ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 7 บทที่ 182 โลหิตสีแดงสด
“ถามเขาสิ”
ชิงหูโบ้ย พร้อมบ่ายหน้าไปทางหลงเทียนอวี้
อันที่จริงชิงหูรู้สึกไม่พอใจฟู่จวินในนามของหลินเมิ้งหยาคนนี้เสียเท่าไร
หลินจงอวี้หันขวับไปทางหลงเทียนอวี้ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องเขาเพื่อเค้นเอาคำตอบและความรับผิดชอบ
“ข้า…ข้าปกป้องนางไม่ดีเอง”
หากหลงเทียนอวี้ปัดความรับผิดชอบ คาดว่าชิงหูกับหลินจงอวี้จะต้องผลัดกันเค้นหาคำตอบจากเขาไม่หยุดหย่อนอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นเขามิใช่คนที่จะหาข้ออ้างเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง
ขณะที่อยู่วังหลวงคนที่หลินเมิ้งหยาสามารถพึ่งพาได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นความเจ็บปวดที่นางได้รับในคราวนี้ย่อมเป็นความผิดของเขา
“ครั้งนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากคราวหน้าท่านยังไม่อาจปกป้องพี่สาวของข้าได้ ข้าจะพาพี่สาวไปจากที่นี่และปกป้องนางเอง”
ทั้งที่เป็นเด็กหนุ่มอายุยังน้อย ทว่าใบหน้ากลับมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
หลงเทียนอวี้หรี่ตาลงมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า
แม้เขาจะยังไม่เติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแต่เด็กคนนี้กลับมีความเป็นผู้ใหญ่อย่างชัดเจน
เหตุใดคนที่อยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยาจึงมิใช่คนธรรมดาเลย?
“วางใจเถิด จะไม่มีครั้งหน้าอีก”
ไม่เพียงตบปากรับคำหลินจงอวี้ แต่ยังเสมือนเป็นการสัญญากับหลินเมิ้งหยา
นางช่วยเหลือเขามามากมาย เขาเองก็ควรจะดูแลนางให้ดี
“หวังว่าท่านจะทำในสิ่งที่พูดออกมาได้!”
หลินจงอวี้จ้องหน้าหลงเทียนอวี้อยู่นานความเย็นชาในดวงตาของเขาค่อยๆ จางหายไป
หลินจงอวี้เข้าไปยืนข้างเตียงหลินเมิ้งหยา สายตาอ่อนโยนจับจ้องไปยังพี่สาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
หลินเมิ้งหยาที่หลับใหลมิได้สติกำลังนอนฝันหวานเพราะฤทธิ์ยา
หลับสนิทตลอดคืน ไม่รู้ว่าเมื่อคืนใครใส่ยาเหลียวซางเซิ่งให้ นางจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไรแล้ว
แต่เพราะบาดแผลยังไม่หายสนิทจึงยังขยับตัวได้ไม่สะดวกนัก
ดังนั้นการเรียนวิชาแพทย์พิษกับป๋ายหลี่รุ่ยจึงต้องเว้นระยะออกไป
“เมื่อคืนท่านอ๋อง นายน้อยอวี้และชิงหูล้วนอยู่เฝ้านายหญิงข้างเตียงกว่าค่อนคืนเจ้าค่ะ ท่านป๋ายหลี่มาดูอาการหนึ่งรอบ เอ่ยว่านายหญิงดวงดี ไม่เป็นอันตรายแล้ว แม้แต่ไข้ก็ไม่มีเจ้าค่ะ”
ป๋ายจีพูดพลางส่งช้อนให้กับนายหญิงเพื่อกินโจ๊ก
“โอ้ ลำบากทุกคนแล้ว”
คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ท่านอาจารย์ก็ออกมาดูอาการของนาง
หลินเมิ้งหยารู้สึกอบอุ่นใจ ความหวานของโจ๊กยังมิอาจเทียบกับความหวานล้ำในหัวใจชั่วขณะนี้ได้
ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งตอนนี้ หลินเมิ้งหยาเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าข้าวมาอ้าปาก เสื้อมาอ้าแขน
เพราะเหตุนี้ในช่วงเวลาพักฟื้นทุกคนจึงควรมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้
รู้สึกไม่เลวเลยจริง ๆ
โดยเฉพาะสาวใช้ของนางที่มีมากถึงสี่คน
“จริงสิ มีข่าวจากวังหลวงบ้างหรือไม่?”
พระสนมเต๋อเฟยยังอยู่ในวัง นางไม่คิดหรอกว่าฮองเฮาจะใจดีถึงขนาดรั้งตัวพระสนมเต๋อเฟยเอาไว้เพียงเพื่อจิบชา
“ยังเจ้าค่ะ เหตุใดพระสนมเต๋อเฟยจึงไม่กลับมาพร้อมกับพวกท่านหรือเจ้าคะ?”
ดูเหมือนว่าสาวใช้ทั้งสี่จะยังไม่รู้ว่าคู่ปรับที่แท้จริงของหลินเมิ้งหยาคือฮองเฮา
ฉะนั้นพวกนางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฮองเฮาอยากอยู่รำลึกความหลังกับพระสนมเต๋อเฟย ดังนั้นพระสนมจึงยังมิได้เสด็จกลับมา พวกเจ้าจงส่งคนไปเฝ้าประตูเอาไว้ หากเหนียงเหนียงกลับมาแล้วให้รีบมารายงานข้า”
ป๋ายจีออกไปทำตามคำสั่งทว่าหลินเมิ้งหยายังคงรู้สึกกังวล
ฮองเฮาจะต้องสงสัยนางอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนางจะรั้งตัวพระสนมเต๋อเฟยเอาไว้ทำไม
แต่ถึงอย่างไรนางก็มั่นใจว่าไม่มีใครหาหลักฐานเอาผิดนางได้
สมัยโบราณมีข้อดีอย่างหนึ่ง เหตุเพราะวิวัฒนาการยังไม่ล้ำหน้า
ต่อให้เจอกล่องใบนั้น นาง…ก็เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว
พวกโคนันในวังหลวงเหล่านั้นน่ะหรือจะเป็นคู่ปรับของนาง?
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว หลินเมิ้งหยามุ่งหน้าไปยังห้องหินของป๋ายหลี่รุ่ย
อาการของฮูหยินหวังดีขึ้นมากแล้ว หากนางรู้ความจริงว่าลูกสาวที่ตนเองรักที่สุดทำเรื่องเลวร้ายกับตนเองเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางจะรู้สึกเช่นไร
“นังหนูคนนี้ ร่างกายยังไม่แข็งแรง มาที่นี่ทำไมกัน?”
ป๋ายหลี่รุ่ยรู้สึกเป็นห่วงลูกศิษย์คนนี้มาก
ใบหน้าอ่อนล้าเผยร่องรอยของความกังวลออกมาให้เห็น เขาจับมือหลินเมิ้งหยาและตรวจสอบบาดแผล
“นังหนู ไม่จริงน่า เหตุใดเลือดของเจ้าจึงมีพิษปะปนอยู่?”
สมกับที่เป็นอาจารย์สายแพทย์พิษ เพียงเห็นสีเลือดคิ้วของป๋ายหลี่รุ่ยพลันขมวดเข้าหากัน สายตาจับจ้องหลินเมิ้งหยา
“ร่างกายของข้ามีพิษประหลาดไหลเวียนอยู่ น่าแปลกที่แม้จะถอนพิษออกไปแล้วครึ่งหนึ่งแต่พิษเหล่านั้นก็ยังคงอยู่”
พิษในร่างกายของหลินเมิ้งหยาแปลกประหลาดมาก ในเวลาปกติมักจะไม่แสดงอาการใดๆ
แต่ถ้าหากมันระเบิดขึ้นมา เกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิต
“นี่…ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะกินอะไรเข้าไปจึงสามารถควบคุมพิษเหล่านั้นได้”
ป๋ายหลี่รุ่ยรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ยิ่งนัก
เขาหยิบผงสีดำสนิทเตรียมจะใส่ลงในบาดแผลของหลินเมิ้งหยา
“ท่านอาจารย์…มิได้กำลังจะวางยาข้าใช่หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเบิกตาโต จ้องมองอาจารย์ของตนเอง
ป๋ายหลี่รุ่ยถลึงตากลับ จ้องหน้าสุดยอดนักเรียนของตนเอง
นางเกิดมาเพื่อยั่วโมโหเขาหรืออย่างไร?
“ใช่แล้ว ข้ากำลังจะวางยาเจ้า เจ้าจะได้กลายเป็นคนที่มีความสามารถยิ่งขึ้น”
หลินเมิ้งหยาแลบลิ้นออกมา หัวเราะคิกคัก ปล่อยให้ป๋ายหลี่รุ่ยใช้ผงสีดำสนิทเทลงบนบาดแผลของตนเอง
“แม้อาจารย์ของเจ้าจะไม่เก่งเรื่องการรักษา แต่ก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านยาพิษ บาดแผลแค่นี้นับเป็นเรื่องเล็กน้อย”
ป๋ายหลี่รุ่ยมิได้คุยโวโอ้อวดแต่อย่างใด ตลอดหลายวันมานี้ ภายใต้การรักษาด้วยยาพิษ บาดแผลที่ท้องของฮูหยินหวังกลายเป็นสีชมพูแล้ว
“ท่านอาจารย์ ข้ามีโอกาสได้ใช้ผงยาพิษที่ท่านให้ข้าเมื่อคราวที่แล้ว ผลลัพธ์ดีจนเกินกว่าจะพรรณนาได้”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะรายงานให้อาจารย์ของตนเองฟัง
ทว่าร่างกายของป๋ายหลี่รุ่ยแข็งทื่อ เขาเอ่ยถามโดยไม่หันหลังกลับมามอง
“เจ้าฆ่าคนอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงปกปิดความตื่นตระหนกเอาไว้
หลินเมิ้งหยาชะงัก ก่อนจะตอบ
“ท่านอาจารย์ มือของข้าเปื้อนเลือดมานานแล้ว”
นับตั้งแต่วันที่ย้อนอดีตกลับมา มือของนางมิใสสะอาดอีกต่อไป
ป๋ายหลี่รุ่ยยังคงหันหลังให้หลินเมิ้งหยาก่อนจะถอนหายใจ
“เด็กโง่ คนที่มือเปื้อนเลือดสักวันหนึ่งจะต้องถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ตอนนั้นพิษที่ข้าสร้างร้ายแรงยิ่ง ข้าฆ่าคนตายมากมายนับไม่ถ้วน สุดท้ายจุดจบของข้าก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเป็นเหมือนกันกับข้า”
เห็นได้ชัดว่าป๋ายหลี่รุ่ยกำลังนึกเสียใจถึงการกระทำที่ผ่านมา
ทว่าหลินเมิ้งหยามิอาจหยุดได้
“ท่านอาจารย์ เส้นทางของท่านกับข้าไม่เหมือนกัน ข้าทำเพื่อปกป้องคนสำคัญของข้า ข้าไม่อาจปล่อยคนเหล่านั้นไปได้ แต่ไหนแต่ไรมา ศึกชิงบัลลังก์เหล่านี้ล้วนแปดเปื้อนไปด้วยเลือด”
นางไม่เคยนึกเสียใจทีหลัง สุดท้ายโลหิตสีแดงก็ชโลมอาบมือของนาง
เพื่อตนเอง เพื่อสกุลหลิน เพื่อหลงเทียนอวี้
นางทำได้เพียงเท่านี้ เหตุเพราะแท้จริงแล้วชีวิตนี้มิใช่ของนางแต่ต้น
“เฮ้อ ดูเหมือนพวกเราอาจารย์และศิษย์จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงโชคชะตาของตนเองได้ ช่างเถิดนังหนู เจ้าจงกลับไปบอกหลงเทียนอวี้ว่าข้าตกลงยอมรับคำขอของเขา เงื่อนไขคือจะต้องให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินออกจากการสู้รบในคราวนี้”
คำพูดของอาจารย์ทำให้หลินเมิ้งหยาตกตะลึงเล็กน้อย
แต่ก่อนไม่ว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะร้องขออย่างไรท่านอาจารย์ก็ไม่เคยรับปาก
เหตุเพราะการเข้าร่วมในศึกชิงบังลังก์หาใช่เรื่องดี
“ให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินออก? ท่านอาจารย์ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก”
หลินเมิ้งหยารู้จักป๋ายหลี่อู๋เฉินดี อันที่จริงเขากับป๋ายหลี่รุ่ยไม่ใช่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกัน
แต่ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะป๋ายหลี่อู๋เฉินวางแผนใช้งานลุงของตัวเอง
ยังมีสิ่งไหนอีกบ้างที่เขาทำไม่ได้?
“สกุลป๋ายหลี่จะถูกทำลายลงเพราะข้าไม่ได้!”
ป๋ายหลี่รุ่ยแสดงความเด็ดเดี่ยว ระหว่างเขากับป๋ายหลี่อู๋เฉินจะต้องมีคนอยู่ในสนามรบคราวนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะต้องเก็บสายเลือดของวงศ์ตระกูลเอาไว้หนึ่งคน
“ข้าขอโทษ ข้าคงมิอาจช่วยท่านพูดเรื่องนี้ได้”
นานกว่าหลินเมิ้งหยาจะเอ่ยตอบ
ป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่พอใจนางมานานแล้ว
หากนางไปพูดเช่นนั้น คาดว่าเจ้านั่นจะต้องคิดว่านางโน้มน้าวป๋ายหลี่รุ่ยอย่างแน่นอน
นางมิอาจยอมตกอยู่ในน้ำที่ตนเองมิอาจแหวกว่ายขึ้นมาได้
“เจ้านี่หนา! เหตุใดจึงฉลาดเหมือนลิงถึงเพียงนี้ ช่างเถิด ข้าจะไปพูดเอง จริงสิ ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งมาที่นี่ ข้าจะดูแลฮูหยินหวังเอง เจ้าไปรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าก่อนเถิด”
สุดท้ายหลินเมิ้งหยาก็ถูกป๋ายหลี่รุ่ยไล่ออกจากห้องหิน
วันนี้ป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่อยู่ที่นี่
มิเช่นนั้นพวกเขาจะต้องปะทะฝีปากกันอีกแน่
แม้จะไม่รู้ว่าท่านอ๋องขอร้องอะไรท่านอาจารย์ แต่ดูเหมือนท่านอาจารย์จะไม่อยากทำ
นางรู้ดีว่าการที่ท่านอาจารย์ตอบตกลง มิเพียงเพราะป๋ายหลี่อู๋เฉินแต่ยังเพราะตัวนางเอง
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ทุกครั้งนางมักจะยั่วยุอารมณ์ของอาจารย์ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่รู้สึกขุ่นเคือง
เดินออกจากคุกใต้ดินกลับไปยังตำหนักหลิวซิน เพียงเดินผ่านประตู เสือน้อยและหมาป่าน้อยก็รีบวิ่งเข้ามาหา
เหตุเพราะมือของนางได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงต้องอยู่ห่างจากสัตว์เลี้ยงทั้งสอง
หากพวกมันกัดโดนมือของตนเองล่ะก็ ที่นี่ไม่มีวัคซีนป้องกันให้ฉีดเสียด้วย
โชคดีที่พวกมันถูกหลินเมิ้งหยาเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์และไม่ได้กินเนื้อ
ดังนั้นพวกมันจึงไม่สนใจกลิ่นเลือด
แต่กลับเข้ามาออดอ้อนเพื่อต้องการให้นางอุ้ม
ทว่านางกลับแสร้งทำท่าทางไม่เข้าใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า สัตว์เลี้ยงฉลาดเฉลียวทั้งสองจึงรู้ได้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไร พวกมันจึงพยายามคลอเคลียอยู่ที่ปลายเท้าของหลินเมิ้งหยา
“พี่หลิน ข้าได้ยินมาว่าท่านได้รับบาดเจ็บ เป็นอะไรมากหรือไม่?”
คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เดินตามหลังเจ้าสองแสบมาติดๆ จะเป็นเยว่ฉีที่ไม่ได้เจอกันมานาน
หลังจากผ่านเหตุการณ์เหล่านั้น นางเป็นฝ่ายขอกลับบ้านสกุลเยว่เอง
เมื่อหลินเมิ้งหยามิอาจโน้มน้าวนางได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแอบส่งสัญญาณเตือนเรื่องฮูหยินเยว่
ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เข้าใจหรือไม่
“ที่ข้ามาก็เพราะมีข่าวดีจะบอกท่าน”