ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 436 ชาติกำเนิดที่แท้จริง
หลงเทียนอวี้จ้องมองชิวอวี้ไม่วางตา ราวกับว่ากำลังพิจารณาหาความจริง
ตราหยกลายมังกรอันนั้นเป็นของคนในราชวงศ์แห่งเมืองหลินเทียนไม่ผิดแน่ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามารดาของหลินเมิ้งหยาจะมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้
“ข้าคือน้องชายร่วมสายเลือดของฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนนามว่าจั่วชิวอวี้ มารดาของเมิ้งหยาเคยเป็นองค์หญิงองค์โตแห่งเมืองหลินเทียนนามว่าองค์หญิงหย่งหนิงจั่วซูชิง แต่ต่อมาเสด็จป้าทะเลาะกับเสด็จพ่อของข้า ดังนั้นจึงสละฐานันดร ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเสด็จพ่อสั่งพวกข้าเอาไว้ว่าจะต้องตามหาเสด็จป้าให้เจอและเชิญเสด็จกลับมาให้จงได้”
หลงเทียนอวี้เคยได้ยินพระนามขององค์หญิงหย่งหนิงมาก่อน เสด็จพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าองค์หญิงหย่งหนิงมีรูปโฉมงดงามล่มเมือง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพรสวรรค์มาแต่กำเนิดและเปรียบเสมือนสมบัติของเมืองหลินเทียน
ตอนนั้นนางเป็นที่หมายปองของเหล่าองค์ชายทั้งหลาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วจะแต่งงานกับหลินมู่จือ
“ข้าจะยอมเชื่อเจ้า”
ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง หลงเทียนอวี้เลือกที่จะเชื่อคำพูดจั่วชิวอวี้
หากจั่วชิวอวี้คิดร้ายกับหลินเมิ้งหยา เช่นนั้นเขาคงไม่ปกป้องนางด้วยชีวิต แม้เขาจะไม่เข้าใจวิชาการแพทย์ แต่เขารู้ดีว่าความสามารถทางการแพทย์ของชิวอวี้สูงกว่าแพทย์ทหารเหล่านี้มาก ตอนนี้หลินเมิ้งหยายังคงมีอาการน่าเป็นห่วง ในเมื่อมีเส้นด้ายแห่งความหวังโผล่ขึ้นมา เช่นนั้นเขาไม่ควรจะมองข้ามไป
รถม้าตระเตรียมเสร็จอย่างรวดเร็ว คาดว่าหลู่ตี๋รู้จักตัวตนของจั่วชิวอวี้อยู่นานแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าจั่วชิวอวี้จะร้องขอสิ่งใด เขาจึงทำให้โดยมิขัด
หลงเทียนอวี้อุ้มหลินเมิ้งหยาด้วยตนเอง ภายในรถม้ามีพรมขนสัตว์ผืนหนาวางรองเอาไว้แล้ว ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาและชิวอวี้ไม่มีทางได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแน่นอน
แม่ทัพด้านหน้าแถบชายแดนหลู่ตี๋ยืนกรานที่จะไปส่งพวกเขาด้วยตนเอง เมื่อมีกองกำลังของทหารหลวงคอยคุ้มกัน ดังนั้นพวกเขาย่อมเดินทางถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากค่ายทหาร เหตุเพราะจั่วชิวอวี้ได้รับบาดเจ็บที่แผ่นหลัง ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ไม่มีอะไรตกถึงท้องหลงเทียนอวี้มาทั้งวันแล้ว ริมฝีปากของเขาแห้งกรัง เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกจนกลายเป็นสีแดงก่ำ
ไม่ว่าใครจะโน้มน้าวเขาสักเท่าไร เขาก็ไม่ยอมขยับตัวออกห่างจากหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย
รถม้าแล่นโคลงเคลง รัตติกาลผันผ่าน แสงแห่งอรุณรุ่งส่องประกาย หลงเทียนอวี้ที่ดูแลหลินเมิ้งหยาตลอดทั้งคืนจึงหลับตาลง
ทุกสองชั่วยามจะมีคนมาทำแผลและนำยามาให้ หลงเทียนอวี้ยังคงป้อนหลินเมิ้งหยาด้วยวิธีการเดิม
นอกจากริมฝีปากบางสีเชอรี่ที่ขยับขึ้นลงน้อยๆ นางก็มิได้ขยับตัวเคลื่อนไหวอีก
หลงเทียนอวี้ตกใจสะดุ้งตื่นจากความฝัน
สิ่งแรกที่เขาทำคือมองดูหญิงสาวในวงแขนว่ายังสบายดีหรือไม่
เหงื่อผุดพรายขึ้นตามแนวหน้าผาก สายตาจับจ้องหลินเมิ้งหยาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเขาจึงวางใจ
ยกมือซ้ายของนางขึ้นวางบนใบหน้าของตนเพื่อส่งผ่านความอบอุ่นไปยังหัวใจ
โชคดีที่เป็นเพียงความฝัน หลินเมิ้งหยายังคงมีชีวิตอยู่ นางยังคงอยู่ข้างกายเขา แม้หัวใจของเขาในเวลานี้จะหวาดกลัวเพียงใดก็ตาม
ทั้งที่เวลาผ่านไปเพียงสองวันเท่านั้น ทว่าหัวใจของเขาทรมานจนยากจะทานทน
ช่วงย่ำรุ่งวันถัดมา จั่วชิวอวี้ไข้ขึ้นสูง เขายังคงหลับใหลและตื่นขึ้นมาบ้างบางครั้ง ทว่าอารมณ์ของหลงเทียนอวี้ใกล้จะระเบิดเต็มที เหตุเพราะหลินเมิ้งหยายังคงแน่นิ่งไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ
แพทย์ทหารกล่าวว่าบาดแผลค่อนข้างลึก หลินเมิ้งหยาอาจมีไข้เพราะอาการบาดเจ็บ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากนางจะไม่มีไข้หรือติดเชื้อแล้ว บาดแผลของนางยังตกสะเก็ดภายในระยะเวลาเพียงคืนเดียว
แพทย์ทหารกล่าวอีกว่าแม้บาดแผลภายนอกจะไม่มีปัญหา แต่ภายในยังบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นหากต้องการรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ขวา เช่นนั้นจะต้องเฉือนบาดแผลเพื่อใส่ยา
หลงเทียนอวี้ยิ้มไม่ได้หัวเราะไม่ออก นางแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่นางต้องทุกข์ทรมานแล้ว
นางไม่ควรเป็นผู้แบกรับความทรมานคราวนี้เลย
เดิมทีวังจักรพรรดิแห่งเมืองหลินเทียนอยู่เหนือสุดของแคว้น โดยมีอาณาเขตติดกับทะเล แต่หลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ เมืองหลวงใหม่ชื่อว่าว่างเทียนถูกย้ายไปอยู่ปลายสุดทิศตะวันตก
แม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่หลงเทียนอวี้ก็ได้ยินข่าวคราวของฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียนมาไม่น้อย
หากกล่าวว่าฮ่องเต้องค์ก่อนมีหัวใจกล้าแกร่ง เช่นนั้นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เป็นยอดฝีมือในการเล่นกับใจผู้คน
ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์กะทันหัน บ้านเมืองตกอยู่ในความโกลาหล เขาที่ยังเป็นเพียงองค์รัชทายาทมีเพียงขุนนางอ่อนแอสนับสนุน แต่องค์รัชทายาทผู้นี้รู้วิธีซื้อใจคน ดังนั้นราษฎรในเมืองหลินเทียนจึงสนับสนุนในการขึ้นครองบัลลังก์ของเขา
องค์รัชทายาทผู้เป็นขวัญใจของราษฎรใช้กำลังทหารอันน้อยนิดของตนเองปกปักษ์คุ้มครองบ้านเมืองและสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป
ฮ่องเต้องค์ใหม่มิแยแสต่อคำคัดค้านของขุนนางในราชสำนักในการย้ายเมืองหลวง
บางคนอาจคิดว่าฮ่องเต้พระองค์นี้เหลิงในอำนาจจนลืมตัว แต่หลงเทียนอวี้กลับเข้าใจว่าฮ่องเต้องค์นี้ได้ขึ้นครองราชย์เพราะราษฎร ดังนั้นเขาจึงต้องการย้ายเมืองหลวงเพื่อที่ตนเองจะได้เข้าไปอยู่จุดเสี่ยงอันตรายที่สุด หากวันหนึ่งบ้านเมืองถูกรุกราน เช่นนั้นศัตรูจะต้องบุกโจมตีเมืองหลวงว่างเทียนก่อน ดังนั้นเมื่อมีเมืองหลวงสกัดกั้นเอาไว้ ราษฎรเมืองหลินเทียนจึงมีเวลาลงเรือหนีออกนอกแคว้นได้ทันท่วงที
คงไม่พูดไม่ได้ว่าความคิดเช่นนี้ทำให้ราษฎรล้วนมีหัวใจจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นแม้เมืองว่างเทียนจะอยู่ใกล้กับแนวชายแดน แต่หากมองจากสภาพภูมิศาสตร์ เมืองหลวงว่างเทียนนับว่าเป็นที่ตั้งที่แข็งแกร่งแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
หากมิได้รับการสนับสนุนจากราษฎร เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะย้ายเมืองหลวงไปเช่นนี้
เพราะเหตุนี้เสด็จพ่อมักพูดเสมอว่าห้ามดูแคลนคนรุ่นหลังเป็นอันขาด เพียงดูจากวิธีการที่ฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งเมืองหลินเทียนพระองค์นี้ใช้ก็รู้ได้ทันทีว่าเขามีความทะเยอทะยานไม่น้อย
รถม้าแล่นทะยานตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่นานก็มาถึงกำแพงเมืองหลวงว่างเทียน
ทั้งที่เพิ่งย้ายเมืองหลวงมาได้ไม่นาน แต่หลงเทียนอวี้มั่นใจว่าฮ่องเต้องค์ใหม่นี้มีแผนการอยู่ในใจนานแล้ว
ไม่ว่ากำแพงเมืองหรือสิ่งปลูกสร้างภายในล้วนถูกก่อสร้างขึ้นเป็นอย่างดี ฉะนั้นแม้จะย้ายเมืองหลวงมาแล้ว แต่เมืองหลินเทียนกลับไม่เกิดความโกลาหล
วิสัยทัศน์ของฮ่องเต้พระองค์นี้ลึกล้ำยิ่งนัก เพราะเหตุนี้เขาจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์
“รีบเปิดประตูเมือง! เซิ่นจวิ้นอ๋องเสด็จกลับมาแล้ว!”
หลู่ตี๋นำตราหยกลายมังกรของจั่วชิวอวี้ออกไปเป็นใบเบิกทาง ประตูเมืองที่ปิดสนิทถูกเปิดออกกว้าง
เหล่าทหารคุ้มกันเมืองหลวงล้วนเข้าแถวเรียงหน้ากระดานเพื่อต้อนรับพวกเขาเข้าสู่เมืองหลวง
หลงเทียนอวี้นั่งอยู่ภายในรถม้า มือหนากำมือเล็กแน่นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
รถม้าแล่นเข้าไปยังถนนสายหลักของเมืองหลวง ไม่นานก็หยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง
“เร็ว รีบเชิญจวิ้นอ๋องเสด็จ”
เสียงเอะอะทางด้านนอกดังขึ้น ครู่ต่อมาผ้าม่านประตูรถม้าพลันถูกแหวกออก
คนรับใช้สองคนช่วยกันคนละไม้คนละมือยกร่างจั่วชิวอวี้ออกไป
“ใต้เท้า มอบฮูหยินให้พวกเราอุ้มไปเถิด”
แม้จะไม่รู้ว่าคนที่มาพร้อมกับจวิ้นอ๋องเป็นใคร แต่คนรับใช้ของเซิ่นจวิ้นอ๋องยังคงเอ่ยด้วยความเคารพ
“ไม่เป็นไร ข้าอุ้มนางลงไปเอง”
หลงเทียนอวี้ปฏิเสธความหวังดีของคนรับใช้เหล่านั้น เขาแน่วแน่ที่จะอุ้มหลินเมิ้งหยาเหยียบประตูจวนเซิ่นจวิ้นอ๋องเข้าไป
เดินผ่านเส้นทางขรุขระ ในที่สุดก็มาถึงสถานที่เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนของหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้
หมอหลวงแห่งเมืองหลินเทียนย่ำเท้าเข้ามาในจวนเซิ่นจวิ้นอ๋องไม่ขาดสาย ทว่าพวกเขาล้วนเข้าไปในห้องของเซิ่นจวิ้นอ๋องก่อนและทิ้งให้หลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยาอยู่อีกห้องหนึ่ง
หัวคิ้วขมวดมุ่น หลงเทียนอวี้ลุกขึ้นยืนเพราะคิดอยากเข้าไปจับตัวคนเหล่านั้นมารักษาให้หลินเมิ้งหยา
แต่เขากลับได้เห็นร่างสูงโปร่งในชุดสีเหลืองทองย่ำเท้าเข้ามาภายในด้วยท่าทางเร่งรีบเสียก่อน
“หาตัวญาติผู้น้องเจอแล้วหรือ? นางเล่า? งี่เง่า! พวกเจ้าไปช่วยอาอวี้ทำไมกัน! หากญาติผู้น้องของเจิ้นเป็นอะไรไปขึ้นมา เจิ้นจะสังหารพวกเจ้าทิ้งให้หมด!”
พวกหมอหลวงรีบผงกหัวหงึกหงัก ดูท่าพวกเขาเพิ่งจะนึกได้ว่ายังมีคนนอนเจ็บอยู่ห้องด้านข้าง
พวกหมอหลวงวิ่งเข้ามาภายในห้องราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก โดยทิ้งไว้เพียงหมอหลวงสองคนสำหรับรักษาจั่วชิวอวี้ เมื่อเข้ามาภายในแล้วจึงห้อมล้อมเตียงของหลินเมิ้งหยา
แพทย์ทหารที่เดินทางมาพร้อมกันช่วยอธิบายสถานการณ์ สาวใช้ท่าทางคล่องแคล่วสองคนเข้ามาคอยรับใช้หลินเมิ้งหยา
หลงเทียนอวี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ เหตุเพราะไม่มีที่ว่างให้เขาเข้าไปยืนข้างกายหลินเมิ้งหยา
“เจ้าคือหลงเทียนอวี้? องค์ชายสามแห่งต้าจิ้น?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านข้าง
หลงเทียนอวี้เบือนหน้าไปมอง ก่อนจะได้เห็นใบหน้าของบุรุษในชุดสีเหลืองทองอย่างชัดเจน
จั่วชิวอวี้มีใบหน้างดงามโดดเด่น แต่บุรุษตรงหน้าสุขุมเยือกเย็นกว่าเขามาก
แม้อายุจะมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี แต่เพียงมองปราดเดียวก็รู้สึกถึงความสง่างามและใจเย็น
ทว่าดวงตาสุขุมคู่นั้นกลับคมกริบจนสามารถสังหารศัตรูได้
รูปร่างสูงโปร่งเหยียดตรง เขาสวมชุดสีเหลืองอร่าม เส้นผมดำขลับถูกรวบไว้ทางด้านหลัง เครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวคือปิ่นหยกสีเลือด
ท่าทางน่าเกรงขามยิ่งนัก เมื่อสบตากับเขา สายตาสงบนิ่งคู่นั้นเสมือนมองลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ
ไม่ต้องถามเขาก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือฮ่องเต้แห่งเมืองหลินเทียน…จั่วชิวเฉิน
หลงเทียนอวี้มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคร่งขรึม คิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้ผู้มักเล่นกับหัวใจคนผู้นั้นจะส่งยิ้มเป็นธรรมชาติให้เช่นนี้
อีกทั้งดวงตายังเผยแววสนิทชิดเชื้อ
ขณะเดียวกันใบหน้าที่ดูน่าหวั่นคร้ามกลับทำให้เขารู้สึกสนิทสนมขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่คนที่มีความระแวดระวังเสมอมายังอดที่จะรู้สึกผ่อนคลายยามได้พบเขาไม่ได้
คนผู้นี้ไม่ธรรมดา!
“ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็เป็นญาติกันแล้ว ข้านามว่าจั่วชิวเฉิน มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของหลินเมิ้งหยา หากเจ้าไม่รังเกียจ เช่นนั้นเจ้าจะเรียกข้าว่าเปี่ยวเกอ [1] ก็ได้”
————————-
หมายเหตุ
เปี่ยวเกอ [1] หมายถึง ญาติผู้พี่