ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 7 บทที่ 208 แผนร้ายปรากฏ
“อย่ากลัวไปเลย นี่คือมี่มี่กว๋อจื่อ เจ้าอยากลองชิมดูหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงอ่อนโยน ยื่นมือเข้าไปหยิบขนมมี่กว๋อจื่อส่งให้เด็กน้อย
อาจเพราะอุณหภูมิอบอุ่นภายในรถม้าหรืออาจเพราะเสียงอ่อนโยนของหลินเมิ้งหยา เด็กน้อยยื่นมือเล็กเข้าไปหยิบขนมมี่กว๋อจื่อในมือของหลินเมิ้งหยา
“มานี่สิ มาอยู่ข้างๆ พี่สาว อย่ากลัวเลย คนชั่วพวกนั้นถูกไล่ไปหมดแล้ว”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น หลินเมิ้งหยาตกตะลึงเล็กน้อย
ดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำ ใบหน้าเรียวเล็กขาวนวลดั่งหิมะ แม้จะยังมีความเขินอายอยู่บ้าง แต่เขากลับน่ารักน่าชังเหลือเกิน
“พี่สาว…”
ขนมมี่กว๋อจื่อใช้ได้ผล เด็กน้อยดวงตาเปล่งประกายคนนั้นมองทางหลินเมิ้งหยา
แม้ใบหน้าของของจะสกปรก ทว่าเสียงเล็กๆ ของเขาทำให้หลินเมิ้งหยาใจอ่อนยวบยาบ
“มานี่สิ พี่สาวขอกอดหน่อย”
ผู้หญิงไม่อาจหักห้ามใจต่อคนหรือสิ่งของน่ารักน่าชังได้ โดยเฉพาะหนูน้อยตรงหน้า ท่าทางว่านอนสอนง่ายทำให้หลินเมิ้งหยาชอบมาก
หลินเมิ้งหยาโอบตัวหนูน้อยเอาไว้ในอ้อมกอด ไม่นานเด็กน้อยก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง
มองทางหลินจงอวี้ ก่อนจะหันกลับมามองเด็กชายในอ้อมกอด คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น
“เสี่ยวอวี้ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเด็กที่พวกเขาลักพาตัวไปมีความพิเศษเช่นไร?”
เสี่ยวอวี้มองทางหนูน้อยอย่างสนใจ เมื่อได้ยินคำถามของพี่สาว เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“เด็กที่ถูกลักพาตัวไปพร้อมกันกับข้าล้วนเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเคยได้ยินกลุ่มหลิวเย่พูดว่าเด็กพวกนี้ล้วนมีประโยชน์เป็นอย่างมาก หลังจากถูกจับตัวไป พวกเราจะถูกแบ่งระดับ เหตุเพราะข้าเป็นเด็กค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นข้าจึงถูกพวกเขาพามาสร้างกลอุบาย”
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมองของหลินเมิ้งหยา
เหตุเพราะนางนึกถึงตัวเองครั้นเมื่อยังเป็นเด็กขึ้นมาได้
จำได้ว่าเมื่อตอนที่นางอายุเจ็ดขวบ มิรู้ว่าซ่างกวนฉิงนึกแผนอะไรขึ้นมาได้ จึงพานางไปที่วัดแถบชนบทเพื่อไหว้พระ
นางยังคงจำได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นซ่างกวนฉิงวางแผนไว้กับใครบางคน
ตอนเด็ก นางยังไม่รู้ว่าพวกนั้นพูดเรื่องอะไรกัน
แต่นางจำประโยคหนึ่งของซ่างกวนฉิงได้ นางบอกให้คนผู้นั้นพาหลินเมิ้งหยาไป
ต่อมาคนคนนั้นเห็นว่านางน่ารักแต่กลับสติเลอะเลือน นางจึงอยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้
ตอนนี้ลองมาคิดดูแล้ว กลุ่มหลิวเย่เองก็คงมีส่วนในเรื่องนี้ด้วยใช่หรือไม่?
กลุ่มหลิวเย่คงจะเริ่มลักพาตัวเด็กน้อยน่ารักตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว
หากพวกเขาค้ามนุษย์มาจนถึงตอนนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็น่ากลัวมากเหลือเกิน
“หนูน้อย บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
ก้มหน้าเอ่ยถามเด็กชาย หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองกำลังเจอเข้ากับแผนการร้ายบางอย่าง
ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำมีมากมาย ถ้าหากนางยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของกลุ่มหลิวเย่อีก เกรงว่านางจะต้องปวดหัวตายอย่างแน่นอน
เด็กน้อยมองหน้านาง ก่อนจะตอบ
“บ้านของข้าอยู่แถวนี้ เหตุเพราะมีคนมาซื้อน้ำตาลและสิ่งของ ดังนั้นท่านพ่อกับท่านแม่จึงปล่อยข้าออกมา”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ดูเหมือนคนพวกนั้นจะปลอมเป็นคนซื้อของสินะ
พวกนักต้มตุ๋นมืออาชีพล้วนเล็งเหยื่อที่ไม่ทันระมัดระวังอย่างเด็กคนนี้
“ดี เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปส่ง จำเอาไว้ ห้ามออกนอกบ้านคนเดียวอีก เข้าใจหรือไม่?”
หนูน้อยพยักหน้าด้วยท่าทางงุนงง หลินเมิ้งหยารู้ดี คนเหล่านั้นจะต้องไม่ได้พบเห็นเด็กคนนี้โดยบังเอิญ
บางทีพวกเขาอาจวางแผนไว้ก่อนแล้ว
แอบส่งหนูน้อยกลับบ้าน หลินเมิ้งหยากับหลินจงอวี้มิได้ทำให้คนอื่นแตกตื่น
ระหว่างทางกลับ หลินเมิ้งหยากับหลินจงอวี้เห็นพวกขอทานวัยรุ่นข้างถนน
หลินจงอวี้คุกเข่าลง ขณะที่กำลังส่งเงินให้กับพวกขอทาน เขารีบกวาดสายตามองภายใต้ชุดของคนเหล่านั้น
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามเสียงต่ำ เสี่ยวอวี้มองนาง ก่อนจะตอบ
“ใต้ชุดของคนเหล่านี้ล้วนมีสัญลักษณ์ของกลุ่มหลิวเย่ เกรงว่าจะเป็นคนของกลุ่มหลิวเย่ทั้งหมดขอรับ”
สีหน้าของหลินจงอวี้ไม่น่ามอง หากตอนแรกพี่สาวไม่พาเขาไปแล้วล่ะก็
เกรงว่าชีวิตของเขาในตอนนี้คงไม่ต่างอะไรจากคนเหล่านี้
“คิดอะไรอยู่?”
บนถนน หลินเมิ้งหยากุมมือเสี่ยวอวี้พร้อมเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
เขาหันหน้าไปมองหลินเมิ้งหยา ใบหน้าเล็กของหลินจงอวี้แสดงออกถึงความสับสน
“อยากจะพูดอะไรก็พูดเถิด พี่สาวสนับสนุนเจ้าเสมอ”
มองหลินเมิ้งหยา เสี่ยวอวี้มีท่าทีเหมือนคนตัดสินใจได้แล้ว
“พี่สาว ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวในตอนนั้นไม่ธรรมดาเลย ตอนนี้…ข้าไม่อาจบอกฐานะของข้าได้ แต่ข้าอยากรู้ว่าตกลงแล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
มองดูสายตามุ่งมั่นของหลินจงอวี้ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ
นางไม่อยากหาเหาใส่หัว ไม่อยากมีเรื่องใดๆ เข้ามาวุ่นวายอีก
แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับเสี่ยวอวี้ ฉะนั้นนางต้องไตร่ตรองใหม่อีกครั้ง
“เรื่องนี้สำคัญกับเจ้ามากหรือ?”
เสี่ยวอวี้สบตาหลินเมิ้งหยาแล้วพยักหน้า
เขามองหลินเมิ้งหยาอย่างมีความหวัง ราวกับว่าการตัดสินใจของนางสำคัญที่สุด
“ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ทำเถิด ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าจะสนับสนุนเจ้าเสมอ”
นางเป็นคนรับเสี่ยวอวี้มาเลี้ยง เมื่อเป็นเช่นนั้น นับจากนี้เป็นต้นไปนางต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของเขา
ในเมื่อเสี่ยวอวี้อยากตามล่าหาความจริง เช่นนั้นนางก็จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วย
“พี่สาว ข้าขอบคุณท่านมาก”
จู่ๆ รอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้าของหนุ่มน้อย คนเดินผ่านไปมาตกตะลึงกับความหล่อเหลาของเขา
ดวงตาเปล่งประกายแวววาวมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
หลินเมิ้งหยาลูบไล้ใบหน้าข้างแก้มเขา ช่างมันเถิด ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็พร้อมจะเดินเคียงข้างเขา
“อะไรนะ? นายหญิงเสียสติไปแล้วหรือ? ท่านจะเข้าไปยุ่งกับกลุ่มหลิวเย่? แย่แล้ว แย่แล้ว ชีวิตของพวกเราจบเห่แล้ว”
ภายในร้านหรูอี้โหลว ป๋ายจื่อร้องโวยวายหลังจากได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา
ถลึงตาโตสีดำขลับ มือทั้งสองข้างตบหน้าอกราวกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์หวาดผวามาหมาดๆ
“นั่งลง เจ้าจะยังให้ข้าดื่มชาหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยากลับจิบชาด้วยท่าทางสงบนิ่ง นางจะแก้นิสัยชอบตะโกนโหวกเหวกโวยวายของป๋ายจื่ออย่างไรดี?
“เจ้าเด็กน้อย เหตุใดเจ้าจึงคิดจะทำเช่นนี้เล่า?”
ชิงหูนั่งลงอีกฝั่ง เขาไม่ได้เข้ามาโวยวายด้วย
“พี่สาวทำเพื่อข้า ตอนแรกพวกเขาลักพาตัวข้าไป ข้าอยากรู้ว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลินจงอวี้แย่งหลินเมิ้งหยาพูด สายตาของทุกคนจึงจ้องมองมาที่หลินจงอวี้
ภายในจวน ไม่มีใครพูดเรื่องชาติกำเนิดเขามาก่อน ฉะนั้นนอกจากพ่อบ้านเติ้งและหลินขุย คนส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้ประวัติความเป็นมาของหลินจงอวี้
แน่นอนว่ายกเว้นสาวใช้ทั้งสี่
“อันที่จริง ข้าเองก็ถูกกลุ่มหลิวเย่ลักพาตัวมา”
ทันทีที่สิ้นเสียงของชิงหู คนในห้องอ้าปากค้าง
“คางใกล้จะลากพื้นแล้ว เก็บอาการกันหน่อย”
กวาดสายตามองคนในห้อง มองดูอาการตกตะลึงของพวกเขา
ทว่านอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว ทุกคนล้วนเบิกตากว้าง ปากอ้าค้าง
หลินเมิ้งหยายื่นนิ้วออกไปดันคางของป๋ายจื่อให้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่อีกหนึ่งวินาทีต่อมา ปากของนางก็อ้าออกอีกครั้ง
ดูเหมือนพวกเขาจะถูกข้อมูลจากชิงหูทำลายระบบประสาทไปเสียแล้ว
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากลุ่มหลิวเย่มีตื้นลึกหนาบางอย่างไร? ไม่เพียงแค่ข้า หยุนจู๋และนักฆ่าทั้งหมดของเถาฮวาอู๋ ยกเว้นคนที่ถูกชักชวนเข้ามา นอกนั้นล้วนถูกกลุ่มหลิวเย่ลักพาตัวมาทั้งหมด อีกอย่าง ทั้งร้านอาหาร โรงน้ำชา หรือพวกอนุภรรยาทั้งหลาย เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่ไม่ใช่คนที่กลุ่มหลิวเย่ลักพาตัวมา?”
ข้อมูลของชิงหูนับเป็นเรื่องใหม่ แม้แต่หลินเมิ้งหยายังขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
“มีเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วกระนั้นหรือ ตกลงกลุ่มหลิวเย่คิดจะทำอะไรกันแน่?”
ตอนแรกคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มอันธพาลโรคจิตแต่เพียงเท่านั้น แต่คำพูดของชิงหูทำให้นางต้องกลับมาไตร่ตรองดูใหม่
ชิงหูเห็นว่าตนเองทำสำเร็จแล้ว จึงลุกขึ้นมายืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยา มองสบตานาง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม
“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร แต่เจ้าจะต้องรู้ว่าหากคิดจะต่อกรกับกลุ่มสัตว์ร้ายเหล่านี้ มิอาจพึ่งได้เพียงกำลังของเจ้าและข้า ตอนนี้พวกเราไม่อาจโค่นล้มพวกเขาได้อย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ตอนนี้นางมิใช่เด็กสาวอ่อนปวกเปียกอีกแล้ว
ดังนั้นนางจึงเข้าใจความหมายของชิงหู
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ก่อนจะกุมมือหลินจงอวี้
“เสี่ยวอวี้ เรื่องที่พี่สาวให้คำมั่นแก่เจ้า พี่สาวจะทำให้สำเร็จ แต่เจ้าจะต้องอดทนก่อนสักหน่อย ได้หรือไม่?”
หลินจงอวี้พยักหน้า ตอนแรกเขาคิดจะยอมแพ้แล้วด้วยซ้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าพี่สาวจะยังยืนหยัดเช่นนี้
“เอาแบบนี้แหละ ข้าเองก็เห็นว่าอันธพาลกลุ่มนี้ขวางหูขวางตายิ่งนัก วางใจเถิด ข้าจะส่งคนไปจับตามองพวกเขา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”
คำสัญญาของชิงหูเสมือนเข็มทิ่มตรงเข้าไปในหัวใจของหลินจงอวี้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจ
ไม่ว่าพี่สาวหรือชิงหู พวกเขาล้วนให้ความสำคัญกับเขา
“พี่สาว ข้า…ข้า….”
เสี่ยวอวี้ดีใจจนพูดไม่ออก ทว่าหลินเมิ้งหยากลับลูบศีรษะของเขา
“วางใจเถิด เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องพูดขอบใจอะไรหรอก มันไม่จำเป็นสำหรับพวกเรา”
พวกเขาหัวเราะแล้วพยักหน้าหงึกหงัก เรื่องนี้จึงเสมือนถูกกำหนดลงแล้ว
จู่ๆ เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น
ทุกคนภายในห้องจึงเงียบลง
“ใคร?”
ชิงหูตั้งท่าป้องกัน เสียงของมั่วหรานจึงดังขึ้น
“นายท่าน เมื่อครู่มีจดหมายปิดผนึกส่งมา เขาให้ข้านำมาให้เจ้าสำนัก”
ให้นาง? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะเดาบางอย่างขึ้นมาได้
“เข้ามาเถิด”
มั่วหรานเดินผ่านประตูเข้ามา ในมือถือจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่งเอาไว้
“ใครเป็นคนส่งมา?”
รับจดหมายปิดผนึกจากมั่วหราน หลินเมิ้งหยาพลิกดูก่อนจะเอ่ยถาม
มั่วหรานจะต้องตรวจสอบแล้วอย่างแน่นอน เรดาร์ในหัวของหลินเมิ้งหยาเองก็มิได้ร้องเตือน