ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 7 บทที่ 200 บรรยากาศผิดปกติในตำหนักหยาเสวียน
“โอ้? เช่นนั้นเจ้าคิดว่าฉินเอ๋อร์จะต้องทำเช่นไรจึงจะได้หัวใจของอวี้เอ๋อร์เล่า?”
พระสนมเต๋อเฟยเอี้ยวตัว มองดูสาวใช้ที่กำลังเดินเข้ามา เลิกคิ้วสูงขณะเอ่ยถาม
“สิ่งที่คุณหนูเจียงต้องทำคือการทำให้ท่านอ๋องอวี้หุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุกหากเหนียงเหนียงปูทางให้อีกสักเล็กน้อย คาดว่าตำแหน่งชายารองคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเพคะ”
สาวใช้คนนั้นอายุน้อยกว่าเจียงหรูฉิน แม้ใบหน้าจะกลมกลึงแต่หน้าตาท่าทางเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
หากแต่ดวงตาของนางเปล่งประกายความฉลาดเฉลียว
“พูดต่อไป”
พระสนมเต๋อเฟยพยักหน้าให้สาวใช้พูดต่อ
สาวใช้เอื้อนเอ่ยไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป มือขยับเทชาให้แก่เจียงหรูฉิน
“วันนั้นคุณหนูเจียงนำเสื้อผ้าไปให้ท่านอ๋อง คนในจวนเห็นกันอย่างชัดเจน อีกทั้งท่าทางเขินอายที่คุณหนูแสดงออกมาทำให้ใครต่อใครคิดกันไปว่าทั้งคู่ได้มีสัมพันธ์กันแล้ว คำพูดคนไวกว่าใบมีด เมื่อถึงเวลานั้นขอเพียงเหนียงเหนียงเอ่ยอนุญาตคำเดียว คุณหนูก็เข้ามาถวายตัวในจวนได้แล้วเพคะ”
ใบหน้าของสาวใช้ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน
ทว่าคำพูดของนางมิต่างอะไรจากพิษร้าย
เจียงหรูฉินและพระสนมเต๋อเฟยตกอยู่ในห้วงความคิด ใช่แล้ว วันนั้นอย่าว่าแต่คนในจวนเลย แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็ยังเข้าใจผิด
ขอเพียงนางคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ท่านพี่จะต้องตกเป็นของนาง!
“ท่านป้าคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ?”
มองทางพระสนมเต๋อเฟยด้วยท่าทางน้อยใจ เจียงหรูฉินแสดงท่าทางประหนึ่งสาวน้อยไร้พิษสง
พระสนมเต๋อเฟยครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้า
เมื่อเห็นว่าพระสนมเต๋อเฟยเห็นด้วย เจียงหรูฉินดีใจกระโดดโลดเต้น
“ขอบพระทัยเพคะ ฉินเอ๋อร์จะพยายามชิงหัวใจของท่านพี่มาให้ได้ ผู้หญิงคนนั้นจะต้องหายไปจากจวนอวี้”
เจียงหรูฉินดีใจเหลือเกิน นับตั้งแต่วันที่ท่านป้าออกมาจากวัง นางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
ตัดขาดญาติมิตรกับหลินเมิ้งหยา อีกทั้งยังเอ็นดูนางกว่าก่อน
ตอนนี้นางใกล้จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับท่านป้าแล้ว
หลินเมิ้งหยาเป็นเพียงหัวขโมยที่มาขโมยตำแหน่งพระชายาไปจากนางแต่เพียงเท่านั้น
“ท่านป้า ข้าจะไปเตรียมตัวก่อน เจ้าชื่ออะไรหรือ? หลิวเอ๋อร์มอบรางวัลให้นาง”
หลิวเอ๋อร์รีบยื่นมือออกไปรับเงินสิบสองตำลึงเพื่อมอบให้สาวใช้คนนั้น
“ขอบคุณคุณหนูเจียงเจ้าค่ะ หนู่ปี้นามว่าหยุนลั่ว”
หยุนลั่วรีบเข้าไปรับเงินจากหลิวเอ๋อร์ ท่าทางดีอกดีใจทำให้เจียงหรูฉินรู้สึกว่านางมีประโยชน์
ตอนแรกคิดหาวิธีถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ที่สูง แต่ตอนนี้แม้นางจะเป็นเพียงลูกของอนุภรรยา ทว่าสถานะของนางจะสูงกว่าพวกท่านหญิงเหล่านั้นเสียอีก
หลินเมิ้งหยาคิดว่าตัวเองเป็นใครกันจึงกล้าเข้ามาแย่งชิงตำแหน่งของนางไป
“อืม ออกไปเถิด”
พระสนมเต๋อเฟยวางกรรไกรในมือลง ดอกไม้ถูกตัดออกไปเจ็ดแปดดอก
กลับมานั่งยังที่นั่งของตนเอง สายตาเป็นกังวล
“ยาตัวนั้นจะ…?”
หยุนลั่วรีบถวายคำนับ ก่อนจะเอ่ย
“เหนียงเหนียงโปรดวางพระทัย ยาตัวนั้นหาใช่ยาพิษที่ไร้ยาถอนพิษ แม้ท่านอ๋องจะไม่ต้องการคุณหนูเจียง แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ต้องการหญิงอื่น ที่จวนแห่งนี้มีสาวใช้มากมาย ยกขึ้นมาสักคนคงมิเป็นไรเพคะ”
ยิ่งไปกว่านั้น ตำหนักฉินหวู่ยังไม่มาส่งข่าวอาการเจ็บป่วยของหลงเทียนอวี้
พระสนมเต๋อเฟยจึงวางใจ
“เจ้าบอกให้ข้ายกเจียงหรูฉินขึ้นมาเป็นชายารอง นาง…จะทำให้แผนการของพวกเราสำเร็จจริงหรือ?”
พระสนมเต๋อเฟยรู้ดียิ่งกว่าใครว่าเจียงหรูฉินเป็นคนโง่เขลา
นางอาจแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในจวนได้ แต่ถ้าหากต้องประชันกันเรื่องสมอง เจียงหรูฉินไม่มีทางเทียบกับหลินเมิ้งหยาได้เลย
“ดูเหมือนจะใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้เพคะ ตอนแรกหม่อมฉันคิดว่าคุณหนูรองจะมีความฉลาดเฉลียวสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นเพียงขยะ”
หยุนลั่วเข้ามายืนข้างกายพระสนมเต๋อเฟย ก่อนจะยกมือนวดบ่าให้กับนาง
“อืม เจ้าพูดถูก เด็กคนนี้นับวันยิ่งไม่ได้เรื่อง ข้าอุตส่าห์ใช้ยาปลุกกำหนัดในวังหลวงแล้ว แต่นางกลับทำอะไรไม่เป็น”
คำพูดของพระสนมเต๋อเฟยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นเจียงหรูฉินเป็นหลานในไส้
ราวกับว่านางเป็นเพียงแค่เครื่องมือเท่านั้น
หยุนลั่วหัวเราะ มือเล็กของนางกลับนวดต่อไปไม่หยุดมือ
“เหนียงเหนียงอย่ากังวลไปเลยเพคะ หม่อมฉันแอบเลือกคนเอาไว้แล้ว หากคนคนนั้นยอมทำ รับรองว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอนเพคะ”
พระสนมเต๋อเฟยเลิกคิ้วสูง มองดูหยุนลั่วอย่างสนใจใคร่รู้
“ใครกัน?”
“เมื่อถึงเวลา เหนียงเหนียงจะรู้เองเพคะ”
ร่องรอยของความเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยุนลั่ว บรรยากาศในตำหนักหยาเสวียนจึงอึมครึมขึ้นมา
หลินเมิ้งหยาพาสาวใช้ออกจากตำหนักหลิวซินเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักหยาเสวียน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอเจียงหรูฉินระหว่างทาง
“โอ้ พี่สะใภ้นี่นา? สบายดีหรือไม่”
วันนี้เจียงหรูฉินมีท่าทางโอหังกว่าเดิมมาก
หลินเมิ้งหยาไม่สนใจนาง ทว่าท่าทางของนางทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกขวางหูขวางตาเหลือเกิน
“อืม สวัสดีน้องสะใภ้”
หากเป็นแต่ก่อน ประโยคนี้ของหลินเมิ้งหยาอาจทำให้เจียงหรูฉินระเบิดอารมณ์ได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับหัวเราะเยือกเย็น ก่อนจะพาสาวใช้ของตนจากไป
“นายหญิง เหตุใดวันนี้นางจึงเรียบร้อยขึ้น?”
ป๋ายจื่อลูบคางของตนเอง ก่อนจะส่งเสียงเชิงดูถูก
“เช่นนั้นหรือ? ข้าว่านางผิดปกติมาก”
เท่าที่นางรู้จักศัตรูของนาง เจียงหรูฉินไม่มีทางสงบเสงี่ยมอย่างง่ายดายเช่นนี้
สายตาจับจ้องตามหลังเจียงหรูฉินที่เดินลับหายไป
แม่ไก่เรียนรู้ที่จะไม่โอ้อวดว่าตนเองเพิ่งออกไข่
ใครจะเชื่อเรื่องนี้กัน?
“เช่นนั้นพวกเรายังจะไปถวายคำนับที่ตำหนักหยาเสวียนหรือไม่เจ้าคะ?”
พูดตามความจริง ป๋ายจื่อยังมีความทรงจำดีๆ อยู่ภายในตำหนักหยาเสวียน
เหตุเพราะท่านน้าจิ่นเยว่เคยอบรมสั่งสอนพวกนางที่นั่น
สอนเรื่องมารยาทและการวางตัว
แม้ตอนนี้นางจะจากไปแล้ว แต่ผู้คนที่เคยใกล้ชิดกับนางยังคงจดจำนางไว้ในใจ
“ไป ต้องไปสิ”
หลินเมิ้งหยาเบือนสายตากลับ คนที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ จะอดทนไปได้สักกี่น้ำกันเชียว?
คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังตำหนักหยาเสวียน แต่น่าแปลกที่ไม่ถูกห้ามแต่อย่างใด
“แปลกจริง ก่อนหน้านี้ตอนที่เรามา มักจะถูกห้ามเอาไว้ นายหญิง หรือพระสนมเต๋อเฟยกำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่?”
คิ้วของป๋ายซ่าวขมวดเข้าหากัน ทั้งยังเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
หลินเมิ้งหยากลับไม่สนใจ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ต้องกลัวหรอก ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”
สาวใช้ทั้งสี่สบตากัน ความกังวลในดวงตาพลันเหือดหายไป
เพียงเดินเข้ามาภายใน สาวใช้ใบหน้ากลมกลึงเดินออกมาต้อนรับหลินเมิ้งหยา
สาวใช้คนนี้ไม่เหมือนคนของจวน ไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
“ถวายคำนับพระชายา หนู่ปี้คือสาวใช้ที่เพิ่งถูกซื้อเข้ามานามว่าหยุนลั่ว แต่น่าเสียดายเหลือเกิน เหนียงเหนียงกำลังบรรทมอยู่เพคะ พระชายามีเรื่องจะกราบทูลหรือไม่?”
เพราะเหตุนี้นางจึงรู้สึกไม่คุ้นตา
เป็นเรื่องปกติของจวนที่จะซื้อสาวใช้คนใหม่เข้ามา
“เช่นนั้นข้าจะรอเหนียงเหนียงตื่นอยู่ที่นี่ เจ้าไปทำงานเถิด ไม่ต้องสนใจพวกข้า”
“เพคะ”
หยุนลั่วมีกิริยาท่าทางดี
พระสนมเต๋อเฟยมักจะหลับกลางวันเสมอ ปกตินางจะหลับครั้งละครึ่งชั่วโมง
หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกเบื่อ นั่งอยู่ที่โต๊ะหินหน้าประตู ชมต้นไม้ใบหญ้าในสวน
พระสนมเต๋อเฟยในเวลานี้เปลี่ยนไปแล้ว
หลินเมิ้งหยาต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง
หลังจากรออยู่ราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงจากภายใน
“เหนียงเหนียงตื่นแล้ว พวกเจ้าเข้าไปรับใช้”
สาวใช้ที่หยุนลั่วเรียกเข้าไปแหวกผ้าม่านออก
สาวใช้ที่รออยู่แล้วรีบเข้าไปทำหน้าที่
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นจากเก้าอี้ จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดยืนด้านหน้าประตูห้องของพระสนมเต๋อเฟย
เมื่อสาวใช้ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือในการบ้วนปากเดินออมา หลินเมิ้งหยาจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายใน
เมื่อเทียบกับเมื่อหลายวันก่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ตอนนี้การได้มองหน้าผ่านฉากกั้นก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณแล้ว
มองทะลุม่านลูกปัดเข้าไป หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าพระสนมเต๋อเฟยดูแก่ขึ้นมาก สีหน้าขาวซีดกว่าก่อน
“หม่อมฉันขอถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย”
แม้จะอยู่คนละฝ่าย แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องแสดงความเคารพอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ
หลินเมิ้งหยาถวายคำนับอย่างถูกต้อง
“อืม ลุกขึ้นเถิด”
เสียงที่เปล่งออกมาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เจือปน
แม้แต่หลินเมิ้งหยาก็มิอาจรู้ได้ว่าพระสนมเต๋อเฟยกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“เหตุเพราะเมื่อหลายวันก่อนหม่อมฉันมีอาการป่วย ดังนั้นจึงไม่ได้มาถวายคำนับ เหนียงเหนียงได้โปรดลงโทษด้วยเพคะ”
หลินเมิ้งหยาไม่ได้กล่าวถึงข้อสงสัยใดๆ
นางใช้ข้ออ้างเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของตนเอง
พระสนมเต๋อเฟยยกชาขึ้นจิบ
“ไม่เป็นไร พวกคนหนุ่มสาวก็เป็นเช่นนี้ ล้วนมีสิ่งที่ตนเองต้องทำกันทั้งนั้น เปิ่นกงแก่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสนใจหรอก”
น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาและความห่างเหิน
หลินเมิ้งหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อก่อนพระสนมเต๋อเฟยรักนางเสมือนลูกสาวคนหนึ่ง
เวลาผ่านไปไม่นาน แต่เรื่องกลับตาลปัตร
หัวใจมนุษย์เหตุใดจึงเปราะบางยิ่งนัก
“เหนียงเหนียงอย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเลยเพคะ หม่อมฉันเป็นลูกสะใภ้ ถึงอย่างไรก็ต้องคอยดูแลหมู่เฟย”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ
“ที่หม่อมฉันมาในวันนี้ก็เพราะอยากกราบทูลว่างานฤดูหนาวได้ตระเตรียมเรียบร้อยแล้วเพคะ เหนียงเหนียงได้โปรดวางพระทัย”
งานฤดูหนาวเป็นเทศกาลใหญ่แห่งต้าจิ้น
แม้จะไม่ได้จัดงานเฉลิมฉลอง ทว่าในกลุ่มเชื้อพระวงศ์ก็มักจะจัดงานอวยพร
เหล่าคนในราชวงศ์จำเป็นต้องติดตามฮ่องเต้ไปที่สุสานบรรพชนเพื่อไหว้ฟ้าดิน
ทว่าฮ่องเต้กำลังประชวร ฉะนั้นเหล่าองค์ชายจึงต้องทำหน้าที่แทน
องค์ชายที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่อย่างไท่จื่อและอ๋องอวี้จึงต้องไป
ทุกสถานที่ที่มีไท่จื่อและฮองเฮา ที่นั่นย่อมมีกับดัก
“อืม งานวันฤดูหนาวสำคัญมาก เจ้าจงเตรียมตัวให้ดี อย่าทำให้เกิดเรื่องน่าขายหน้า”
“เพคะ หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง”
หลินเมิ้งหยาตอบรับ ก่อนจะพาสาวใช้ออกจากตำหนักหยาเสวียน
“ฮู่…. พอน้าจิ่นเยว่ไม่อยู่ บรรยากาศในตำหนักหยาเสวียนพิลึกพิลั่นเหลือเกิน”