ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 2 บทที่ 60 บ้านที่ไร้ซึ่งความสงบสุข
แม้จะรู้ว่าตนเองกำลังเริงระบำอยู่บนปลายมีด ทว่ามีเพียงนางคนเดียวที่รู้ดีที่สุดว่าอันตรายในทุกย่างก้าวนั้นเป็นเช่นไร
ทว่านางกลับไร้ซึ่งทางเลือก!
น้ำอุ่นไล่ความเหนื่อยล้าทางกายของนางออกไป หลินเมิ้งหยาสะลึมสะลือเล็กน้อยเพราะความง่วงขณะเกาะขอบอ่าง นางอยากหลับพักผ่อนเหลือเกิน
ขณะที่กำลังสะลึมสะลือ นางกลับได้เห็นร่างสูงยาวยืนอยู่ตรงหน้า
ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเบิกกว้างอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบหลงเทียนอวี้ยืนอยู่ตรงหน้า
“ท่าน…จะทำอะไร?”
แม้จำตกอยู่ในช่วงเวลาคับขัน แต่หลินเมิ้งหยาไม่ลืมที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาคลุมปิดบังเรือนร่างของตนเองเอาไว้อย่างมิดชิด
หลงเทียนอวี้หันหน้าไปอีกทาง เขาเพียงแค่อยากมาดูสถานการณ์ที่นี่เท่านั้น
ใครจะรู้เล่าว่าเพียงเดินเข้ามาจะได้เห็นหลินเมิ้งหยานอนพิงกายแนบขอบอ่างอาบน้ำท่าทางสะลึมสะลือ ตอนแรกเขาคิดว่านางได้รับบาดเจ็บหรือเกิดเรื่องอันใดขึ้นเสียอีก
“เจ้า…เจ้าใส่เสื้อผ้าก่อนเถิด ข้าจะออกไปรอด้านนอก”
พูดจบ หลงเทียนอวี้ไม่สนใจว่าหลินเมิ้งหยาจะแสดงท่าทีเช่นไร แต่เขาสาวเท้ายาวๆ ไปทางหน้าต่าง
มือพลันหยิบฉากกั้นขึ้นมาปิดระหว่างพวกเขาทั้งคู่เอาไว้
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มขมขื่นขณะจ้องมองแผ่นหลังของหลงเทียนอวี้ แม้ตอนนี้จะร้องไห้คร่ำครวญว่าถูกเขาทำให้หมดราคาแล้วก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
สู้ลุกขึ้นประหนึ่งคนใจกว้างจะดีกว่า
ด้านหลัง เสียงกระเซ็นของน้ำดึงดูดความสนใจของผู้ฟังเหลือเกิน
หลงเทียนอวี้ยอมรับว่าเขาหาใช่พระอิฐพระปูน แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิใช่คนที่จะรังแกผู้น้อย
ทว่า…ผิวสีขาวอมชมพูระเรื่อใต้น้ำสีใส เกรงว่าจะทำให้ผู้ชายอดคิดไปไกลไม่ได้
“ท่านอ๋อง หันหน้ากลับมาได้แล้วเพคะ”
เสียงร่าเริงอ่อนหวานของหญิงสาว ไร้ซึ่งความโกรธเกรี้ยว หลงเทียนอวี้ไม่รู้เลยว่าอยู่ๆ ความขุ่นเคืองในใจเขาก่อตัวขึ้นมากะทันหันเพราะอะไร
เหตุใดพระชายาของเขาจึงใจกว้างและไม่รู้สึกรู้สาอะไรเช่นนี้!
หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง ทว่าเขากลับได้เห็นหลินเมิ้งหยาสวมใส่ชุดกระโปรงตัวยาวผ้าโปร่งสีแดงทับทิม ผมที่ยังเปียกปอนถูกปล่อยลงมาพาดไว้ที่กลางหลัง ท่าทางใสซื่อระคนเย้ายวน
นาง…ดูงดงามและเหมาะสมกับสีนี้ ทว่าปกตินางมักจะสวมใส่ชุดสีม่วง
“ที่ท่านอ๋องมาที่นี่ เกรงว่าเพื่อจะถามไถ่เรื่องผีที่โรงน้ำชาใช่หรือไม่เพคะ?”
ภายในห้องมีเพียงแสงเทียนสีแดง ทว่าแสงจันทร์ภายนอกกลับสว่างไสวเหลือเกิน
เกรงว่าใกล้จะถึงเวลาเข้านอนแล้ว ไม่เช่นนั้นหลงเทียนอวี้คงไม่สวมใส่เพียงชุดสีอ่อนตัวยาวตัวเดียวเช่นนี้
ทว่าภายใต้แสงจันทร์ นัยน์ตาของหลงเทียนอวี้กลับเปล่งประกายจนทำให้นางตกใจ
เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยาไม่กล้าสบตาเขา ดังนั้นนางจึงหลุบตาต่ำและแสดงท่าทีเคารพนับถือคนตรงหน้าเท่านั้น
“อืม ข้าได้ยินว่าเจ้าจับพวกผีเหล่านั้นกลับมาแล้ว ตกลงเรื่องราวเป็นเช่นไร?”
ทำใจให้สงบนิ่ง หลงเทียนอวี้เลื่อนสายตาออกจากเรือนร่างของหลินเมิ้งหยา
แปลกจริง ปกติเขาไม่เคยเหม่อลอยเพราะความสวยงามมาก่อน เหตุใดวันนี้จึง…
“หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าคราวนี้จะสามารถขุดรากถอนโคนได้หรือไม่ แต่คนร้ายที่จับตัวกลับมาได้ล้วนเป็นพยานปากเอก หากพวกเขายังมีพรรคมีพวกหลงเหลืออยู่ หม่อมฉันจะคิดหาวิธีล้วงข้อมูลออกมาให้จงได้เพคะ”
หลงเทียนอวี้พยักหน้าลง แต่เขานึกไม่ออกเลยว่าควรเอ่ยอะไร
ผิดธรรมาชาติ หันหน้าไปอีกทาง หลังจากทำสมาธิอีกครั้ง เขาจึงเอ่ยออกมา
“ข้า…ต่อจากนี้ไปทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าอาจจะมานอนกับเจ้าที่นี่”
“เอ๋? ท่านอ๋อง? เพราะเหตุใดหรือเพคะ?”
หลินเมิ้งหยาเบิกตาโต เรื่องระหว่างนางกับหลงเทียนอวี้ก็ถูกดักฟังไปเรียบร้อยแล้วนี่
“เป็นความเห็นของหมู่เฟย”
อันที่จริงเมื่อช่วงบ่าย หมู่เฟยตามหลงเทียนอวี้ไปแนะนำสั่งสอนที่ตำหนักหยาเสวียน
ใจความส่วนใหญ่คืออายุของเขาไม่น้อยแล้ว เขาควรจะมีทายาทสืบสกุล
เมื่อก่อนไม่เร่งรีบเพราะหลงเทียนอวี้ไม่แม้แต่จะเก็บผู้หญิงคนใดไว้ใกล้ตัว ดังนั้นจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
ทว่าตอนนี้เขามีพระชายาที่ถูกต้องตามประเพณีแล้ว แม้จะเพิ่งร่วมเรียงเคียงหมอนได้สองเดือน แต่พระสนมเต๋อเฟยใจร้อนอยากเร่งมีหลานให้อุ้มไวๆ
ดังนั้นเพื่อรับปากกับหมู่เฟย หลงเทียนอวี้จึงคิดหาวิธีนี้ขึ้นมา
“เพคะ? แต่ท่านอ๋อง หากพวกเราต้องส่งเสียงร้องอึกทึกครึกโครมกันทั้งคืน เกรงว่าจะกระทบกับการพักผ่อนของท่านนะเพคะ”
หลินเมิ้งหยาจ้องมองนิ้วเรียวยาวของตนเองเขม็ง แต่กลับเอ่ยปฏิเสธด้วยท่าทางสลดใจ
“ไม่มีทางเลือก เรื่องนี้ได้พูดออกไปแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องคนสอดแนมยกให้เป็นหน้าที่ของหลินขุยก็แล้วกัน”
หลงเทียนหยู๋หมุนตัว ส่งเสียงเด็ดขาด หลินเมิ้งหยาได้ชื่อว่าเป็นพระชายาของเขาแล้ว ต่อจากนี้ไปหาเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ก็แล้วกัน
“แต่ว่า…ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอเป็นคนไต่สวนชิงหูเองได้หรือไม่เพคะ?”
ในเมื่อคำร้องขอไม่เป็นผล หลินเมิ้งหยาจึงทำได้เพียงยอมรับและขอเรื่องอื่นแทน
หลงเทียนอวี้หันหน้ากลับมามองผู้หญิงตรงหน้า มือลอบสังหารชิงหูคนนั้นมีหน้าตาหล่อเหลา
หรือว่า…คนผู้นั้นจะทำให้หัวใจของพระชายาของเขาสั่นไหวเข้าเสียแล้ว?
“เจ้าเด็กนั่นกล้าหลอกลวงหม่อมฉัน หม่อมฉันจะถลกหนังแล้วเลาะเส้นเอ็นของเขาออก เพื่อให้เขานึกเสียใจที่กล้าโป้ปดตลบตะแลงต่อหน้าหม่อมฉัน!”
ไม่ใช่แน่นอน! หลงเทียนอวี้พยักหน้าลง นัยน์ตาประหลาดใจ ดูท่าเขาจะคิดมากจนเกินไป
เพียงได้เห็นแสงประกายในดวงตาของหลินเมิ้งหยา อีกทั้งใบหน้าโหดเหี้ยมดุดัน เขารู้ได้ทันทีเลยว่าชิงหูผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติอย่างแน่นอน
เมื่อส่งหลงเทียนอวี้กลับไป หลินเมิ้งหยาหมุนตัวเข้านอนด้วยความสบายใจจนกระทั่งฟ้าสาง
แม้องครักษ์ในจวนจะรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างมากที่ต้องทำงานดึกดื่นทั้งคืน แต่คนอื่นๆ ในเรือนกลับกระปรี้กระเปร่าเป็นปกติ
อย่างเช่น คุณหนูทั้งสองที่ไม่ยอมออกจากจวนแห่งนี้ไป
“นายหญิง ท่านคงไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณหนูรองและคุณหนูหรูฉินเข้ามาอยู่ที่นี่ พวกนางต่างพากันเปลี่ยนกฎระเบียบทุกวันเพื่อเอาอกเอาใจพระสนมเต๋อเฟย หนู่ปี้รู้สึกรำคาญใจแทนนายหญิงเหลือเกินเจ้าค่ะ!”
เช้าของวันถัดมา ป๋ายจื่อเข้ามาพยุงร่างของหลินเมิ้งหยาให้ตื่นนอน ก่อนจะบ่นกรอกหูหลินเมิ้งหยาไม่หยุด
จะทำอย่างไรได้ หลินเมิ้งหวู่และเจียงหรูฉินทำเรื่องน่าอับอายขายหน้าในจวนอีกครั้งแล้ว
ต้าจิ้นยังคงอนุรักษ์ธรรมเนียมประเพณีแต่เก่าก่อน หญิงสาวที่ยังมิได้ออกเรือน อย่าว่าแต่มาอาศัยชายคาเดียวกับชายหนุ่มเลย เพียงแค่ออกจากบ้านก็ถือว่าเป็นการทำผิดประเพณี
เรื่องนี้พระสนมเต๋อเฟยน่าจะรู้ดีเสียยิ่งกว่าตนเองอีก
แต่ยิ่งนางแสดงความใจกว้างมากเท่าไร พระสนมเต๋อเฟยจะยิ่งคิดว่าหญิงสาวทั้งสองไม่รู้จักกฎระเบียบเหล่านั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในราชวงศ์คือการเคารพกฎและธรรมเนียมประเพณี ห้ามมิให้เกิดเรื่องบัดสีอันส่งผลร้ายต่อราชสกุลโดยเด็ดขาด
แม้ตัวนางจะได้ทำเรื่องน่าน่าเกลียดน่ากลัวไปแล้วมากมาย ทว่าฉากหน้านางยังคงเป็นพระชายาที่ปฏิบัติตนตามกฎระเบียบมิเคยออกนอกลู่นอกทาง
“นางจิ้งจอกไร้ยางอาย! คิดว่าตัวเองเป็นนายหญิงของจวนอวี้หรืออย่างไร? แม้แต่ของใช้พระชายายังกล้าเอาไป!”
เสียงก่นด่าแสบทรวงของป๋ายซ่าวดังมาแต่ไกล
เมื่อป๋ายซ่าวก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้ามา หลินเมิ้งหยาได้ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่บวมแดง
เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งถูกตบมา
บังอาจนัก! หัวใจของหลินเมิ้งหยาเย็นเฉียบ ช่วงนี้นางยุ่งอยู่กับการช่วยเหลืองานของท่านอ๋องจนลืมเก็บกวาดพวกขยะในบ้าน
หลินเมิ้งหยาที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วนั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมองป๋ายซ่าวหยิบกล่องอาหารเช้าออกมาจากกล่องไม้สีแดง
ยำไก่ฉีกกับแตงกวา ยำเห็ดเข็มทอง ซาลาเปาไส้ถั่วดำสามลูกและโจ๊กลูกเดือยร้อนๆ ทั้งหมดนี้คืออาหารเช้าของนาง
หลินเมิ้งหยาไม่ส่งเสียง หยิบตะเกียบแล้วคีบแตงกวาที่ดูไม่สดเท่าไรขึ้นมา
“ข้าว่าพ่อครัวของจวนดูท่าจะทำอาหารไม่ได้เรื่องแล้ว ป๋ายจี เจ้าจงไปหาพ่อบ้านเติ้งแล้วถ่ายทอดคำสั่งของข้า โบยพ่อครัวที่ทำอาหารเช้าให้ข้าสิบทีแล้วไล่ออกจากจวนไป”
“แกร๊ง” เสียงดังขึ้น ถ้วยโจ๊กของหลินเมิ้งหยากระเด็นออกจากโต๊ะ
ขณะเดียวกัน ทาสรับใช้ในสวนต่างพากันหยุดมือแล้วด้อมๆ มองๆ ทางห้องของนายหญิง
ช่วงนี้หญิงสาวทั้งสองอาละวาดจนได้เรื่อง วันนี้พระชายาที่เคยมีความอดทนไม่อาจทนไหวอีกต่อไปแล้ว
ขณะเดียวกัน พวกที่มักจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นรอดูเหตุการณ์สนุกๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาต่างอยากรู้ว่าพระชายาที่เป็นนายหญิงของจวนแห่งนี้จะจัดการเช่นไร
“ป๋ายซ่าว อีกครึ่งชั่วโมงจงเรียกสาวใช้ ผอจื่อ ผู้ดูแล ทาสเด็กทุกคนมาพบข้าที่สวนหลิวซิน เห็นทีคราวนี้ข้าต้องสั่งสอนเรื่องกฎระเบียบแก่พวกเขาจะได้ไม่ทำให้จวนอวี้แห่งนี้ต้องขายหน้า”
แม้จะโกรธเกรี้ยว แต่น้ำเสียงของพระชายากลับไร้ซึ่งความขุ่นเคือง
กลับกัน พระชายามีท่าทีสงบนิ่ง นอกจากชามอาหารเช้าที่ถูกเหวี่ยงจนแตกกระจายแล้ว ไม่มีใครดูออกเลยว่าพระชายากำลังโกรธ
นี่ต่างหากที่เป็นคุณลักษณะที่ดีของนายหญิง หากสูญเสียอากัปกิริยาไปอย่างง่ายดาย เช่นนั้นคงถูกหัวเราะเยาะไปทั่ว
ผอจื่อที่เคยทำงานอยู่ในสกุลใหญ่ยิ่งคิดเห็นตรงกันว่า พระชายาแห่งสวนหลิวซินผู้นี้เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นนายหญิงของที่นี่
ยังไม่ถึงสิบห้านาที ผู้ดูแล ทาสรับใช้ รวมถึงพ่อบ้านเติ้งและหลินขุยล้วนมาถึงสวนหลิวซิน
หลินเมิ้งหยาเหลือบมอง ขาดเพียงแค่ผอจื่อที่ทำการทำงานอย่างมีไหวพริบและคล่องแคล่วสามสี่คนเท่านั้น
ดูท่า พวกนางคงไม่เห็นหัวนางที่เป็นนายหญิงของจวนนี้แล้วกระมัง แต่กลับไปปรนนิบัติรับใช้ว่าที่นายหญิงคนใหม่?
หลินเมิ้งหยาสวมใส่ชุดชาววังสีแดงปักดิ้นทองลายผีเสื้อ บนศีรษะสวมใส่เครื่องประดับลายดอกโบตั๋นสีทอง ใบหน้าท่าทางสง่างามเกินกว่าใครจะเทียบเทียม
ต่อให้เจียงหรูฉินและหลินเมิ้งหวู่จะมัดความสวยรวมกันแต่ก็มิอาจงดงามเกินนางไปได้
แม้แต่สาวงามทั่วทั้งเมืองหลวงเองก็เกรงว่าจะมิมีใครสู้ความงามของนางได้เลย
ข้าทาสที่อยู่ในสวนหลิวซินตอนนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทพระชายาเลยแม้แต่น้อย
“ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ก็เพราะอยากให้พวกเจ้าจำกฎระเบียบให้ขึ้นใจ แม้ข้าจะยังเด็ก แต่ก็มิอาจยินยอมให้จวนอวี้ต้องอับอายขายหน้าได้ หากมีสิ่งไหนที่ทำผิดพลาดไป ขอพวกเจ้าอย่าได้ถือสา”
ใบหน้าแย้มยิ้ม แต่กลับเจือไว้ซึ่งความเย็นชา
นี่…นี่เป็นลักษณะท่าทางของเด็กอายุสิบแปดที่ไหนกัน แม้จะเป็นฮูหยินที่ดูแลงานภายในบ้านมานานนับหลายปีก็มิอาจมีความน่าเกรงขามเช่นนางได้
“นับตั้งแต่วันที่ข้าเข้ามาอยู่ในจวน ท่านอ๋องมอบหมายงานในเรือนให้ข้าดูแลเพราะความรัก ที่ผ่านมาข้ามิเคยบีบบังคับพวกเจ้า ทว่าเมื่อเช้านี้กลับคนกล้าแหกกฎทำร้ายสาวใช้ระดับหนึ่งของข้า แม้มันจะดูไม่ใช่สลักสำคัญอะไร เมื่อสาวใช้ทำผิด จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน แต่ข้าไม่รู้ว่าคนที่ตบตีสาวใช้ของข้า ตกลงคือใครกัน?”