ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 15 บทที่ 425 รีบออกเดินทาง
“มีธุระ?”
หลินเมิ้งหยาหันไปเห็นหลงเทียนอวี้ที่ยืนอยู่หน้าประตู
เขาผงกศีรษะลงแล้วเดินมาหยุดตรงหน้านาง หลงเทียนอวี้เพิ่งพบว่าเขาจนคำพูดนัก
ต้องอธิบายเช่นไรนางจึงจะเชื่อว่าเมื่อคืนเขาดื่มจนเมาแต่เพียงเท่านั้น อีกทั้งเขายังไร้ความทรงจำในหุยชุนฟางโดยสิ้นเชิง
ฝ่ามือหลงเทียนอวี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นไม่เป็นระส่ำ ครั้งเมื่อออกรบสังหารศัตรูตอนอายุสิบห้าปียังไม่เคยรู้สึกประหม่าเช่นนี้เสียด้วยซ้ำ
“อันที่จริงเมื่อคืน….”
ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง หลงเทียนอวี้ตัดสินใจเปิดปากกล่าว แต่พูดไปได้เพียงไม่กี่คำก็ถูกขัด
“น้องหยวนทั้งสอง ท่านกัวเชิญพวกเจ้าลงไปปรึกษาด้านล่าง”
เหวินสือปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูทั้งสองสบตากันก่อนจะหันไปพยักหน้าให้
“เข้าใจแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราจะลงไป ลำบากพี่เหวินแล้ว”
ตอนนี้หาใช่เวลาพูดเรื่องไร้สาระ
แม้จะรู้ว่าตนเองตกอยู่ในอันตราย แต่การหนีอุตลุดเอาตัวรอดมิใช่วิสัยของนางเลยแม้แต่น้อย
หลินเมิ้งหยาพยายามยับยั้งความสงสัยในใจ ตอนนี้นางเดินทางมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว
เช่นนั้นมาลองสู้กันดูสักตั้ง!
ที่ชั้นล่าง เด็กสาวร่าเริงแจ่มใสอย่างอาซิ่วนั่งรวมตัวกันกับทุกคนแล้ว มุมปากหยักยิ้ม ดวงตาหรี่เล็กลง ซ้ำยังเข้าไปนวดบ่านวดไหล่ให้กับท่านกัว
คนอื่นล้วนส่งเสียงล้อเลียนนาง แต่นางกลับไม่ถือสาหาความเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังตอบโต้พวกเขาด้วยท่าทางน่ารักไร้เดียงสา ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกดีกับนางอย่างยิ่ง
หลินเมิ้งหยาเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกันกับพวกเขา
อาซิ่วมิต่างอันใดจากดวงอาทิตย์ เพียงได้สัมผัสก็สามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและแสงสว่าง
“พี่เสี่ยวหยวนรีบมานี่เร็วเข้า!”
ทันทีที่เห็นหลินเมิ้งหยา อาซิ่วร้องเรียกเสียงสดใส แน่นอนว่านางย่อมไม่ลืมปิดบังตัวตนของอีกฝ่าย
โชคดีที่หลินเมิ้งหยาใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบังหน้าตาตอนแสดงระบำในหอนางโลม มิเช่นนั้นนางคงมิอาจใช้ตัวตนนี้ได้อีกต่อไป
อาซิ่วกระโดดเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา ริมฝีปากยกขึ้นส่งรอยยิ้มอ่อนหวาน อีกทั้งยังรายงานสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“ท่านกัวอนุญาตให้ข้าไปกับพวกท่านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายที่ยิ้มทีไรก็ทำให้ข้าตกใจทุกทีที่ชื่อจ้าวเฟยคนนั้นไปแจ้งขบวนการค้าของข้าแล้ว สองสามวันต่อจากนี้ข้าคงต้องติดตามไปกับพี่เสี่ยวหยวน”
พูดจบนางก็รีบกระพริบตาปริบๆ ให้หลินเมิ้งหยา
ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูคลายความหม่นหมองในใจของหลินเมิ้งหยาได้มากทีเดียว
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักสักหน่อย ท่านนี้คือพี่ชายของข้านามว่าหยวนเหมย ส่วนท่านนั้นคือพี่ใหญ่เหวินสือ อีกเดี๋ยวหากขึ้นรถม้าแล้วข้าจะแนะนำฮูหยินและญาติผู้พี่ของข้าให้เจ้าได้รู้จัก”
อาซิ่วรีบผงกศีรษะรับคำ แม้คนทั้งขบวนพ่อค้าจะชื่นชอบนาง แต่คนที่นางชื่นชอบที่สุดยังคงเป็นพี่สาวในคราบบุรุษคนนี้
แม้นางจะแสดงท่าทางสนิทสนมกับหลินเมิ้งหยา ทว่าคนในขบวนการค้าไม่ได้มองว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันเชิงชู้สาว แต่กลับมองว่าพวกเขามีโชคชะตาต้องกันจึงได้มาพานพบกันแต่เพียงเท่านั้น
ท่านกัวมิได้พูดสิ่งใด เขามองทุกอย่างออกหลังจากได้สนทนากับอาซิ่ว
แม้เด็กสาวสกุลตงฟางจะเฉลียวฉลาด แต่นางยังคงเป็นเพียงเด็กสาวไม่รู้ความคนหนึ่ง ดังนั้นต่อให้เข้าไปอยู่กับพวกพี่น้องสกุลหยวนก็คงไม่มีปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งขบวนการค้าคงมีเพียงฮูหยินของหยวนหลินที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาซิ่ว
หากฝากให้พวกเขาช่วยดูแล อย่างน้อยเขาก็พอจะอธิบายกับตงฟางสวีได้
อย่างอื่นคงไม่ต้องพูดถึง แต่หนี้บุญคุณคราวนี้พวกพี่น้องสกุลหยวนควรได้รับการตอบแทน
“หยวน…คุณชายหยวน พวกท่านจะไปกันแล้วหรือ?”
ทันทีที่เดินถึงหน้าประตู หงอวี้ส่งเสียงตะกุกตะกักอ้ำอึ้งร้องเรียกหลินเมิ้งหยาเอาไว้
แม้จะอาบน้ำล้างหน้าเปลี่ยนมาสวมใส่เพียงชุดธรรมดาแล้ว ทว่าใบหน้าของนางกลับยังมีเค้าความงดงามมีเสน่ห์
บางทีในสายตาของพวกผู้ชายคงเป็นความลุ่มหลง แต่ในสายตาของหลินเมิ้งหยากลับเป็นเพียงความว่างเปล่า
คาดว่าพวกนางสองพี่น้องจำเป็นต้องหาสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักจึงจะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
“อืม จากนี้ไปเจ้าก็รักษาตัวด้วย”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงน้อยๆ น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน ตอนนี้นางมิได้รู้สึกขุ่นเคืองหงอวี้และมั่วฉินอีกต่อไปแล้ว
แม้นางจะมิใช่พระแม่มารี แต่ทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางทั้งสองยังไม่คิดทำร้ายนาง
การไม่ถือโทษโกรธเคืองของนางนับเป็นความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
“ได้ เจ้าเองก็เช่นกัน ข้าจะพาน้องสาวข้าไปเดี๋ยวนี้ ลาก่อน”
หงอวี้หยักยิ้ม สตรีเสน่ห์พร่างพราวในหุยชุนฟางกลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่กำลังส่งยิ้มให้กับสตรีที่ตนเองไม่รู้จักกระทั่งชื่อแซ่ที่แท้จริงของนาง
บางทีนับจากวันนี้ไปพวกนางคงต้องลาจากกันตลอดกาลแล้ว
แม้เงินทองที่หามาได้จะไม่อาจทำให้น้องสาวอยู่อย่างคนร่ำรวย แต่อย่างน้อยก็มากเพียงพอที่จะทำการค้าขายเล็กๆ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้กับนางได้
หลินเมิ้งหยายิ้ม ก่อนจะพาอาซิ่วเดินขึ้นรถม้า
“ไม่! ข้าไม่ไปกับผู้หญิงคนนี้! นางเป็นผู้หญิงหยำฉ่า! คุณชาย ได้โปรด…ได้โปรดพาข้าไปด้วยเถิด”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญปานจะขาดใจดึงดูดความสนใจของคนในขบวนพ่อค้า
หลินเมิ้งหยาที่ยืนอยู่บนรถม้าแล้วหันกลับไปมอง ร่างบางที่มักจะหลบอยู่ด้านหลังหงอวี้บัดนี้เข้าไปกอดขาของหลงเทียนอวี้เอาไว้
มือเรียวยาวสีขาวดั่งหยกจับเสื้อผ้าท่อนล่างของหลงเทียนอวี้แน่น ใบหน้านวลเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ท่าทางน่าสงสารจับใจ
หัวคิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดมุ่น เหตุใดซู่เหมยคนนี้จึงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเช่นนี้?
“น้องหญิง อย่ารั้งพวกคุณชายหยวนเอาไว้อีกเลย พวกเราไปกันเถิด ข้าเป็นพี่สาวของเจ้าจริงๆ”
ใบหน้าหงอวี้ซีดเผือด ทั้งที่นางอธิบายกับซู่เหมยอย่างชัดเจนแล้วว่าตนเองคือพี่สาวที่หายตัวไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ซู่เหมยกลับมองนางด้วยสายตารังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเอื้อนเอ่ยวาจาหยาบคายกระทบกระทั่งนางเสมอ
ตอนแรกคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักพักซู่เหมยจะยอมรับนางได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะมาถึงจุดนี้
“ปล่อย”
ขยับริมฝีปากกล่าวเพียงคำเดียว นอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว หลงเทียนอวี้ไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวเขา
มิได้สนใจว่าสายตาจะมองมาสักกี่คู่ ใบหน้าของเขาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
เขารังเกียจผู้หญิงรบเร้าน่ารำคาญเป็นที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิงแบบที่กำลังร้องไห้กอดเข่าเขาเช่นนี้
“คุณชาย ข้าเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์จริงๆ นะเจ้าคะ ขอร้อง ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
ซู่เหมยส่งเสียงวิงวอน แขนทั้งสองข้างกอดรัดท่อนล่างของคุณชายตรงหน้าแน่น
นางผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้หญิงหยำฉ่า ท่านแม่เคยบอกว่าพวกนางโลมเป็นพวกแพศยา ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางจะไม่มีวันยอมไปกับนางแพศยานั่นเป็นอันขาด
“ซู่เหมย! ปล่อยคุณชายต้าหยวนเดี๋ยวนี้ อย่าทำให้พวกเขาเสียเวลาอีกเลย ปล่อยมือเร็วเข้า”
หงอวี้มีสัญชาตญาณว่องไว เพียงได้เห็นคุณชายต้าหยวนคราวเดียว หัวใจของนางพลันเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง
คนที่ไม่รู้จักความปรานีเท่านั้นจึงจะมีสายตาเช่นนี้ หากมิใช่เพราะนางเรียกแม่นางหยวนหลินเอาไว้ เกรงว่าเขาคงไม่ลังเลเลยที่จะเตะซู่เหมยออก
“ไม่! เจ้าปล่อยข้า! เจ้ามันหญิงหยำฉ่าไร้ยางอาย! คุณชายหยวน ข้าเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ ท่านได้โปรดพาข้าไปด้วยได้หรือไม่? ไม่ว่าจะในฐานะสาวใช้หรืออะไรก็ได้ ข้าพร้อมจะตอบแทนท่าน”
หลินเมิ้งหยาปรายตามองความวุ่นวายตรงหน้า แม้หงอวี้จะเคยเป็นนางโลมมาก่อน แต่นางมีเหตุผลในการกระทำของตนเอง
เพื่อช่วยน้องสาวของตนเอง นางยอมละทิ้งศักดิ์ศรีของผู้หญิง
ทว่าซู่เหมยกลับกรีดบาดแผลในใจหงอวี้ให้ลึกกว่าเดิม บางทีนี่อาจเป็นความไม่เป็นธรรมของสตรีในสังคมศักดินา
“ปล่อย”
ความอดทนของหลงเทียนอวี้กำลังจะหมดไป เมื่อครั้นอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีสตรีนางใดกล้าทำตัวเสียมารยาทกับเขาเช่นนี้มาก่อน
เสียงซุบซิบนินทาจากคนในขบวนพ่อค้าเริ่มดังขึ้น หากเขาเตะซู่เหมยออกตอนนี้ เกรงว่าจะยิ่งมีข่าวลือเสียๆ หายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่คิดทำร้ายผู้หญิง
ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในที่นั่งลำบาก หลงเทียนอวี้มิอาจถอนตัวออกได้
“ขออภัยคุณชายต้าหยวน น้องสาวของข้าไม่รู้ความ ท่านอย่าได้โมโหนางเลย”
ใบหน้าหงอวี้ซีดเผือด ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอร้องหยวนเหมย
มือทั้งสองเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง หากมิใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างนางและหยวนหลิน บางทีซู่เหมยอาจกลายเป็นศพไปแล้ว
คนเริ่มเข้ามามุงมากขึ้น หลินเมิ้งหยาไม่อยากกลายเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ให้ผู้อื่นรับชม
“หยวนหลิน เจ้ามานี่สักครู่”
ท่านหัวยืนมองเหตุการณ์ตลอดเวลา ดวงตาเคร่งขรึมไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
หลินเมิ้งหยารีบเดินลงจากรถม้าแล้วเข้าไปยืนข้างท่านกัว ทั้งสองส่งเสียงกระซิบกระซาบ
“ข้าว่าพวกเจ้าพาพวกนางไปด้วยเถิด”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าท่านกัวจะขอร้องแทนพวกหงอวี้สองพี่น้อง
ขณะที่อ้าปากคิดจะเอื้อนเอ่ย ท่านกัวขัดนางขึ้นพลางส่งสายตาสื่อความหมาย
“พวกเรากลายเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากแล้ว หากยังไม่ไปจากที่นี่ เกรงว่าจะเสียการเอาได้ หรือเจ้าอยากเห็นคนทั้งขบวนการค้าได้รับความเสียหายหรือ?”
ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าหลินเมิ้งหยาจนนางมิอาจเอ่ยปฏิเสธได้
กวาดสายตามองไปรอบๆ หลินเมิ้งหยาสังเกตเห็นสายตาไม่เป็นมิตรหลายคู่
นางลืมไปได้อย่างไรว่าคนของป๋ายหลงและเฮยฮู่อาจอยู่ที่ตำบลนี้
แม้นายท่านแห่งหุยชุนฟางจะปล่อยพวกนาง แต่นั่นมิได้หมายความว่าคนของพวกป๋ายหลงจะเป็นเช่นนั้น
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านรอสักครู่ อีกเดี๋ยวพวกเราออกเดินทางได้เลย”
เอ่ยขออภัยท่านกัวเล็กน้อย แม้จะไม่อยาก แต่ดูเหมือนว่าวันนี้นางต้องพาพวกหงอวี้ไปด้วยแล้ว
ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินไปหยุดข้างกายหลงเทียนอวี้