ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 7 บทที่ 183 ยืมดอกไม้ไหว้พระ
นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้นกับเยว่ถิง เยว่ฉีก็ไร้ซึ่งรอยยิ้ม
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา นางจึงฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
กุมมือเยว่ฉี พิศดูสาวน้อยใสซื่อตรงหน้า รูปร่างของนางผอมบางกว่าก่อน หลินเมิ้งหยาอดที่จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้
นางเต็มใจอย่างยิ่งที่จะดูแลเยว่ฉี อีกทั้งนางยังคุยกับท่านลุงเยว่เรื่องนี้เอาไว้แล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะกลับไปเผชิญหน้ากับหายนะที่บ้านสกุลเยว่
“สบายดีเจ้าค่ะ ท่านพี่หลินอย่ากังวลเลย ข้ามีท่านเป็นที่พึ่ง นาง…ไม่กล้าทำร้ายข้าหรอก”
เยว่ฉีก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วยกยิ้ม
ทว่าที่แขนเสื้อของนางกลับมีเส้นด้ายหลุดลุ่ยออกมา
ปิ่นปักผมบนศีรษะก็หม่นหมองลงเล็กน้อย
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด บางทีเพื่อไม่ทำให้นางเป็นห่วง เยว่ฉีคงตั้งใจเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่
“จริงสิ ข้ามีของจะให้เจ้า ป๋ายซู เจ้าไปหยิบของที่พี่เยว่ถิงนำมาให้ข้าตอนนั้นมาที”
เยว่ฉีเคยมาอยู่ที่จวนระยะหนึ่ง
แม้นางจะมีฐานะเป็นถึงคุณหนูรองแห่งสกุลเยว่แต่นางก็เป็นเพียงเด็กสาวน่ารักคนหนึ่ง
ดังนั้นจึงเข้ากันได้ดีกับพวกป๋ายซู
ร้องเรียกพี่สาวน้องสาวกันอยู่เป็นนิจ ไร้ซึ่งท่าทางหยิ่งยโสดั่งคุณหนูชนชั้นสูงคนอื่น
ดังนั้นเหล่าสาวใช้จึงล้วนเอ็นดูนาง
ป๋ายซูลอบมองเยว่ฉีและเข้าใจได้ในทันที
นางแอบปาดน้ำตาก่อนจะตอบรับ
“ใช่แล้ว เมื่อหลายวันก่อนนายหญิงยังบ่นอยู่เลยว่าให้เอาไปมอบให้กับคุณหนูรอง บังเอิญเหลือเกิน”
นิ้วเรียวยาวเคาะลงบนหน้าผากของเยว่ฉี
ทุกคนพยายามแสดงท่าทางเหมือนก่อน
แม้อุปนิสัยของเยว่ฉีจะเปลี่ยนไปหลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายมา แต่แท้ที่จริงแล้วก้นบึ้งหัวใจของนางยังเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาเท่านั้น
นางมองหลินเมิ้งหยาด้วยความฉงน ก่อนจะเอ่ยถาม
“ของ? พี่สาวต้องการมอบอะไรให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
ป๋ายจีรีบพยักหน้พร้อมส่งเสียงอ่อนโยน
“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ป๋ายซู เจ้ารีบไปหยิบมาเถิด ในเมื่อคุณหนูรองมาแล้ว มิเช่นนั้นป๋ายจื่อจะผอมตายเอาได้ นางเอาแต่บ่นทุกวันว่าพอคุณหนูรองไปแล้วไม่มีใครไปแอบขโมยผลไม้มากินด้วยกันกับนางเลย”
คำพูดของป๋ายจีเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน
เยว่ฉีเองก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างจริงใจ ดวงตาคู่นั้นกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง
หลินเมิ้งหยาสบายใจมากขึ้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่คนในจวนของนางล้วนคิดเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“พี่ป๋ายจีอย่าล้อข้าเล่นสิ แต่ข้าก็คิดถึงคุณหนูรองมากจริงๆ ในเมื่อมาแล้วก็มาอยู่ที่นี่สักสองสามวันได้หรือไม่?”
ในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ ป๋ายจื่อซึ่งอายุน้อยที่สุดสนิทสนมกับเยว่ฉีเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองมักจะรวมหัวกันและส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด
ป๋ายจีส่งสายตาให้กับหลินเมิ้งหยาก่อนที่นางจะค่อยๆ เดินออกไปจากห้อง
ภายในห้องเก็บของเล็กด้านหลังสวน ป๋ายซูหยิบกล่องใบเล็กกล่องหนึ่งมา
เมื่อเห็นหลินเมิ้งหยานางจึงรีบเดินเข้าไปหา
“นายหญิง ข้ากลัวจะทำให้คุณหนูรองสงสัย ข้าจึงใส่ธนบัตรเข้าไปเพียงสามร้อยยี่สิบใบเท่านั้น ธนบัตรหนึ่งร้อยยี่สิบใบนำไปเปลี่ยนเป็นหนึ่งใบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ส่วนที่เหลือข้าเลือกผ้าสองสามแบบ แม้จะดูไม่แพงมาก แต่ก็เหมาะกับคุณหนูรองมากเจ้าค่ะ”
เพียงเปิดกล่องเล็กออกดู นางก็ได้เห็นเงินและผ้าเต็มกล่อง
“ลำบากเจ้าแล้ว”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ในนั้นมีทั้งแก้วแหวนเงินทองมากมาย
ทรัพย์สินของนางทุกอย่างล้วนมีป๋ายซ่าวเป็นผู้ดูแล
สาวใช้คนนี้รู้ว่าหลินเมิ้งหยาเอ็นดูเยว่ฉีมากจึงเลือกของที่งดงามให้
หากบอกว่านี่คือหีบสมบัติก็ไม่แปลกอะไร
อย่างน้อยก็มากเพียงพอสำหรับเยว่ฉีก่อนจะออกเรือน
“ข้ามิได้ลำบากอันใดเลยเจ้าค่ะ เพียงแค่ยืมดอกไม้มาไหว้พระเท่านั้น ข้ายังกังวลว่านายหญิงจะดุว่าข้าดูแลข้าวของไม่เป็นอยู่เลยเจ้าค่ะ”
ป๋ายซูหัวเราะออกมาเบาๆ นับตั้งแต่วันที่ป๋ายซูเข้ามาดูแลห้องเก็บของเล็ก หลินเมิ้งหยาพบว่านางบันทึกบัญชีได้อย่างละเอียดจนน่าอัศจรรย์
เกรงว่าต่อจากนี้ไปสาวใช้คนนี้จะต้องกลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน
“จริงสิ ครอบครัวของเจ้าก็น่าจะมาถึงแล้วใช่หรือไม่ป๋ายจี”
ยืนอยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา ป๋ายจีพยักหน้า
“มาแล้วเจ้าค่ะ ข้าจัดที่พักให้พวกเขาทางด้านหลังสวน เมื่อมีคนเข้ามาถาม ข้าสั่งให้พวกเขาตอบว่านำของมามอบให้นายหญิงแทนความเมตตากรุณาที่นายหญิงมอบให้เจ้าค่ะ”
ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นนางเกือบจะลืมเรื่องแผนการเป็นเศรษฐีของตนเอง
เมื่อลองครุ่นคิดดูแล้ว นอกจากสินเดิมของสาวใช้ทั้งสี่ ในเวลานี้นางยังต้องเป็นห่วงเรื่องของเยว่ฉีด้วย
ไหนจะเงินสินสอดสำหรับหลินจงอวี้และพี่ชายอีก
เฮ้อ ดูเหมือนว่านางจะต้องวางแผนให้รอบคอบกว่านี้
การไม่มีเงินช่างลำบากยิ่งนัก
“เจ้านี่หนา เหตุใดจึงไม่รีบเตือนข้า ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของเจ้าล้วนเป็นผู้ใหญ่ ตอนเย็นข้าจะไปหาพวกเขาเอง”
คำปฏิเสธของป๋ายจีติดอยู่ที่ลำคอ
สุดท้ายจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ
“เจ้าค่ะ”
เดินออกจากตำหนักไปเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างในที่ดังลอดออกมาถึงข้างนอก
พวกนางพูดคุยเล่นกันสัพเพเหระ เยว่ฉีทนเสียงออดอ้อนของพวกนางไม่ไหว สุดท้ายจึงตอบตกลงจะพักอยู่ที่จวนสองสามวัน
หลินเมิ้งหยาเคยสอนสาวใช้เล่นเกมโต้วตี้จู่ ดังนั้นความสนุกคึกครื้นจึงบังเกิดขึ้นภายในตำหนักหลิวซิน
เมื่อกลับเข้าไปนางจึงได้เห็นสาวใช้สุมหัวกันอยู่บนโต๊ะและเล่นเกม
“ไอหยา ไอหยา ไอหยา นังหนูเยว่ เจ้าลงไพ่เช่นนี้ได้อย่างไร? ไพ่สองสี่ใบกับแจ็คอีกสอง! เจ้าบ้าไปแล้ว!”
ชิงหูยืนอยู่ด้านหลังเยว่ฉี ทำตัวประหนึ่งเสนาธิการหัวหมา
ทว่าคิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากันแน่น มองดูเยว่ฉีที่กำลังตกตะลึง
“แต่ว่า..แต่ป๋ายจื่อบอกว่า ไพ่ที่เหมือนกันสี่ใบสามารถลงพร้อมไพ่ที่เหมือนกันอีกสองใบได้นี่นา มิใช่หรอกหรือ?”
เยว่ฉีลอบมองชิงหูด้วยท่าทางน้อยใจ
แม้นางจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของชิงหูและรู้ว่าเขาอยู่ในฐานะองครักษ์ของหลินเมิ้งหยา
ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินเมิ้งหยากับเขาไม่ธรรมดาเลย
นางจึงเคารพชิงหูด้วยเช่นกัน
หรืออาจจะพูดว่า…นางกลัวก็ได้
“เฮ้อ ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะทำให้เจ้าแพ้หมดหน้าตักเลย”
ชิงหูหยอกด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส ก่อนจะควักกระเป๋าเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ลังเล
หลินเมิ้งหยากลับมาทันได้เห็นป๋ายจื่อกับหลินจงอวี้ฉีกยิ้มชั่วร้ายและพากันหยิบกระเป๋าเงินของชิงหูไป
“สบายใจได้ สิ่งที่เขามีก็แค่…เงิน”
หลินเมิ้งหยาส่งสายตาดูแคลนไปทางชิงหู ในบรรดาคนที่นี่นอกจากหลินจงอวี้แล้วชิงหูคือคนที่ร่ำรวยที่สุด
ชิงหูแสร้งทำท่าทางเสียใจและตำหนิหลินเมิ้งหยา
“เจ้าคนไร้หัวใจ เงินของข้าถูกเจ้าถลุงไปหมดแล้วมิใช่หรือ”
ทั้งที่เขาล้อเล่นแต่เพียงเท่านั้น ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเจ็บปวดใจขึ้นมา
เยว่ฉีเองก็รู้สึกหมดอารมณ์นางจึงขอถอนตัว
“คุณหนูรอง นี่คือของที่พี่สาวท่านทิ้งเอาไว้ให้ มาดูเถิดเจ้าค่ะ”
ป๋ายซูถือกล่องใบเล็กเข้ามาภายในห้อง นอกจากป๋ายจื่อกับเยว่ฉีที่ถูกปกปิดความลับเอาไว้แล้ว คนอื่นก็ร่วมมือกันแสดงละคร
“ไอหยา ของพวกนี้…ของพวกนี้แพงมาเกินไป พี่หลิน ข้าว่าเก็บเอาไว้ที่ท่านเถิด ข้ากลัวว่าหากข้านำกลับบ้าน เกรงว่าจะถูกคนเหล่านั้นแย่งไปเสียเปล่าๆ”
เยว่ฉีมองดูทรัพย์สมบัติในกล่อง ใบหน้านวลเคร่งขรึมลงไป
นับตั้งแต่วันที่พี่สาวจากไป อนุภรรยาทั้งสองได้ย้ายเข้ามา
ท่านพ่อเปลี่ยนไปกลายเป็นคนไม่เอาอ่าว ทุกคืนวันเอาแต่ร่ำสุรา
ท่านแม่เองก็เปลี่ยนไป ไม่รักและเอ็นดูนางเหมือนก่อน นางจึงถูกอนุภรรยาทั้งสองกลั่นแกล้ง
ดังนั้นของที่อยู่ในหีบสมบัตินี้จะต้องถูกพวกนางแย่งไปจนหมดอย่างแน่นอน
หากมิใช่เพราะนางกับพี่สาวยังมีของเก่าเก็บ เกรงว่านางคงจะมิมีหน้าออกไปข้างนอกอีก
“เด็กโง่ นี่เป็นของที่พี่สาวของเจ้าเก็บเอาไว้ให้ เจ้าเอาไปด้วยเถิด อีกอย่างหนึ่งคือป้ายหยกแขวนเอวของข้า หากมีมัน เจ้าจะสามารถเข้าออกจวนอวี้ได้อย่างอิสระ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวข้า ดูซิว่าจะยังมีใครกล้ารังแกเจ้าอีกหรือไม่”
ปลดป้ายแขวนที่เอวออก แต่ก่อนนางสามารถพกป้ายแขวนนี้ไปที่ใดก็ได้
“ไม่ ไม่ ท่านพี่หลิน ข้าจะเอาของของท่านไปไม่ได้”
ขณะที่คิดจะดันกลับ นางกลับเหลือบไปเห็นมือข้างที่พันเอาไว้ด้วยผ้าสีขาวของหลินเมิ้งหยา
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับใช้มือนี้ยื่นของให้กับนาง
เหตุเพราะกลัวจะเผลอไปโดนบาดแผลของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเยว่ฉีจึงยอมเก็บป้ายหยกแขวนแต่โดยดี
“พี่หลิน เหตุใดมือของท่านจึงได้รับบาดเจ็บ?”
สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด บาดแผลถูกพันเอาไว้อย่างแน่นหนา
เยว่ฉีรู้สึกเจ็บปวดใจ ค่อยๆ จับมือของนางมาวางบนมือของตนเอง หยาดน้ำตาเอ่อล้นอยู่บนขอบตา
“ไม่เป็นไร พวกนางพันแผลมากเกินพอดีแต่เพียงเท่านั้น ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ว่าแต่…เจ้าบอกว่ามีข่าวดีจะบอกข้ามิใช่หรือ?”
นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะไม่อยากทำให้เยว่ฉีร้องไห้
“ไอหยา ข้าเกือบลืมไปแล้ว”
เยว่ฉีตบหน้าผากตัวเอง รีบหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากแขนเสื้อ
“หลังจากท่านพี่จากไป สาวใช้ประจำตัวของนางแอบยัดจดหมายนี้ให้กับข้า เอ่ยว่าพี่ชายของท่านส่งข่าวมา แต่พี่สาวของข้าไม่มีโอกาสอ่านมันอีกแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงเยว่ถิง อารมณ์ของเยว่ฉีขุ่นมัวลง
พี่สาวที่เติบโตมาด้วยกันแต่เด็กกลับจากไปอย่างน่าสงสาร นางอดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้
“จดหมายของท่านพี่? นับว่าเป็นข่าวดี”
ป๋ายซูเดินออกไปหน้าประตูเงียบๆ เพื่อสังเกตดูว่ามีใครแอบฟังหรือไม่
“เจ้าค่ะ ปกติท่านพี่หลินมักจะส่งจดหมายมาทุกเดือน”
แม้ป้ายวิญญาณของเยว่ถิงจะสถิตอยู่ในสุสานบรรพชนสกุลหลิน
แต่มีไม่กี่คนนักที่รู้ความจริง
“พี่ชายบอกว่าวันมะรืนจะกลับมาแล้ว! อีกไม่กี่วันต่อจากนั้นท่านพ่อเองก็จะกลับมาเช่นกัน!”
หลังจากเกิดเรื่องราวมากมาย ในที่สุดท่านพ่อกับท่านพี่ก็จะกลับมา
ในความทรงจำ พวกเขาล้วนเป็นคนคุ้นเคย แต่สำหรับนางพวกเขาเป็นญาติแปลกหน้าแต่เพียงเท่านั้น
ทว่าร่างกายของนางกำลังโห่ร้องด้วยความดีใจ หลินเมิ้งหยารู้สึกมีความหวังอย่างบอกไม่ถูก
“จริงหรือ? คุณชายใหญ่จะกลับมาแล้ว? นายหญิง ดีจังเลยเจ้าค่ะ”
ท่ามกลางคนทั้งหมด มีเพียงป๋ายจื่อเท่านั้นที่รู้ว่าหลินหนานเซิงมีความสำคัญกับหลินเมิ้งหยาเช่นไร
แม้คนอื่นจะไม่รู้ที่มาที่ไปแต่เมื่อเห็นนายหญิงดีใจพวกนางก็ดีใจตามไปด้วย