ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 441 ความคิดใครความคิดมัน
“พวกท่านหมายถึง…ตำราชิงเจิงผู่ใช่หรือไม่?”
คำถามนี้ของหลินเมิ้งหยาทำให้บุรุษทั้งสามตื่นตะลึง ขณะเดียวกันพวกเขามีความคิดของตนเอง แม้ว่าใบหน้าจะยังคงสงบนิ่งอยู่ก็ตาม
สมองของหลินเมิ้งหยาหมุนติ้ว ต่อให้นางโง่เขลาแต่นางก็ดูออกว่าตำราชิงเจิงผู่หาใช่ตำราแพทย์ธรรมดาๆ
“ข้าคงไม่อาจปิดบังพวกท่าน ข้าหาตำราชิงเจิงผู่เจอแล้ว แต่มันก็ถูกทำลายลงไปแล้วเช่นเดียวกัน”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาหาได้พูดจาไร้สาระ เหตุเพราะนอกจากคนที่มีระบบเซินหนงเช่นเดียวกับนางแล้ว คนอื่นก็ไม่มีทางอ่านตัวอักษรออก
ยิ่งไปกว่านั้นหากเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในตำราออกมาแล้วล่ะก็ บางทีก็อาจไม่ส่งผลดีต่อพวกเขาทั้งสาม
“ทำลายลงแล้ว…”
คนที่มีปฏิกิริยาเด่นชัดสุดเห็นจะเป็นชิวอวี้
ใบหน้าอึ้งงันเหมือนคนสิ้นสติ ปากขมุบขมิบพึมพำ
“ตำราชิงเจิงผู่เป็นเพียงตำราธรรมดาเท่านั้น แม้จะถูกทำลายก็ไม่เห็นจะต้องเสียใจถึงเพียงนี้”
เพียงได้ยินประโยคนี้ของนาง จั่วชิวอวี้แสดงท่าทีต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด
ท่าทางเสมือนคนเจ็บปวดเจียนตาย สายตาจับจ้องหลินเมิ้งหยาราวกับนางเป็นเด็กไม่เอาไหน
ทว่าจั่วชิวเฉินกลับเข้ามาห้ามเขาเอาไว้ แม้ฮ่องเต้พระองค์นี้จะอึ้งงันมิต่างกัน แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นน้อยๆ
“ไม่เป็นไร ถูกทำลายไปแล้วก็ดี เท่านี้เจ้าก็ไม่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว”
“แต่ว่า…ฮวงซง หากไม่มีตำราชิงเจิงผู่ เช่นนั้นพวกคนในหอป๋ายเฉา…”
“เลิกพูดได้แล้ว”
จั่วชิวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย ทว่าจั่วชิวเฉินกลับร้องขัด
สายตาข่มขู่ชวนให้รู้สึกหวั่นคร้าม หากเขาตัดสินใจแล้ว ไม่มีทางมีผู้ใดฝ่าฝืนได้
“เมิ้งหยา เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด อาอวี้ออกไปกับข้า ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
แม้จะไม่อยากไปแต่จั่วชิวอวี้ก็จำใจเดินตามหลังจั่วชิวเฉินออกไปด้วยท่าทางห่อเหี่ยวดั่งมะเขือถูกทุบ
หลงเทียนอวี้ประคองหลินเมิ้งหยาให้ดื่มน้ำ
แม้จั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้จะพูดอ้ำอึ้งราวกับคนเป็นใบ้ แต่หลินเมิ้งหยาพอจะเดาได้อยู่หลายส่วน
ตำราชิงเจิงผู่จะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของนางจะต้องไม่ใช่เพียงองค์หญิงแห่งเมืองหลินเทียนธรรมดาอย่างแน่นอน
นางรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ทั้งจั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้ล้วนดีกับนางมาก แต่ตอนนี้บาดแผลของนางยังไม่หายดี หากต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก เกรงว่าจะไม่ส่งผลดี
“หลงเทียนอวี้ พระองค์คิดว่าหม่อมฉันควรช่วยพวกเขาดีหรือไม่?”
แม้ดวงตาจะสั่นไหวแต่ถึงสีหน้ายังสงบนิ่ง
หลินเมิ้งหยาจ้องมองเขา ดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ
ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามา แต่หลงเทียนอวี้รู้จักหลินเมิ้งหยาดี หากนางรู้เรื่องเข้าล่ะก็….
หัวใจพลันเย็นเชียบ ไม่ จะต้องไม่เผยพิรุธให้นางจับได้!
“เป็นอะไรไป? เจ้ารู้สึกลำบากใจใช่หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย หลงเทียนอวี้ดึงสติกลับมา พยายามอย่างยิ่งในการยับยั้งความกระวานกระวายในใจ มุมปากหยักยิ้มน้อยๆ
“ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นญาติผู้พี่ของเจ้า แต่ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี หากได้รับการกระทบกระเทือน แม้เจ้าจะมีใจแต่ก็คงไร้กำลัง”
หลินเมิ้งหยาพิงหัวเตียง พยักหน้าเบาๆ
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางมองออกว่าจั่วชิวเฉินและจั่วชิวอวี้ทำดีกับนางเป็นพิเศษเพราะมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง แต่ถึงอย่างไรนางก็มั่นใจว่าพวกเขาจริงใจต่อนาง
หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่บางอย่าง เช่นนั้นนางมิควรสอดมือเข้าไปยุ่ง
“จริงสิ หม่อมฉันจำได้ว่าพระองค์ออกมาเพื่อลาดตระเวนพื้นที่เพาะปลูก แต่ตอนนี้พระองค์กลับมาอยู่ที่ต่างเมือง เช่นนั้นทางฝั่งไท่จื่อจะไม่ตามล่าหาตัวพระองค์หรือเพคะ?”
มุมปากของหลงเทียนอวี้หยักยกขึ้นน้อยๆ ขณะช่วยนางเช็ดปาก
“เขามีเวลาสนใจข้าเสียที่ไหน คงไม่พูดไม่ได้ว่าเจ้าและจั่วชิวอวี้ฝีมือเก่งกาจยิ่งนัก หลังจากพวกเจ้าออกเดินทางไม่นาน เสด็จพ่อก็ฟื้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครแอบเล่าเรื่องที่พวกเจ้าออกจากเมืองมาเสาะหายาให้เสด็จพ่อฟัง ขณะนั้นข้ากำลังเดินทางกลับจากกานโจว แต่ได้รับพระราชโองการลับจากเสด็จพ่อเสียก่อน พวกไท่จื่อแอบกระทำความผิดลับหลังเสด็จพ่อเอาไว้มากมาย ตอนนี้พวกเขากำลังพยายามหาวิธีปกปิดอยู่ ฉะนั้นยามนี้ย่อมไม่มีเวลามาสนใจข้า”
คิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาตรึกตรองในใจ ตอนแรกนางคิดว่าฮ่องเต้จะปกปิดเรื่องการฟื้นคืนสติเอาไว้เป็นความลับ เหตุเพราะหากบอกให้พวกไท่จื่อรับรู้ เช่นนั้นจะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ?
ทว่าเมื่อลองไตร่ตรองดูอีกหน เสด็จพ่อของหลงเทียนอวี้เป็นใครกันเล่า การที่พระองค์ทำเช่นนั้นย่อมมีเหตุผล
ตอนนี้ฮองเฮาและไท่จื่อแทรกแซงจนต้าจิ้นระส่ำระส่าย
“เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะออกไปติดตามเรื่องป๋ายซ่าว”
หลงเทียนอวี้หาข้ออ้างในการปลีกตัวจากหลินเมิ้งหยา เมื่อนางผงกศีรษะลง เขาจึงรีบสาวเท้าออกจากห้อง
เมื่ออยู่ด้านนอก เขาลอบถอนหายใจเบาๆ
แม้จะอยากอยู่กับนางเพียงลำพังแต่ถึงกระนั้นก็หวาดกลัวเหลือเกิน
นางเป็นคนมีสัญชาตญาณว่องไว ซ้ำยังฉลาดหลักแหลม ช่วงนี้เขาต้องระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษจึงจะไม่ทำให้หลินเมิ้งหยาเกิดความสงสัย
หากพวกป๋ายซ่าวมาถึง เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาจะได้หันเหความสนใจไปทางอื่น
หลุดยิ้มขมขื่นคราวหนึ่ง
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีวันที่จิตใจไม่สงบเพราะกำลังหลอกลวงผู้อื่นเช่นนี้
แต่เพราะอีกฝ่ายคือหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเขาจึงยินยอมพร้อมใจทำ
เฮ้อ ดูเหมือนจะเป็นไปตามคำพูดของคนโบราณที่ว่าไว้…ของสิ่งหนึ่งย่อมพิชิตของอีกสิ่งหนึ่งได้
ช่วงเวลาในการรักษาบาดแผลน่าเบื่อยิ่งนัก
นอกจากกินและนอน นางยังต้องดื่มยารสชาติขมเฝื่อนเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย เพราะเหตุนี้นางจึงผอมลงกว่าเดิมมาก
หลงเทียนอวี้และสองพี่น้องสกุลจั่วล้วนบ่นว่านางผอมจนเกินไป พวกเขาจะต้องบำรุงนางให้ดีกว่านี้
หลงเทียนอวี้นำข่าวมาแจ้งนางว่าอีกสามวันพวกป๋ายซ่าวจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงว่างเทียน
ทว่านอกจากอาซิ่วแล้ว หงอวี้และซู่เหมยเองก็ติดตามมาด้วย แต่สิ่งที่ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่านั่นคือตงฟางสวีเองก็เดินทางมาด้วยเช่นเดียวกัน
หลินเมิ้งหยาไม่ว่าอะไร เหตุเพราะตงฟางสวีนับเป็นชายชาตินักรบคนหนึ่ง
นางกับอาซิ่วมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งยังผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมาไม่น้อย ดังนั้นนางจึงมองพวกตงฟางสวีเสมือนสหายเก่า
เพียงแค่นางขอร้องหลงเทียนอวี้และจั่วชิวอวี้ว่ามิให้เผยตัวตนของนาง
โดยเฉพาะกับพวกท่านกัว นางกำชับเอาไว้ว่าให้บอกพวกเขาว่านางเป็นภรรยาของหลงเทียนอวี้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนางไม่อยากให้พวกท่านกัวรู้
แต่เพราะท่านกัวและตงฟางสวีดูแลปกป้องจั่วชิวอวี้และนางเป็นอย่างดี ดังนั้นจั่วชิวเฉินจึงมีพระราชโองการให้ขบวนการค้าของพวกเขาทั้งสองสามารถเดินทางเข้าออกเมืองหลินเทียนได้อย่างอิสระ ยิ่งไปกว่านั้นยังมอบสิทธิในการค้าเฉกเช่นเดียวกับคนในเมืองหลินเทียนให้แก่พวกเขาด้วย
เรื่องนี้ย่อมเป็นค่าตอบแทนที่มิอาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ คนฉลาดอย่างพวกท่านกัวจึงไม่เค้นถามสิ่งใด
โชคดีที่ตอนที่พวกป๋ายซ่าวมาถึง หลินเมิ้งหยาสามารถลุกขึ้นเดินได้บ้างแล้ว
นางได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ไหล่ขวา แต่เพราะเสียเลือดมากร่างกายจึงอ่อนแอ
ตลอดหลายวันมานี้นางอยู่ดีกินดี อีกทั้งยังดื่มยาบำรุงร่างกายมากมาย ดังนั้นร่างกายจึงแข็งแรงขึ้นไม่น้อยเรี่ยวแรงเองก็เริ่มกลับมาแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเหนื่อยง่าย เพียงเดินไม่กี่ก้าวก็หอบแฮ่ก แฮ่ก เสียแล้ว
ทว่าหลินเมิ้งหยารู้ดีว่าการอาบแดดย่อมส่งผลดีกับร่างกาย
หลงเทียนอวี้ประคองร่างของนางออกมายืนที่หน้าเรือนเพื่อชื่นชมดอกไม้ในสวน
“นี่เป็นของล้ำค่าที่เซิ่นจวิ้งอ๋องมอบให้จวิ้นจู่เป็นพิเศษเจ้าค่ะ ท่านอ๋องรับสั่งว่ามันคือหยางชุนป๋ายเสวี่ย ดอกไม้เหล่านี้ล้ำค่ายิ่งนัก เกรงว่าจะมีเพียงจวิ้นจู่เท่านั้นที่เหมาะสมกับดอกไม้เหล่านี้เจ้าค่ะ”
เหล่าสาวใช้ต่างรู้เรื่องที่ว่าแขกผู้พำนักในจวนแห่งนี้คือสมบัติล้ำค่าแห่งเมืองหลินเทียนแล้ว
ดังนั้นพวกนางจึงมักประจบประแจงหลินเมิ้งหยาอยู่บ่อยครั้ง
หลินเมิ้งหยามองดูดอกไม้สีขาวอมชมพู เคยได้ยินมาว่าหากต้องการให้ดอกไม้ชนิดนี้บาน เช่นนั้นจะต้องใช้นมวัวและนมแพะราดรดเป็นสารอาหาร
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนดอกไม้ผลิดอกต้องห้ามมิให้โดนฝน ลมแรงหรือตากแดดจัด กว่าดอกไม้จะเบ่งบานผู้ดูแลจะต้องใช้ความอดทนค่อนข้างมาก
แต่ละต้นจะออกดอกเพียงดอกเดียวเท่านั้น หากผลิดอกเกินหนึ่งดอก เช่นนั้นดอกไม้ทั้งสองจะแย่งสารอาหารกันและตายไปในที่สุด
ทว่าเมื่อดอกไม้เบ่งบานแล้ว ต่อให้ถูกลมกระโชกแรง เปียกฝนหรือโดนแดดแผดเผาก็มิเป็นปัญหา มันยังสามารถยื่นดอกชูชันได้อีกราวสิบวันเลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อจั่วชิวเฉินมอบมันให้กับนาง นางจึงดีใจเป็นอยากมาก
ดอกไม้ชนิดนี้ก็เหมือนกับนาง แม้จะต้องเติบโตขึ้นมาด้วยความหวาดระแวงและต้องเจออุปสรรคมากมาย แต่หลังจากดอกไม้ผลิบานแล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจเด็ดนางทิ้งได้อีก
ฮ่องเต้เมืองหลินเทียนร้ายกาจไม่เบา เปรียบเปรยคนกับดอกไม้ได้อย่างไร้ที่ติ
“ไปพักผ่อนตรงนั้นก่อนเถิด อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อย”
หลงเทียนอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาประคองหลินเมิ้งหยาไปนั่งบนเก้าอี้ที่รองด้วยผ้าขนแกะหนานุ่มเอาไว้แล้ว
หลงเทียนอวี้ยืนข้างกายนางตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทางของนางที่ชื่นชอบดอกหยางชุนป๋ายเสวี่ย เขาจึงจดจำสิ่งนี้เอาไว้
หากกลับไปที่จวนอวี้แล้ว เขาจะปลูกดอกไม้ชนิดนี้เพื่อทำให้นางดีใจ
“หม่อมฉันหาได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น นอกจากแขนขวาแล้ว ทุกอย่างล้วนปกติดี พระองค์อย่ากังวลไปเลย ไปจัดการธุระของพระองค์เถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาตบหลังมือหลงเทียนอวี้เบาๆ อันที่จริงนางรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย แต่เพื่อไม่ทำให้พวกป๋ายซ่าวเป็นกังวล ดังนั้นนางจึงพยายามเดินไปมาและแสร้างทำเป็นสบายดี
อย่าคิดว่าป๋ายซ่าวเป็นเพียงสตรีเลือดร้อน หากนางได้บ่นขึ้นมา รับรองว่าฝีปากไม่น้อยหน้าพี่น้องในจวนที่เหลือเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นนางแจ้งกับทุกคนแค่ว่านางตกจากหลังม้า มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้พวกคนที่ต้องการตำราชิงเจิงผู่มิกล้าลงมือทำอะไร
หากยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ นางไม่คิดแหวกหญ้าให้งูตื่น
“อืม พวกป๋ายซ่าวใกล้จะมาถึงแล้ว ข้าขอออกไปดูสักประเดี๋ยวแล้วจะกลับมา”