ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 435 ดึงลูกธนู
โชคดีที่ค่ายทหารมียารักษาบาดแผลภายนอกครบครัน มองผิวเผินบาดแผลของชิวอวี้อาจจะดูน่ากลัวเพราะกล้ามเนื้อฉีกขาด แต่หลังจากล้างแผลและใส่ยาแล้วเลือดก็หยุดไหล
ทว่าอาการของหลินเมิ้งหยาไม่สู้ดีนัก หากไม่ดึงลูกธนูออกจากไหล่ของหลินเมิ้งหยาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นนางจะเสียเลือดจนตาย
“เฮ้อ ดูเหมือนลูกธนูดอกนี้จะดึงออกมาไม่ได้ง่ายๆ ใต้เท้าขอรับ แม้อาการบาดเจ็บของฮูหยินจะไม่สาหัส แต่นางเสียเลือดมาก หากดึงลูกธนูออกมา เกรงว่าฮูหยินจะต้องทรมานอีกหนหนึ่ง แต่หากไม่ดึงลูกธนูออก บาดแผลจะติดเชื้อจนทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต”
แพทย์ทหารรู้สึกครั่นคร้ามอยู่หลายส่วน เหตุเพราะตั้งแต่เริ่มรักษาจวบจนตอนนี้ สายตาของใต้เท้าท่านนี้จับจ้องมองเขาเขม็ง ดังนั้นความมั่นใจจึงเหือดหายไปไม่หลงเหลือ
ชีวิตของฮูหยินท่านนี้ล้ำค่ายิ่งนัก
“ดึงออก ข้าอยากให้นางมีชีวิตอยู่! นางจะต้องไม่ตาย!”
มองใบหน้าขาวซีดของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้รู้เพียงว่าหัวใจของเขากำลังแหลกสลายทีละน้อย
หัวลูกศรทั้งยาวทั้งคมกริบ หากต้องดึงออกเกรงว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาเองก็เคยเอาลูกธนูออกจากร่างมาก่อน แต่ลูกธนูดอกนี้ฝังลึกยิ่งนัก ดังนั้นจึงเอาออกไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นหัวลูกศรยังทำจากเหล็ก แม้จะใช้เลื่อยตัดก็คงไม่เป็นผล
เพียงนึกถึงท่าทางทุกข์ทนของนาง หลงเทียนอวี้อยากจะจับคนเหล่านั้นมาลงทัณฑ์ทรมานให้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่านาง
แม้จะบอกว่าต้องดึงลูกธนูออก แต่แพทย์ทหารกลับมิกล้าลงมือ ความเจ็บปวดราวถูกเฉือนเนื้อแล่หนังออกแม้แต่บุรุษก็ยังมิอาจทานทน
ตอนนี้คนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นเพียงสตรีร่างบางท่าทางอ่อนแอ น่าเสียดายที่เขาไม่มียาชาอยู่ในมือ มิเช่นนั้นยังพอจะทำให้ความทรมานของนางลดลงได้บ้าง
ลังเลอยู่นาน หลินเมิ้งหยาเริ่มได้สติกลับมา
ความเจ็บปวดที่ไหล่ขวายากเกินจะรับไหว ราวกับว่านางไม่มีแขนขวาอีกต่อไปแล้ว
ดวงตาพร่ามัวเห็นเพียงหลงเทียนอวี้ที่กำลังกุมมือซ้ายของนางอยู่ข้างๆ พลางกระซิบเรียกไม่หยุด
“เมิ้งหยา ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าตาย เจ้าจะต้องอดทนเอาไว้ ขอเพียงดึงลูกธนูออกมาได้ เจ้าก็จะปลอดภัยแล้ว”
หลงเทียนอวี้กุมมือซ้ายของหลินเมิ้งหยาแน่นขณะเอ่ยปลอบโยน
“อืม…ข้ามียาสลบ…เจ้าหยิบมันออกมา…ใช้แทนยาชาเถิด…”
แม้สติจะเลือนราง แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ได้ยินเสียงของหมออย่างชัดเจน
โชคดีที่นางมียาสลบของป๋ายหลี่รุ่ย หากใช้ในปริมาณเล็กน้อย อย่าว่าแต่ดึงลูกธนูเลย ต่อให้หลินเมิ้งหยาถูกฆ่าก็ไม่มีทางรู้สึกเจ็บปวด
ทว่าเพียงได้เห็นแววตากระวนกระวายของหลงเทียนอวี้ นางเลือกที่จะปิดบังผลข้างเคียงเหล่านั้นเอาไว้
เหตุเพราะหากใช้ในปริมาณมากเกินไป ระบบประสาทส่วนกลางของนางจะได้รับความเสียหาย บางทีนางอาจจะกลายเป็นคนสติเลอะเลือนไปเลยก็ได้
แต่ถ้าหากไม่ใช้ ขณะดึงลูกธนูออกความเจ็บปวดอาจถาโถมเข้ามาจนนางควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ เช่นนั้นบาดแผลก็จะยิ่งฉีกขาดมากขึ้นจนอาจทำให้แขนขวาของนางใช้งานไม่ได้อีก
เช่นนั้นนางก็จะกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต
ทั้งวิชาควบคุมเข็ม ทั้งการตรวจจับชีพจรล้วนใช้แขนขวาของนางทั้งสิ้น
หากมิอาจใช้งานแขนขวาได้อีก เช่นนั้นสู้ให้นางกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปเสียจะดีเสียกว่า
หยิบยาสองห่อออกจากเอวของหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้รีบใส่ลงไปในน้ำแล้วให้นางดื่ม
เมื่อเห็นนางหลับไปอย่างช้าๆ หลงเทียนอวี้กอดร่างของนางเอาไว้แน่น จากนั้นจึงสั่งให้แพทย์ทหารเริ่มลงมือ
“มาเถิด ลงมาเร็วหน่อย”
เขากลัวนางเจ็บ เขามิอาจแบ่งเบาความทรมานของนางได้เลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นเขาทำได้เพียงโอบร่างนางเอาไว้เพื่อรองรับปฏิกิริยาตอบสนองทั้งหมดของนาง
แพทย์ทหารกัดฟัน ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่สุดแล้ว นำมีดมาลนไฟ ด้วยท่วงท่าแน่วแน่มั่นคง จากนั้นก็ตัดเนื้อตายบริเวณที่โดนลูกธนูทิ้ง
โลหิตสีแดงสดไหลออกมาอีกครั้ง แม้ไหล่บางขาวนวลจะเผยออกมาให้เห็น แต่กลับไม่มีใครมีแก่ใจชื่นชม
เลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อนร่างกายท่อนบน ฤทธิ์ของยาสลบทำให้หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ราวกับว่านางไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง
“ประคองไหล่ของนางเอาไว้ ข้าจะดึงลูกธนูออกแล้วขอรับ”
แพทย์ทหารกำชับเสียงเข้ม หลงเทียนอวี้พยักหน้าแล้วประคองไหล่หลินเมิ้งหยา
“พรวด” เสียงดังขึ้น หมอทหารออกแรงดึงลูกธนูออกจากไหล่รวดเดียว เลือดสีแดงสดพวยพุ่งใส่หน้าหลงเทียนอวี้ เขาอึ้งงันไปในทันที
“เร็วเข้า! ห้ามเลือดเดี๋ยวนี้!”
แพทย์ทหารและผู้ช่วยรีบใช้ผ้าพันแผลห้ามเลือด รอยแผลยาวลึกทำให้แม้แต่ชายชาตรีอย่างพวกเขายังอดที่จะหวั่นใจไม่ได้
“โชคดีที่กระดูกไม่ได้รับบาดเจ็บ”
แม้แต่แพทย์ทหารเองก็เอ่ยออกมาด้วยความยินดี แม้เขาจะไม่รู้เรื่องวิชาการแพทย์ แต่ก็พอจะรู้วิธีการจัดการกับสิ่งที่ติดค้างอยู่ในร่าง ตอนนี้เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
“ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ดึงออกมาแล้ว เจ้าไม่เป็นไรแล้วนะ”
หลงเทียนอวี้ส่งเสียงพึมพำ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมวางตัวหลินเมิ้งหยาลง
เขาย่อมล่วงรู้ถึงความเจ็บปวดของหลินเมิ้งหยาดี แต่เพราะนางกินยาสลบไปแล้ว ดังนั้นจึงยังคงทานทนไหว
มองดูโลหิตสีแดงของนางที่กำลังซึมออกจากผ้าพันแผล เขากลับไม่อาจทำอะไรได้เลย
ความรู้สึกไร้ความสามารถเช่นนี้สร้างความทรมานให้กับเขาไม่น้อย
แพทย์ทหารยุ่งกับการรักษาจนฟ้ามืด ในที่สุดก็สามารถห้ามเลือดได้ ทว่าร่างกายของหลินเมิ้งหยากลับยิ่งอ่อนแอลง
ปัญหาเข้ามารุมล้อมพวกเขาอีกครา
เหตุเพราะใช้ยาสลบ ดังนั้นพวกเขาจึงมิอาจรู้ได้เลยว่าหลินเมิ้งหยาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ตอนนี้ร่างกายของนางกำลังอ่อนแอจนถึงขีดสุด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับยาบำรุงโดยด่วน
อย่าว่าแต่ป้อนเลย แม้แต่จะกลืนหลินเมิ้งหยายังมิอาจทำได้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่านางคงต้องตายอย่างแน่นอน
แพทย์ทหารถือถ้วยยา แต่กลับทำอะไรไม่ถูก
“พวกเจ้า…พวกเจ้ากำลังทำอะไร?”
ชิวอวี้ที่ถูกลืมไปชั่วขณะฟื้นคืนสติขึ้นมา สายตาเหลือบมองเห็นพวกแพทย์ทหารและหลงเทียนอวี้ซึ่งกำลังยืนก้มหน้ามองหลินเมิ้งหยาอยู่ข้างเตียง
หัวใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง หรือหลินเมิ้งหยาจะ…
“ข้าป้อนนางเอง”
ไม่มีใครสนใจชิวอวี้ หลงเทียนอวี้จดจ่ออยู่กับหลินเมิ้งหยาเพียงผู้เดียว
จิบยาในถ้วย เขาไม่แม้แต่จะสนใจความขมร้อนที่ลิ้นกำลังสัมผัส
ยื่นหน้าลงประกบกลีบปากของหลินเมิ้งหยา ยาน้ำรินไหลลงไปได้เพียงเล็กน้อย ทว่าหลงเทียนอวี้ไม่ยอมแพ้ เขายังคงป้อนยานางเช่นนี้อีกหลายหน ทุกคนล้วนมองการกระทำของเขานิ่งโดยพูดอะไรไม่ออก
ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็ดื่มยาและน้ำแกงไก่ได้อย่างละหนึ่งถ้วย หลงเทียนอวี้วางถ้วยลง เขาสัมผัสได้ถึงอาการชาที่ลำคอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงอยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยาไม่จากไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว
ชิวอวี้มองเขาโดยไม่ส่งเสียง แต่ก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้
เลือดที่แผ่นหลังของเขาหยุดแล้ว ขอเพียงบาดแผลไม่ติดเชื้อและรักษาอาการให้ดี อีกไม่นานเขาก็จะหาย
“แพทย์ทหาร พวกเจ้าให้นางกินยาอะไร? เหตุใดนางจึงไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่น้อยตอนดึงลูกธนู?”
เหตุเพราะเป็นแพทย์เช่นเดียวกัน ดังนั้นชิวอวี้จึงนึกสงสัยขึ้นมา
แม้จะเป็นยาชาที่เขาปรุงขึ้นเอง แต่ด้วยความเจ็บปวดระดับนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย ช่างน่าแปลกนัก
“เชิญใต้เท้าดูเองเถิด นี่คือยาที่ฮูหยินเป็นคนนำมา ข้าน้อยเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนขอรับ”
หมอทหารนำห่อยาของหลินเมิ้งหยาให้ชิวอวี้ดู
แม้ตอนนี้จะกลายเป็นห่อเปล่าแล้ว แต่ชิวอวี้ยังคงนำมันมาแตะที่ลิ้นดูเล็กน้อย
“นี่ นี่ นี่ พวกเจ้าให้นางกินมันได้อย่างไร? หลู่ตี๋รีบเตรียมรถม้าให้ข้า พวกเราต้องรีบกลับวัง!”
เพียงชิมไปนิดเดียวเท่านั้น แต่ชิวอวี้กลับมีท่าทางร้อนใจขึ้นมา
ยันแขนเพื่อจะลุกขึ้นยืน แต่กลับกระทบกระเทือนถึงบาดแผลที่แผ่นหลัง ชิวอวี้สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่งก่อนจะล้มตัวลงไปบนเตียงอีกหน
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง”
หลู่ตี๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาพุ่งตัวออกไปเตรียมรถม้าให้ชิวอวี้ ทว่าหัวคิ้วของแพทย์ทหารขมวดมุ่น ท่าทางไม่เห็นด้วย
“ใต้เท้า หากทำเช่นนี้จะเป็นการไม่เหมาะสมหรือไม่ขอรับ? ตอนนี้ร่างกายของพวกท่านทั้งสองไม่แข็งแรง หากต้องเคลื่อนย้ายกันเวลานี้ เกรงว่าจะส่งผลร้ายมากกว่าดี”
ชิวอวี้ถอนหายใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการนอนพักผ่อน
แต่ยาสลบที่หลินเมิ้งหยาใช้มีส่วนประกอบของตัวยาหายากชนิดหนึ่ง หากมิได้รับการรักษาจากหมอหลวงที่มีฝีมือขั้นสูง เช่นนั้นนางอาจกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนได้
ไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร เขาไม่มีวันยอมให้หลินเมิ้งหยากลายเป็นคนพิการเด็ดขาด
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเพราะอะไร หลงเทียนอวี้ เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่!”
หากกล้าให้หลินเมิ้งหยาใช้ยานี้ เขารับรองว่าหลงเทียนอวี้ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับผลของยาอย่างแน่นอน
ชิวอวี้ฉลาดพอที่จะไม่ทำร้ายจิตใจหลงเทียนอวี้อีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าหากจะพาหลินเมิ้งหยาไปรักษา เช่นนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหลงเทียนอวี้ก่อน
หลงเทียนอวี้มองชิวอวี้ด้วยสายตาเย็นชา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ย
“ข้าเชื่อใจหมอหลวงผู้ซื่อสัตย์ของเสด็จพ่อ แต่ข้าไม่มีทางเชื่อใจเชื้อพระวงศ์แห่งเมืองหลินเทียนที่จงใจปิดบังตัวตนของตัวเอง”
หยิบตราหยกลายมังกรออกมา เพียงแพทย์ทหารและคนทั้งหลายได้เห็น พวกเขารีบก้มตัวคุกเข่า ใบหน้าถอดสี
ชิวอวี้หัวเราะขมขื่นพลางส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“พวกเจ้าออกไปก่อน หากมิได้รับคำสั่งจากข้า ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาเป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่นานกระโจมแห่งนี้คงเหลือเพียงพวกเขาทั้งสาม เพียงหลงเทียนอวี้สะบัดมือเบาๆ ตราหยกลายมังกรพลันร่วงลงพื้นด้านหน้าชิวอวี้
หยิบตราหยกขึ้นมา ความรู้สึกมากมายประเดประดังในหัวใจ
“ถูกแล้ว ข้าคือจวิ้นอ๋อง [1] แห่งเมืองหลินเทียน แต่ข้าไม่มีวันทำร้ายนาง เหตุเพราะนางเป็นญาติผู้น้องของข้า นางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเสด็จป้า”
——————
หมายเหตุ
จวิ้นอ๋อง [1] คือตำแหน่งอ๋องรองจากองค์ชายของฮ่องเต้ โดยตำแหน่งนี้ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้