ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 5 บทที่ 148 เสียงซุบซิบนินทา
กว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงค่ำของวันถัดมา
สายตาของทุกคนจับจ้องหญิงสาวบนเตียงตาไม่กระพริบ
จนกระทั่งเปลือกตาของนางเปิดออก หัวใจที่เสมือนถูกแขวนอยู่บนหุบเหวจึงกลับมาเป็นปกติดังเดิม
“นายหญิง ท่านทำให้พวกข้าตกใจแทบตาย”
ป๋ายจื่อปาดน้ำตา นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หลินเมิ้งหยาสลบไป ดังนั้นหัวใจของสาวใช้คนนี้จึงเริ่มเปราะบาง
แม้ดวงตาของนางจะแดงก่ำ แต่ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็ขยับริมฝีปากแล้วหยักยิ้ม
“วางใจเถิด ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”
เหตุเพราะมีสิ่งที่นางต้องดูแลมากมาย
“พิธีฝังศพของพี่เยว่ถิงเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ดวงตาเผยให้เห็นร่องรอยของความเสียใจ ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่ง
ราวกับว่าเวลาเพียงแค่คืนเดียวสามารถทำให้นางพูดเรื่องเกี่ยวกับเยว่ถิงได้อย่างปกติ
“ทั้งหมดถูกจัดขึ้นตามคำขอของพี่สาวขอรับ ผู้อาวุโสสกุลหลินสั่งให้ลูกหลานของตนเองหลายคนมาช่วยเคลื่อนย้ายโลงศพของพี่เยว่ถิงไปยังบ้านสกุลหลินแถบชานเมือง”
หลินจงอวี้เล่าในสิ่งที่คนของเขาเห็นมากับตาให้ฟัง
โชคดีที่คนเหล่านั้นมิได้กระทำการต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
ดังนั้น จึงไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันใด ๆ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว จริงสิ ท่านอ๋องล่ะ? ”
หลังจากฟื้นขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาเอ่ยถึงหลงเทียนอวี้ สาวใช้ทั้งสี่กลับส่ายหน้าพร้อมทั้งเอ่ยว่าไม่รู้
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว พยุงข้าหน่อย ข้าจะไปเดินเล่นที่สวน”
ทันทีที่ฟื้นก็จะลุกเดิน สาวใช้ทั้งสี่กลับไม่สามารถห้ามนางได้
ชิงหูทนมองไม่ไหวอีกต่อไป ก้มตัวลงแล้วอุ้มหลินเมิ้งหยาขึ้นมา
“เจ้าเด็กน้อย ถ้าหากเจ้าป่วยแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็คงดี”
เสียงของชิงหูดังขึ้นด้านบน หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่เขา
“ถ้าข้าเจ็บป่วยเช่นนี้ไปตลอดชีวิต คนที่รักคงเสียน้ำตา คนที่เกลียดคงมิวายหัวเราะเยาะ”
ชิงหูกลับส่ายหน้า ก่อนจะอุ้มหลินเมิ้งหยาไปที่ศาลาเล็กในสวน
“หากเจ้าป่วยตลอดชีวิต ข้าเองก็จะสามารถอุ้มเจ้าเช่นนี้ไปได้ตลอดชีวิตเช่นกัน ข้าจะขอเป็นขาของเจ้าเอง”
หลินเมิ้งหยามิได้สนใจคำพูดไร้สาระของชิงหู ที่ศาลาเล็กมีเบาะนั่งขนสัตว์วางอยู่ก่อนแล้ว
บรรยากาศยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงเริ่มเย็นมากขึ้นทุกที
แม้ว่าเบาะนั่งขนสัตว์จะอุ่นมากขนาดไหน แต่หัวใจของนางกลับสั่นสะท้าน
“อีกไม่นานพระจันทร์ก็คงเต็มดวง”
อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของต้าจิ้นแล้ว
พี่ชายเองก็น่าจะกลับมาจากชายแดนแล้วเช่นกัน ถ้าหากพี่ชายรู้เรื่องของพี่เยว่ถิง เขาจะเสียใจมากขนาดไหน?
“เสี่ยวอวี้ พี่สาวขอร้องเจ้าสักหนึ่งเรื่องได้หรือไม่? ”
หลินจงอวี้รีบเข้ามายืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยาด้วยความกระตือรือร้น ใบหน้าแดงระเรื่อของหนุ่มน้อยอยากจะสื่อเป็นนัยกับหลินเมิ้งหยาว่าเขาพร้อมจะทำทุกเรื่องที่นางขอ
“กระจายข่าวลือเรื่องไท่จื่อที่ไร้ความสามารถ ปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่เยว่ถิงให้หมด อย่าให้พี่ชายของข้ารู้เรื่องนี้ เปลี่ยนแปลงเรื่องราวเป็นพี่เยว่ถิงไม่ทันระวังจึงลื่นตกเขา”
ความแค้นเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยที่สุด นางขอแบกรับสิ่งนั้นไว้เพียงลำพัง
นางปรารถนาเพียงให้พี่ชายจดจำแต่เรื่องดี ๆ ของพี่เยว่ถิงเอาไว้
หญิงสาวผู้งดงามควรแค่การการคะนึงถึง
“ขอรับ ข้าจะพยายามช่วยพี่สาวให้ดีที่สุด”
เสี่ยวอวี้พยักหน้าลง ก่อนจะรีบออกวิ่งไปหาลูกน้องของตนเอง
“ไม่ใช่มือของตนเอง ก็เลยรู้สึกไม่สะดวกใช่หรือไม่? ”
เสียงอันเจือไว้ซึ่งความขี้เล่นของชิงหูดังขึ้น มองดูเด็กน้อยของตนเอง ดวงตาเสมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เปล่งประกาย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”
หลินเมิ้งหยาจ้องชิงหู แต่กลับได้เห็นฝ่ายตรงข้ามกะพริบตาปริบ ๆ
“ข้าบอกว่าข้ามอบฝูหรงโหลวให้แก่เจ้า ที่นั่นเป็นเพียงโรงน้ำชาแต่เพียงเท่านั้น”
ดูเหมือนความตั้งใจของเขาจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของนางสินะ
ทว่า การยืมมือคนอื่นให้เข้าช่วยมิใช่อุปนิสัยของนาง
“ฝูหรงโหลว เถาฮวาอู๋ เท่านี้อำนาจของเจ้าก็มากมายมหาศาลแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังมีวิธีอื่นอีก”
หลังจากผ่านเรื่องของเยว่ถิงมา ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็รู้ตัวว่าหากตนเองไร้ซึ่งอำนาจ ก็จะไม่สามารถทำเรื่องที่ต้องการได้
ดังนั้น นางต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากพอ จึงจะสามารถมีอำนาจที่สมบูรณ์แบบได้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไม่มีใครพูดเรื่องของพี่เยว่ถิงอีก
ข่าวลือที่เข้ามาแทนที่คือเรื่องไท่จื่อผู้ไร้ความสามารถ
ทั้งร้านเหล้าและโรงน้ำชาล้วนสนทนากันเรื่องของไท่จื่อ
ไม่นานเขาก็กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมือง
แน่นอนว่าเรื่องนี้มิอาจปิดบังคนผู้นั้นในวังหลวงได้
ในช่วงเวลาที่หลินเมิ้งหยากำลังพักรักษาตัว ไท่จื่อถูกเรียกตัวเข้าวัง ฮองเฮาสั่งสอนและตำหนิเขาอย่างรุนแรง
ภายในห้องโถงหรูหราในตำหนัก มีเพียงไท่จื่อและฮองเฮาอยู่ในนั้น
ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานคือฮองเฮาซึ่งสวมใส่ชุดประจำตำแหน่ง ศีรษะสวมใส่รัดเกล้าลายหงส์
ทว่า สีหน้าของนางแข็งทื่อ ดวงตาที่จ้องมองทางไท่จื่อเผยให้เห็นความผิดหวัง
เย็นชา ราวกับว่าเขาไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของนาง
“เจ้าลองดูนี่ นี่คือเพลงที่คนทั้งเมืองต่างร้อง เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาท เจ้าควรเป็นแบบอย่างของทุกคนในใต้หล้า แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร? เจ้ากลายเป็นตัวตลกไปแล้ว! ”
ฮองเฮาขว้างกระดาษเนื้อเพลงใส่หน้าไท่จื่อ
ไท่จื่อผู้สวมใส่ชุดสีเหลืองทองอร่ามก้มหน้า ร่างกายสั่นเทิ้ม สีหน้าขาวซีด
เขาไม่รู้เลยว่าเพลงเหล่านี้มาจากที่ใด
“คำสอนที่ข้าเฝ้าพรรณนาให้เจ้าฟังเคยอยู่ในสมองบ้างหรือไม่? โง่เขลา เหตุใดจึงขลาดเขลาขนาดนี้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าที่เป็นเช่นนี้กำลังทำให้ราษฎรหมดความจงรักภักดี”
ฮองเฮาทรงงานช่วยฮ่องเต้มานานหลายปี มุมมองทางการเมืองเฉียบขาด ไท่จื่อที่ถูกเลี้ยงดูอย่างสุขสบายตลอดมามิอาจเทียบนางได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ชื่อเสียงของหลงเทียนอวี้กับหลงชิงหานกำลังได้รับความนิยม
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่านางคงมิอาจรักษาตำแหน่งของไท่จื่อเอาไว้ได้ ดูท่า คงต้องมอบตำแหน่งนี้ให้กับผู้อื่นจริง ๆ
“หมู่โฮ้ว แต่ข้าเป็นไท่จื่อ ข้าคือว่าที่ฮ่องเต้ พวกเขาเป็นเพียงขุนนางเท่านั้น การปกป้องดูแลข้าเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรทำมิใช่หรือ? ”
จนกระทั่งตอนนี้ ไท่จื่อยังไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองทำอะไรผิด
แววตาของฮองเฮาเผยให้เห็นความผิดหวังอย่างสุดซึ้ง
เพราะอะไรกัน เหตุใดเด็กคนนี้จึงมิได้รับความฉลาดของนางกับฮ่องเต้ไปเลย?
“เจ้าโง่! หากเจ้าพยายามสักนิดที่จะต่อกรกับศัตรู ขุนนางพวกนั้นคงพยายามรั้งเจ้าเอาไว้และเจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาทผู้กล้าหาญ แต่ตอนนี้เจ้ากลับกลายเป็นเพียงองค์รัชทายาทผู้หนีเก่งไร้เทียมทาน แล้วแบบนี้จะกอบกู้ชื่อเสียงของเจ้ากลับมาได้อย่างไร”
ฮองเฮาโกรธไท่จื่อจนแทบสิ้นสติ เจ้าเด็กโง่คนนี้คิดหรือว่านักฆ่าพวกนั้นจะสามารถประชิดตัวเขาได้?
“คือ…ลูกผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกยอมรับความผิดทุกอย่าง”
ไท่จื่อยังคงไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด แต่เมื่อเห็นฮองเฮากริ้ว เขาจึงรีบก้มหน้ารับผิดทันที
ฮองเฮาถอนหายใจ มองดูไท่จื่อที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าตนเอง แต่ถึงกระนั้นความโกรธก็ยังมิจางหายไป
“ข้าไม่ค้านที่เจ้าร่วมมือกับฮ่องเต้หมิง แต่เหตุใดเจ้าจึงไปสร้างความร้าวฉานให้กับสกุลหลินและสกุลเยว่ หากสองพ่อลูกสกุลหลินตั้งตัวเป็นศัตรู กำลังของต้าจิ้นคงหายไปครึ่งเจียงซาน!”
ฮองเฮาสั่งสอนเขาด้วยความจริงใจ แม้จะเป็นลูกชายของตนเอง แต่เมื่อเขาทำผิด นางก็ต้องสั่งสอน
“หมู่โฮ้ว นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น เอ๋อร์เฉินคิดว่าสกุลหลินคงไม่ทำเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบของไท่จื่อทำให้ฮองเฮาส่งสายตาไม่พึงพอใจกลับไป
เหตุใดคนอื่นจึงมีลูกฉลาดเฉลียวสง่างาม
แต่ลูกชายของนางกลับไร้ประโยชน์และโง่เขลา
“เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน จำเอาไว้ หากมิได้รับคำสั่งจากเปิ่นกง อย่าได้คิดทำอะไรโง่ๆ อีก หากยังมีครั้งหน้า เปิ่นกงจะขังเจ้าเอาไว้ในจวน! ”
ความชิงชังปรากฏขึ้นในสายตาของไท่จื่อ
ทว่า เขาถวายคำนับและออกไปแต่โดยดี
“ออกมาเถิด ตอนนี้เหลือเพียงพวกเราสองคนแล้ว”
สีหน้าเคร่งเครียดของฮองเฮาอ่อนโยนลง
“คิกคิก ข้าคิดอยู่แล้วว่าจะต้องซ่อนสายตาของหมู่โฮ้วไม่มิด”
เสียงขี้เล่นดังขึ้น จากนั้นหญิงสาวร่างบางคนหนึ่งจึงเดินออกมาจากทางด้านหลังฮองเฮา
หญิงสาวอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ทว่าใบหน้ากลับงดงาม รอยยิ้มมีเสน่ห์
สวมชุดหญิงชาววังหรูหราสีม่วง ศีรษะปักปิ่นทองห้อยระย้า
นางฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางสดใสร่าเริง สามารถดึงดูดความสนใจผู้อื่นได้ในชั่วพริบตา
“เฮ้อ เมิ้งหรู หากไท่จื่อพี่ชายของเจ้าว่านอนสอนง่ายเช่นเจ้าก็คงดี”
ฮองเฮามิได้เข้มงวดกับลูกสาวเหมือนอย่างที่ทำกับไท่จื่อ
หลงเมิ้งหรูมีดวงตางดงาม ทว่าดวงตาคู่สวยกลับมีเล่ห์เหลี่ยมและความฉลาดเฉลียว
“หมู่โฮ้วอย่าได้ร้อนใจไปเลยเพคะ มีหนึ่งประโยคที่พี่ไท่จื่อกล่าวเอาไว้อย่างถูกต้อง นางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น ตายไปก็ไม่เป็นไร เท่านี้หมู่โห้วก็สามารถส่งลูกไปแต่งงานกับหลินหนานเซิงได้แล้วมิใช่หรือเพคะ? ”
เสียงหวานใส แต่กลับผ่านการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว
คิ้วของฮองเฮาที่ขมวดเข้าหากันคลายออก จ้องมองลูกสาวสุดที่รัก ก่อนจะแสดงท่าทางเสียดาย
เหตุใดสมองอันชาญฉลาดของนางจึงตกอยู่ที่ลูกสาวกันนะ?
“เมิ้งหรู หากเจ้าเป็นชายคงจะดีกว่านี้”
โอบกอดร่างบาง ความโกรธเกรี้ยวเริ่มสลายไปจากหัวใจ
เมิ้งหรูพูดถูกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น จะต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังในการปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ของไท่จื่ออย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนี้ พ่อลูกสกุลหลินคงมิอาจล่วงรู้ถึงสาเหตุการตายที่แท้จริงของเยว่ถิง
“แต่ข่าวลือในคราวนี้รุนแรงยิ่งนัก เกรงว่าจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพี่ชายของเจ้า”
หลงเมิ้งหรูครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย
“เช่นนั้นพวกเราสร้างข่าวที่ใหญ่กว่านี้กันเถิดเพคะ เท่านี้ราษฎรก็จะลืมเรื่องเกี่ยวกับพี่ไท่จื่อ”
ฮองเฮาครุ่นคิด พยักหน้าลง ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ภายในพระราชวังกำลังสร้างคลื่นใต้น้ำ ทว่า บรรยากาศในจวนอวี้กลับเงียบสงบ
นับตั้งแต่วันที่เยว่ถิงตายจากไป หลินเมิ้งหยาใช้ข้ออ้างว่ากำลังรักษาตัวเพื่อหลีกเลี่ยงในการออกไปด้านนอก
พระสนมเต๋อเฟยส่งคนมาดูอาการหลายครั้ง แต่ทุกครั้งส่งมาเพียงของบำรุงร่างกายเท่านั้น
หากมิได้ความเห็นชอบจากพระสนมเต๋อเฟย ซูเหม่ยหยุนคงมิอาจพาตัวพี่เยว่ถิงไปได้
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างหลินเมิ้งหยากับพระสนมเต๋อเฟยจึงห่างเหินมากขึ้นทุกที
เพียงแค่ทุกคนดูไม่ออกแต่เพียงเท่านั้น
ปลายฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนสวมใส่ชุดที่หนามากขึ้น
โดยเฉพาะป๋ายจื่อ รูปร่างกลม ๆ เล็กน้อยของนางยิ่งดูน่ารักเมื่ออยู่ในชุดสีชมพู
Related
Related