ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 2 บทที่ 44 ตามหาแต่ไม่พบ
“ท่านอ๋อง พี่สาวข้า…พี่สาวข้า…” ทันทีที่ฟื้นขึ้น หลินจงอวี้รีบคว้าเข้าที่กางเกงของหลงเทียนอวี้ ก่อนจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“เจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าผู้ใดพาตัวนางไป?” คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน ภายในห้องมีอากาศถ่ายเท ทว่ายังคงหลงเหลือกลิ่นของหมีเซียง ดูท่าเถาฮวาอู๋จะเตรียมการมาเป็นอย่างดี
เหยียบจมูกเขาถึงถิ่น บังอาจนัก!
“ไม่เห็นพ่ะย่ะค่ะ ข้าจำได้เพียงแค่ว่าตนเองกำลังนั่งพูดคุยกับพี่สาวอยู่ คุยไปคุยมา อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกเวียนหัว จากนั้นพอข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พี่สาวก็หายตัวไปแล้ว”
หลินจงอวี้ตีอกชกหัว เหตุใดคนกลุ่มนั้นจึงไม่ลักพาตัวเขาไปด้วย
พี่สาวจะหวาดกลัวหรือไม่?
“หลินขุย รีบพาองครักษ์ไปตรวจสอบที่ท่าเรือใหญ่ พ่อบ้านเติ้งไปหาเบาะแสเพิ่มเติม หากไม่มีคนสอดแนม พวกเขาไม่มีทางเข้ามาถึงตำหนักฝ่ายในได้อย่างแน่นอน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เหลือบมองเตียงว่างเปล่าที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย อีกทั้งยังมีปิ่นปักผมทิ้งเอาไว้
หลงเทียนอวี้หยิบขึ้นมา ทว่าเขากลับได้เห็นคราบเลือดจางๆ บนปิ่นอันนั้น
หรือหลินเมิ้งหยาจะไม่ได้ถูกวางยาจนสลบ?
หลินเมิ้งหยาที่ถูกชิงหลวนและฮั่วเฟิงพามายังคุกนั่งอยู่ข้างหน้าต่างด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
หากนางทายไม่ผิด ที่นี่คือใต้ท้องเรือ
นางเคาะหน้าต่างใสแจ๋ว วัสดุน่าจะทำมาจากคริสตัล
ด้านนอกของคริสตัลมืดสนิท บางครั้งบางทีก็มีแสงสว่างผ่านให้เห็น หลินเมิ้งหยาตั้งใจมอง ที่นี่…คือโลกใต้น้ำ
สวรรค์โปรด ทั้งที่ไม่มีวิทยาการสมัยใหม่ แต่คนเหล่านี้ทำได้อย่างไรกัน?
ก่อนนั้นทุกคนต่างพากันคาดเดาว่าเถาฮวาอู๋น่าจะอยู่ที่ท่าเรือขนาดใหญ่
แต่ใครจะรู้เล่าว่ารังที่แท้จริงของเถาฮวาอู๋จะหลบซ่อนอยู่ใต้น้ำ
ตอนนี้ความหวังในการหลบหนีเริ่มริบหรี่ลง
“เจ้าเด็กน้อย เมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว อย่าคิดเลยว่าจะได้กลับออกไป” อยู่ๆ ประตูที่ถูกปิดสนิทก็เปิดออก ชิงหูที่มีท่าทางเกียจคร้านปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
“เหตุใดข้าต้องหนีด้วยเล่า? ไม่ว่าช้าหรือเร็ว เจ้าก็ต้องส่งข้ากลับไปอยู่ดี”
ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น หลินเมิ้งหยายังคงนั่งด้วยท่าทางผ่อนคลายอยู่ข้างหน้าต่างและจับจ้องมาที่ชิงหู
“ข้าตกลงตามเงื่อนไขของเจ้าที่ว่าจะปกป้องดูแลเจ้าเป็นเวลาสามปี ส่วนเงื่อนไขของข้าคือเจ้าจะต้องทำการถอนพิษให้กับข้า” ชิงหูเดินเข้ามา จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ภายในห้อง
เมื่อเทียบกับเมื่อครู่ ท่าทางเหลาะแหละลดน้อยลง แต่ความอ้างว้างกลับเพิ่มมากขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้าประหลาดใจเหลือเกิน ตกลงว่าใครกันแน่ที่เลี้ยงดูนักฆ่าเช่นเจ้าเอาไว้”
กลิ่นกายแปลกประหลาดของชิงหูสามารถทำให้คนดมแข็งแรงขึ้นภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่ข้อเสียของมันคือการเสพติด อีกทั้งยังต้องทุกข์ทรมานแทบทุกเดือน
“ข้า…ถูกรับเลี้ยงเอาไว้ พ่อของข้าคือนายใหญ่ของเถาฮวาอู๋”
ภายในห้อง แสงไฟริบหรี่ มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ใบหน้าเรียวเล็กของชิงหูจึงปรากฏร่องรอยแห่งความเศร้าหมอง
หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปพลางเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าแสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าข้าเลย มันไม่มีประโยชน์”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ ชิงหูระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นกลับมามีท่าทางเย้ายวนดังเดิม
“ใจแข็งดั่งหิน เหตุใดเหยียจึงตกอยู่ในกำมือเจ้ากันนะ?”
“สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อต้องเจรจากับคนอย่างพวกเจ้าก็คือระวังอย่าให้ถูกหลอกเอาได้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเจ้า คิดจะทำตัวน่าสงสารแล้วหลอกเอายาถอนพิษจากข้า…ฝันไปเถอะ!”
ชิงหูผู้นี้เจ้าเล่ห์มากจนเกินไป โชคดีที่หลินเมิ้งหยามีจุดเด่นในเรื่องหลักการทางการพูด
มิเช่นนั้นคงถูกเขาหลอกอย่างแน่นอน
“โอ้โหยว เจ้าฉลาดเหมือนกันนี่ ไม่เหมือนกับท่านอ๋องคนนั้นของเจ้า เขาส่งคนสำรวจท่าเรือน้อยใหญ่ละแวกนี้ไปจนหมดแล้ว แต่น่าเสียดาย รังเถาฮวาอู๋ของเหยียอยู่ใกล้เพียงใต้เปลือกตาของเขาเท่านั้น”
หัวใจของหลินเมิ้งหยากระตุกระรัว เหตุใดจึงไม่เคยมีใครรู้จักรังของเถาฮวาอู๋เลยแม้แต่คนเดียว?
“วางใจเถิด เมื่ออาทิตย์ส่องแสง เหยียจะส่งตัวเจ้ากลับไป เจ้าเด็กน้อย อย่าได้คิดทำอะไรแผลงๆ มิเช่นนั้นแม้แต่ข้าก็ปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้”
ชิงหูเคาะหน้าผากของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะเดินออกจากห้องขังชั่วคราวของนางไป
แต่หวังเหลือเกินว่าหลงเทียนอวี้จะหารังเถาฮวาอู๋เจอ ทว่า ฟังจากน้ำเสียงของชิงหูแล้ว ความเป็นไปได้กลับมีน้อยมาก
“ท่านอ๋อง ตรวจสอบทั้งหมดสิบแปดท่าแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของการหายตัวไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่บนท่าเรือ จ้องมองเรือลำเล็กลำน้อย แต่หากอ้างอิงจากคำสารภาพของผู้ว่าการแล้วละก็ ไม่มีท่าเรือแห่งไหนเลยที่จะใหญ่อย่างที่เขาพูด
เกิดอะไรขึ้น? หรือพวกเขาจะหายไปจากท่าเรือโดยไร้ร่องรอยภายในคืนเดียว?
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น จะต้องหาเถาฮวาอู๋ให้เจอ มิใช่เพียงเพราะหลินเมิ้งหยาตกอยู่ในกำมือของพวกเขา สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาไม่มีทางยอมให้ผู้ใดเข้ามากระตุกหนวดเสือถึงพระตำหนักได้ง่ายๆ
นี่มิใช่เพียงการทำร้ายหลินเมิ้งหยาได้อย่างง่ายดาย แต่ยังเป็นการยั่วยุตัวเขาอีกด้วย
“พวกเจ้าหาให้หมดทุกซอกทุกมุม อย่าละเลยแม้แต่ร่องรอยเท่าตัวมด หากพบเบาะแสของพระชายา จงรีบเข้ามารายงานข้าทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ประจำจวนหยู๋ออกค้นหาอีกครั้งอย่างเงียบเฉียบ เขาไม่อาจออกค้นหาหลินเมิ้งหยาได้อย่างโจ่งแจ้ง
มิเช่นนั้น คนพวกนั้นจะต้องถือโอกาสนี้แพร่กระจายข่าวลือเสียๆ หายๆ อย่างแน่นอน
คำพูดของคนคือภัยเงียบที่แท้จริง
ส่งคนโง่เขลามาเป็นพระชายาของหลงเทียนอวี้ผู้นี้ จากนั้นคิดว่าจะพานพบแต่ความผาสุก
ทว่าเมื่อเห็นว่าหลินเมิ้งหยากลับกลายเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป พวกเขาจึงส่งคนมาจับตามองพระชายาของตนเอง เมื่อใดที่นางพลาดท่า เมื่อนั้นข่าวลือเสื่อมเสียชื่อเสียงคงมิวายแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง
จิตใจโหดร้ายเกินมนุษย์
“ท่านอ๋อง พระสนมเต๋อเฟยเหนียงเหนียงต้องการให้พระองค์เข้าเฝ้าเป็นการด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านหลังของหลงเทียนอวี้ พ่อบ้านเติ้งยืนคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น สายตาจับจ้องมองทางผิวน้ำที่ยังคงสะท้อนแสง
“อืม ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เวลานี้แล้วแท้ๆ เหตุใดหมู่เฟย…
เมื่อหลงเทียนอวี้กลับไปถึงตำหนักหยาเสวียนของพระสนมเต๋อเฟย เขาได้เห็นเจียงเฉิงยืนอยู่ข้างกายของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว
เพราะเหตุนี้หมู่เฟยจึงรีบร้อนตามหาเขา ที่แท้เจ้าเด็กคนนี้ปากยื่นปากยาวเล่าเรื่องให้หมู่เฟยฟังแล้วสินะ
“หมู่เฟย ท่านตามหาข้าเพราะมีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายตามองทางเจียงเฉิง ก่อนจะหันไปมองทางใบหน้าเย็นชาดุจหิมะของลูกชาย นางมิรู้ว่าควรพูดเช่นไร
“หยาเอ๋อร์ล่ะ? เหตุใดจึงไม่มากับเจ้าด้วย?”
หลงเทียนอวี้หลุบตาต่ำ รีบเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าพระสนมเต๋อเฟยแล้วตอบ “พระชายาบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าหมู่เฟยมีเรื่องอะไรจะรับสั่งอย่างนั้นหรือ?”
“ยังจะหลอกข้าอีกอย่างนั้นหรือ? จิ้งเยว่ไปสืบข่าวมาแล้ว พระชายาองค์นั้นของเจ้าหายตัวไป เจ้าจะปิดบังข้าไปจนถึงเมื่อไร!”
มือที่นิ้วสวมใส่ปลอกนิ้วสีทองฟาดลงบนโต๊ะ
เด็กคนนี้มีนิสัยดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก
คิดไม่ถึงเลยว่าเกิดเรื่องใหญ่โตที่ตำหนักมากถึงขนาดนี้แล้ว แต่เขากลับไม่คิดจะเข้ามาปรึกษานางเลยแม้แต่น้อย
“หมู่เฟยอย่าขุ่นเคืองพระทัยเลย เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก หากหมู่เฟยรู้เข้าจะต้องเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากเป็นเช่นนั้นเอ๋อร์เฉินคงมิอาจทนมองได้”
เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ ความโกรธเกรี้ยวของพระสนมเต๋อเฟยจึงคลายลงเล็กน้อย
แต่เมื่อได้เห็นสัญญาณผ่านทางสายตาของเจียงเฉิง ความเงียบบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่นางจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“เปิ่นกงรู้ว่าเจ้าเอ็นดูพระชายามาก แต่หากนางถูกลักพาตัวไป อย่างไรนางก็คงถูก…”
หลงเทียนอวี้เอ่ยขัดคำพูดของพระสนมเต๋อเฟยทันที
“หมู่เฟยโปรดวางใจ ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอย่างแน่นอน”
สายตาเย็นชาตกลงบนร่างของเจียงเฉิง จนคนถูกมองอดไม่ได้ที่จะหดตัวเล็กลง
สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดคือพวกปากยื่นปากยาว
ดูเหมือนญาติผู้น้องคนนี้ควรจะมาเยือนที่นี่ให้น้อยลง
“อืม ควรจะเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่เช่นนั้น ต่อให้เจ้าเกลียดข้า โกรธข้า แต่หมู่เฟยก็จะจัดการเรื่องนี้ จริงสิ หรูฉิน…”
“หมู่เฟย เอ๋อร์เฉินมิต้องการให้หรูฉินมาที่นี่ เรื่องของเอ๋อร์เฉิน เอ๋อร์เฉินจะเป็นผู้จัดการเอง”
ปฏิเสธความปรารถนาดีของหมู่เฟยอย่างเด็ดขาด หลงเทียนอวี้ไม่ไว้หน้าเจียงเฉิงเลยแม้แต่น้อย
ครั้นสมัยยังเด็ก เสด็จพ่อและหมู่เฟยเคยพูดติดตลกว่าจะให้หรูฉินแต่งงานเป็นพระชายาของตนเอง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเห็นหรูฉินเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น
เจียงเฉิงคนนี้ ยุ่งวุ่นวายเกินไปแล้ว
“แต่อาใหญ่ของเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับหมู่เฟยมาตลอดหลายปี อีกทั้งเขายังรักและเอ็นดูหรูฉินมาก มิเช่นนั้นคงไม่มาขอร้องหมู่เฟยถึงที่นี่”
พระสนมเต๋อเฟยอึดอัดใจเล็กน้อย นางมองดูหรูฉินเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย
ทั้งฉลาด สวยงาม กิริยาวาจานอบน้อมอ่อนหวานดั่งหญิงผู้ดีมีสกุลทั่วไป
หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกันคงจะดีไม่น้อย
แม้หยาเอ๋อร์จะดี แต่เจียงเฉิงกลับไม่คิดเห็นเช่นเดียวกับนาง อีกทั้งยังเอ่ยว่าหยาเอ๋อร์ใจดำอำมหิต ไม่เหมาะที่จะเป็นพระชายาอวี้
อีกทั้งตอนนี้หยาเอ๋อร์ยังถูกลักพาตัวไปอีก
หากเกิดเรื่องเลวร้ายอันใดขึ้น นางจะเป็นผู้ไปรับหรูฉินเข้ามาเป็นสะใภ้ที่จวนอวี้แห่งนี้ด้วยตนเอง
“ท่านอาใหญ่มีพระคุณยิ่งนัก อวี้เอ๋อร์จะจดจำเอาไว้อย่างแน่นอน แต่หมู่เฟยอย่าลืม อวี้เอ๋อร์เพิ่งจะแต่งงานกับพระชายาได้ไม่นาน หากอยู่ๆ ก็ตกแต่งพระชายารองเข้ามา เกรงว่าจะเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงเย็นชาประดุจน้ำแข็ง
ตอนแรกฮองเฮานำชีวิตของหมู่เฟยมาต่อรองเพื่อบีบบังคับให้เขาแต่งงานกับหลินเมิ้งหยา
ตอนนี้หมู่เฟยนำบุญคุณของท่านอาใหญ่มาบังคับให้เขาแต่งงานกับหรูฉิน
การแต่งงานของเขาถูกใช้ประโยชน์เพียงครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้ว
แม้ว่าหลงเทียนอวี้จะรู้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางมีผู้หญิงคนใดสามารถเข้ามาอยู่ในใจของเขาได้ ทว่าเขากลับต้องจำยอมแต่งงาน
“เรื่องนี้…ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นจะปล่อยเจ้าไปชั่วคราวก็แล้วกัน เจ้ารีบตามหาตัวพระชายาให้เจอ หลังจากพานางกลับมายังตำหนักแล้ว เปิ่นกงมีเรื่องต้องการจะถามนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาพยักหน้าลง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“เฉิงเอ๋อร์ เจ้าเองก็ไปกับพี่ชายเจ้าเถิด เปิ่นกงจะเข้านอนแล้ว”
โบกมือแล้วไล่เจียงเฉิงออกจากตำหนักหยาเสวียน จิ่นเยว่และจิ้งเยว่ประคองข้าไปยังห้องบรรทมชั้นใน
“ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงไม่แต่งงานกับหรูฉินเล่า? หรูฉินทั้งน่ารักและฉลาดเฉลียว ดีกว่าผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
เจียงเฉิงกู่ร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่กล้าพูดจาเกินงาม
สายตาเฉยชาไร้ความรู้สึกตกลงบนร่างของเจียงเฉิง หลงเทียนอวี้อ้าปากเอ่ยเสียงเรียบ
“ต่อจากนี้ไป ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้ามาไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ามิเช่นนั้น ข้าจะเป็นคนโยนเจ้าออกไปจากจวนแห่งนี้ด้วยตนเอง!”
น้ำเสียงเย็นชาเจือไว้ซึ่งความโหดเหี้ยม
เจียงเฉิงผู้กล้าหาญไม่กล้าแม้แต่จะสูดอากาศหายใจ
ตอนแรกคิดว่าท่านป้าจะช่วยพูดให้ท่านพี่แต่งงานกับหรูฉินได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะดวงซวยถึงเพียงนี้
เขาส่ายหน้า ทว่าเขากลับทำได้เพียงเดินคอตกตามพี่ชายตนเองไปและไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา