมั่วได้ เช่นนั้นพี่ชายจะต้องหมดกำลังใจในการสั่งการทหารต่อไปอย่างแน่นอน
เช่นนั้น นางยอมตายเพื่อปกป้องท่านพี่
“ข้าจะไปกับเจ้า”
มือหนาคว้าเข้าที่มือเล็ก
หยิบมีดเล่มนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง
สีหน้าไร้ความรู้สึก ทว่าดวงตากลับสุขุม
เขารับปากนางไปแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดเช่นไรเขาก็ต้องทำให้ได้
“ท่านอ๋อง! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าน้อยจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
หลินขุยเป็นคนแรกที่ออกมาห้าม ทว่าหลงเทียนอวี้ไม่พูดอะไรอีก เพียงผิวปากส่งสัญญาณ ม้าประจำตัวก็วิ่งปรี่เข้ามาหาทันที
หลงเทียนอวี้กระโดดขึ้นหลังม้า เหลือบมองสีหน้าลำบากใจของหลงชิงหาน เอี้ยวตัวแล้วขี่ม้าออกไป
“เสี่ยวอวี้ พวกเราไปกันเถอะ”
ชิงหูเก็บดาบ ก่อนจะพาเสี่ยวอวี้ขี่ม้าประจำตัวของพวกเขาไล่ตามหลินเมิ้งหยาไป
“อ๋องเจ็ด พวกเราต้องไปปกป้องท่านอ๋อง รบกวนท่านพาผู้ชายคนนั้นกลับไปคุมขังที่เมืองหลวงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
มองดูโดยไม่ส่งเสียง หลงชิงหานฝืนพยักหน้า
ดูเหมือนป๋ายหลี่อู๋เฉินจะพูดถูก
หลินเมิ้งหยาคือปัจจัยที่ไม่อาจคาดเดาได้สำหรับภารกิจใหญ่ของพวกเขา
“ขอบพระทัยเพคะ”
แสงอาทิตย์สาดส่องเส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าไป เมื่อคืนหิมะตกหนัก เมื่อถูกแสงแดดกระทบเข้าจึงทำให้แสบตาเล็กน้อย
หากมิใช่เพราะร่างกายของนางและหลงเทียนอวี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ภาพตรงหน้าคงงดงามอย่างยิ่ง
“แผลของเจ้าเป็นเช่นไร?”
แม้จะพยายามปกปิดแล้ว ทว่าหลงเทียนอวี้กลับมองเห็นบาดแผลที่แขน
ยิ่งไปกว่านั้น บนเสื้อผ้าและใบหน้ามีคราบเลือดติดอยู่
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ท่านอาจารย์มอบยาให้หม่อมฉันพกติดตัวเอาไว้ ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้วเพคะ”
หลินเมิ้งหยายกแขนของตนเอง ผลปรากฏว่าบาดแผลตรงแขนมีผงยาสีขาวทาทับเอาไว้แล้ว
หลงเทียนอวี้พยักหน้า ตอนนี้คงทำได้เพียงเท่านี้
“ต่อจากนี้ไปอย่านำยาที่ป๋ายหลี่รุ่ยให้เจ้าออกมาใช้ง่ายๆ อีก”
ยาพิษเปรียบเสมือนอาวุธสังหารในสายตาของศัตรู
แต่ในสายตาผู้อื่นกลับเป็นเสมือนโอกาสอันดีที่ไม่อาจเสียไป
เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าสาเหตุที่พาตัวป๋ายหลี่รุ่ยมาก็เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากสติปัญญาของเขา
แต่ตอนนี้เขาอยากใช้ความสามารถของตนเอง
“หม่อมฉันจะทำเช่นนั้นเพคะ วันนี้เพียงแค่ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินก็เท่านั้น”
เขากำลังตำหนินางหรือ? หลินเมิ้งหยาอดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้
ที่ตอนแรกนางไม่ใช้ก็เพราะกลัวจะทำให้คนของตัวเองบาดเจ็บ ฉะนั้นนางจึงรีบพลิกสถานการณ์แล้วดึงความสนใจพวกชายชุดดำเข้าไปในป่า ก่อนจะใช้ยาพิษชนิดนี้
อีกอย่าง แม้นางจะลงมืออย่างอำมหิต ทว่านางก็ยังมีสติมากพอที่จะไว้ชีวิตศัตรูเอาไว้
ทว่าเมื่อฟังจากน้ำเสียงของหลงเทียนอวี้แล้ว ดูเหมือนเขากำลังตำหนินางอย่างไรอย่างนั้น
ดูเหมือนความหวังดีจะกลายเป็นความประสงค์ร้ายไปเสียแล้ว นางก็แค่กลัวทุกคนจะได้รับบาดเจ็บแต่เพียงเท่านั้น
เมื่อพวกเขาโผล่มายังถนนอีกสายหนึ่ง เริ่มมองเห็นผู้คนประปราย
พวกเขามิได้ถูกโจมตีแต่อย่างใด หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง พวกเขามาถึงหน้าผานอกเมืองได้อย่างราบรื่น
หลินเมิ้งหยากระโดดจากหลังม้า รับดาบที่ชิงหูมอบให้ ก่อนจะฟาดฟันกองหิมะสูงหนา
“พวกเจ้าจงไปช่วยพระชายาแหวกทาง”
หลินขุยออกคำสั่ง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับร้องห้าม
“ข้าทำเองดีกว่า หากต้นสมุนไพรโผล่ออกมาแล้วถูกพวกเจ้าตัดทิ้ง ข้ากลัวจะหาอีกไม่เจอ”
เหตุเพราะหิมะที่ทับถมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการค้นหายาสมุนไพรจึงยิ่งยากกว่าเดิม
ยิ่งสายลมพัดกระโชก ใบหน้าและฝ่ามือของนางก็ยิ่งแดงก่ำ
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่สนใจแสวงหาความอบอุ่นในตอนนี้ คุกเข่าลงบนพื้นแล้วพยายามเฟ้นหาอย่างขะมักเขม้น
ท่านอาจารย์บอกว่าหญ้าชิงหลิงมักเกิดอยู่ในบริเวณหน้าผาสูงชัน จะต้องเป็นสถานที่ที่มีดินสองส่วนและหินแปดส่วน
นางอยู่ใกล้กับหน้าผามากขึ้นทุกที ชิงหูและหลินจงอวี้ขยับตัวเข้าใกล้นางเพื่อคอยปกป้อง
“ไอหยา! เจอแล้ว!”
ในที่สุดนางก็เจอหญ้าชิงหลิง หลินเมิ้งหยาผุดลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบริเวณที่นางกำลังยืนอยู่ใกล้หน้าผามากขึ้นทุกที
เหตุเพราะจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน อาการหน้ามืดพลันกำเริบ ร่างกายก้าวขยับไปข้างหน้าอย่างไม่ทันระวัง
“ระวัง!”
ชิงหูกระโดดเข้าไป หลินเมิ้งหยาที่กำลังจะตกจากหน้าผาถูกชิงหูดึงตัวกลับมาได้อย่างทันท่วงที
โอบกอดนางไว้ พวกเขากลิ้งหลุนๆ บนหิมะสีขาว หัวใจของทุกคนแทบกระเด็น
“เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!”
เมื่อเห็นว่าหลินเมิ้งหยายังอยู่รอดปลอดภัย คิ้วของชิงหูขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนส่งเสียงตำหนิหลินเมิ้งหยา
“ข้า…ข้าแค่ดีใจ”
จับแขนของชิงหูแน่น หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายของนางจะอ่อนแอถึงเพียงนี้
“แม้จะดีใจแต่ก็มิควรทำเช่นนี้ ข้าตกใจแทบตายเลยนะเจ้าเด็กน้อย”
ดีดหน้าผากหลินเมิ้งหยา ชิงหูไม่อยากเห็นนางต้องเสี่ยงอันตรายอีก
หลังจากการชี้นำของหลินเมิ้งหยา พวกเขาค่อยๆ เก็บหญ้าชิงหลิงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“เอาล่ะ ตอนนี้ได้ของครบแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิด”
หลินเมิ้งหยาค่อยๆ วางหญ้าชิงหลิงลงในห่อผ้าอย่างทะนุถนอม
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สายตาที่หลงเทียนอวี้มองนางจึงดูสับสน
“กลับค่าย”
หลงเทียนอวี้พาคนของตนเองหมุนตัวเดินจากไป
ทิ้งหลินเมิ้งหยาที่กำลังส่งยิ้มแข็งทื่อยืนอยู่กับที่
ผู้ชายคนนี้แปลกเหลือเกิน เพียงพริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นคนเย็นชา
“เจ้าเด็กน้อย มานี่เถิด มานั่งม้ากับข้า”
ชิงหูยื่นมือเข้ามาโอบตัวหลินเมิ้งหยาเข้าในอ้อมกอด
เมื่อสายลมเย็นพัดกระทบร่าง เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของหลินเมิ้งหยาเย็นเฉียบและแข็งทื่อ
หันไปมองทางหลงเทียนอวี้ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร หากเป็นไปตามการคาดเดาของเขา เช่นนั้นเขาจำเป็นต้องไปคุยกับหลงเทียนอวี้ดูสักตั้ง
ความโกรธปะทุขึ้นในใจ
หลงเทียนอวี้พยายามควบคุมลมหายใจของตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่าพิษของชายชุดดำเหล่านั้นจะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้
แขนของเขาเพียงแต่ถูกกรีดเล็กน้อย
ทว่าทั้งพละกำลังและกำลังภายในล้วนอันตรธานหายไป
ตอนที่หลินเมิ้งหยาตกอยู่ในอันตราย เขาคิดอยากพุ่งตัวเข้าไปช่วย แต่จู่ๆ เขาก็เกิดมึนหัวขึ้นมา
แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงกลับถึงเมืองหลวง เขายังมีวิธีรักษา
ขณะที่ทุกคนมิได้สนใจ สายตาเหลือบมองทางหลินเมิ้งหยา
เรื่องของหลินหนานเซิงทำให้นางลำบากมากพอแล้ว ตอนนี้เขาไม่ควรทำให้นางกังวล
ควบม้าอย่างรวดเร็วราวกับกำลังโบยบิน เส้นทางที่เคยต้องใช้เวลาเดินทางนานถึงสองชั่วโมงกลับย่นเวลาเป็นครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
เมื่อกลับมาถึงค่าย พวกเขาพบว่าค่ายแห่งนี้กำลังวุ่นวาย
ควันไฟและเปลวเพลิงทำให้ทุกคนอลหม่าน
พวกเขากำลังถืออุปกรณ์ดับไฟคนละไม้คนละมือ
กลิ่นหญ้าและไม้ที่ถูกเผาลอยขึ้นมาเตะจมูก
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลินเมิ้งหยาลงจากหลังม้า ก่อนจะรีบเอ่ยถามทหารนายหนึ่ง
เมื่อทหารคนนั้นเห็นว่าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลิน เขารีบหยุดฝีเท้าลงแล้วส่งเสียงร้อนใจ
“ตอนที่พวกท่านเพิ่งออกไป จู่ๆ ก็เกิดไฟไหม้ค่าย ตอนนี้ทุกคนกำลังช่วยกันดับไฟขอรับ”
กระโจมของค่ายถูกถักทอขึ้นจากผ้าสักหลาด ปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดเปลวเพลิงโหมกระหน่ำถึงขนาดนี้
“พี่ชายล่ะ? ฉินมั่วเป็นเช่นไรบ้าง?”
นายทหารแสดงสีหน้าลำบากใจ เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ภายในเป็นเช่นไรบ้าง