ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 14 บทที่ 409 ถนนสายเดิม
ผู้คนสัญจรภายในตำบลซื่อฟางค่อนข้างมาก ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง
หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกว่าพวกเขาจะลงมือทำร้ายตนเอง ดังนั้นจึงเดินทางกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วจูงมือป๋ายซ่าวออกมาเดินซื้อของ
เหามากมิรู้คัน หนี้มากมิรู้คืน คนพวกนั้นกำลังจับจ้องนาง ฉะนั้นนางจึงยังมิอาจทำการใดๆ ได้
“นาย…คุณชาย ข้ายังกังวลเรื่องป๋ายซูเจ้าค่ะ”
ป๋ายซ่าวที่คิดจะร้องเรียกนายหญิงถูกหลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่
ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิอาจเรียกนายหญิงของตนเองว่าสามีได้ ฉะนั้นจึงเรียกว่าคุณชายแทน
“เอาล่ะ หากพวกเรายังมีบุญวาสนาต่อกัน สักวันหนึ่งจะต้องได้กลับมาพบหน้าอย่างแน่นอน เจ้าเองก็ลำบากที่ต้องตามข้ามา เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร ข้าจะซื้อให้ทั้งหมด”
อันที่จริงป๋ายซูมีโอกาสหลายต่อหลายครั้งในการวางยาฮ่องเต้ แต่นางกลับไม่ทำ เรื่องนี้พอจะทำให้หลินเมิ้งหยาให้อภัยนางได้ เพียงแต่…ยังไม่ใช่ตอนนี้
ป๋ายซ่าวหนักใจเป็นอย่างยิ่ง นางมิได้มองสิ่งของข้างทางเลยแม้แต่น้อย ผิดกับหลินเมิ้งหยาที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ไม่นานนางก็ซื้อของกลับไปมากมาย
อีกทั้งยังจ้างคนนำของเหล่านั้นไปส่งที่โรงเตี๊ยม
“อดีตที่ผันผ่าน การแต่งงานบนความทุกข์ แม้นท่อนเหล็กยังขาดสะบั้น กอบกู้โลกา”
ในมุมอับมุมหนึ่ง อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็เหลือบไปเห็นนักพรตเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งคนหนึ่ง
ทั้งที่คำพูดของเขาคือคำทำนายที่มิได้ปะติดปะต่อกันเลยแม้แต่น้อย แต่นักพรตคนนั้นยังคงนั่งทำนายด้วยความมุ่งมั่นอยู่ที่เดิม
หากมิใช่ว่าเขามีญาณวิเศษ เช่นนั้นเขาก็คงเป็นจอมหลอกลวงแห่งยุทธภพ
แต่นักพรตคนนั้นกลับกลั้นหายใจเมื่อมีคนเดินผ่าน ท่าทางเสมือนกำลังดูถูกเหยียดหยาม หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองอยู่สองครั้ง นักพรตคนนั้นรีบฉีกยิ้มกว้างแล้วกวักมือเรียกนาง
หลินเมิ้งหยาชี้นิ้มเข้าหาตนเอง นักพรตรีบผงกศีรษะลง
แปลกจริง ทั้งที่มีคนเดินผ่านสัญจรมากมาย เหตุใดนักพรตคนนั้นจึงเจาะจงเรียกนางกันเล่า?
เหตุเพราะไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เช่นนั้นนางลองไปดูเขาสักหน่อยจะเป็นไร
“ท่านนักพรต”
หลินเมิ้งหยายกมือขึ้นประกบกันเพื่อแสดงความนับถือ ป๋ายซ่าวกลับมองเจ้านายของตนเองด้วยความสงสัย
อย่าว่าแต่นักพรตข้างถนนเช่นนี้เลย แม้แต่พระอาจารย์เลื่องชื่อในเมืองหลวงนายหญิงยังไม่ชายตาแล
เหตุใดนายหญิงจึงแสดงท่าทางเลื่อมใสเขาเช่นนี้เล่า?
“ท่านอุตส่าห์เดินมาหาถึงที่ ได้โปรดอภัยให้อาตมาด้วยที่มิอาจลุกขึ้นต้อนรับได้”
แม้นักพรตคนนั้นจะส่งเสียงเชิงเกรงใจ แต่กลับนั่งไขว่ห้างท่าทางเย่อหยิ่งแตกต่างจากคำพูดคำจาอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก
“ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านนักพรตเป็นผู้ออกบวช เช่นนั้นมิจำเป็นต้องคำนับคารวะข้าแต่อย่างใด มิรู้ว่าท่านนักพรตเรียกข้าน้อยมาด้วยเหตุใดกระนั้นหรือ?
นักพรตเครายาวหัวเราะ หึ หึ หึ สามครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป
“นายท่าน อาตมาหาได้เรียกท่านมาไม่ แต่เป็นท่านต่างหากที่ร้องเรียกตัวเอง ท่านคงติดใจกับคำทำนายของอาตมา เช่นนั้นลองให้อาตมาดูดวงเพื่อคลายความสงสัยของท่านให้ดีหรือไม่?”
พูดจาวกวนไปมา สุดท้ายก็พยายามเสนอขายการค้าของตนเอง
ป๋ายซ่าวรู้สึกหงุดหงิดใจกับนักพรตสกปรกโสโครกคนนี้ยิ่งนัก ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมิเอ่ยอันใด
ยกข้อมือขึ้นแล้วเขียนกระดาษที่ถูกวางอยู่บนดินเป็นคำว่า ‘ข้า’
ทว่าหลินเมิ้งหยาหาได้เขียนเป็นภาษาจีนโบราณไม่ ฉะนั้นอักขระจึงหายไป
“รบกวนท่านแล้ว”
นักพรตมองอักษรเบื้องล่าง สีหน้าอึ้งงันแข็งทื่อ
ครู่ต่อมาจึงถอนหายใจยาว ก่อนจะหยักยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า
“อักษรนี้…อาตมามิอาจแก้ออกได้ แม้นายท่านจะเป็นคนต่างบ้านต่างเมือง แต่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แสดงว่าย่อมมีชะตาต้องกัน อาตมาหวนนึกถึงสหายเก่าผู้หนึ่งที่เคยมาเยือนที่แห่งนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน”
คำพูดของนักพรตทำให้ป๋ายซ่าวมั่นใจว่าเขาเป็นเพียงจอมลวงโลก สายตาคมกริบฉายแววไม่พอใจ
คำพูดเลื่อนลอยก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น ไฉนต้องชักแม่น้ำทั้งห้าเรื่องสหายเก่าแก่มาหลอกนายหญิงด้วย หากอยู่ที่เมืองหลวงล่ะก็ นางจะลากนักพรตคนนี้ไปที่ว่าการอย่างแน่นอน
แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใดนายหญิงจึงมีท่าทางอารมณ์ดี ซ้ำยังยิ้มแล้วสนทนากับนักพรตคนนั้นต่อ
“โอ้? สหายท่านใดกันเล่า?”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาเองก็รู้สึกมิต่างอันใดจากป๋ายซ่าว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนักพรตคนนี้จึงส่งความรู้สึกเหมือนคนที่มาจากต่างโลกมาให้นาง
นักพรตหัวเราะ ก่อนจะหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาวางลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาจ้องมอง มันคือตราประทับลายดอกเหมยอันหนึ่ง
“นี่คือสิ่งที่สหายท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ในเมื่ออาตมาส่งมันถึงผู้รับแล้ว เช่นนั้นพวกเราร่ำลากันตรงนี้เถิด”
ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะตั้งสติได้ทัน นักพรตคนนั้นรีบเก็บของของตนเองแล้วหมุนตัวออกวิ่ง
“ท่านนักพรต ของของท่าน!”
หลินเมิ้งหยาหยิบตราประทับขึ้นมาแล้วร้องตะโกน แต่นักพรตร่างผอมกลับเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม
ไม่นานร่างของเขาก็หายไปจากแนวสายตาของพวกนาง
ทิ้งหลินเมิ้งหยายืนอึ้งงันอยู่กับที่ ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“หยุดก่อน! อย่าเพิ่งไป!”
อยู่ๆ เสียงเปี่ยมไปด้วยโทสะพลันดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลินเมิ้งหยาหันกลับไปมองด้วยอาการตื่นตระหนก นางเห็นเป็นชายใบหน้าโหดเหี้ยมอำมหิตคนหนึ่งถือดาบแกว่งไกวเข้ามา
ร่างกายของชายคนนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เพียงมองปราดเดียวก็เดาได้ว่าเขาเป็นคนขายเนื้อ ขณะที่กำลังจะวิ่งผ่านหลินเมิ้งหยา ฝีเท้าของเขาพลันหยุดลง
“น้องชาย เมื่อครู่เจ้าเองก็ถูกไอ้นักพรตจอมลวงโลกนั่นหลอกเอาใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร ไม่ว่าเจ้าจะถูกหลอกเสียเงินทองไปมากมายเท่าใด พี่ชายคนนี้จะไปล่าตามตัวเขากลับมาชดใช้ให้เจ้าให้ได้ เมื่อครู่เขาวิ่งไปทางใด?”
ใบหน้าของชายร่างกำยำเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต แต่ถึงกระนั้นเขาก็ปฏิบัติต่อพวกหลินเมิ้งหยาด้วยความอ่อนโยน
หลินเมิ้งหยาชี้นิ้วไปยังเส้นทางตรงกันข้ามของนักพรตคนนั้น คนขายเนื้อจึงสั่งให้นางไปแจ้งทางการ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกไปพร้อมทั้งเสียงตะโกนดังลั่น
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวหันหน้าสบตากัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!
“ข้าว่าแล้วเชียว นักพรตนั่นต้องเป็นพวกลวงโลกอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะมีพี่ชายฆ่าหมูออกตามล่าเขาอย่างนั้นหรือ”
หลินเมิ้งหยายืนเหม่อลอยหลายวินาที ก่อนจะได้สติกลับมา
ป๋ายซ่าวพูดถูกแล้ว แต่ในมือของนางคือตราประทับลายดอกเหมย
หากนางมองไม่ผิด ตราประทับลายดอกเหมยอันนี้เหมือนกันกับดอกเหมยบนเอวและบนผ้าห่อของผืนนั้นไม่มีผิด
ไม่รู้ว่านักพรตคนนั้นเป็นใคร เหตุใดเขาจึงนำของที่มีความเกี่ยวข้องกับนางออกมา
เหตุการณ์มิคาดฝันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนหลินเมิ้งหยารู้สึกสับสนไปหมด
ทั้งสองหมดอารมณ์เดินซื้อของอย่างสิ้นเชิง หลังจากซื้ออาหารบางส่วนแล้วจึงมุ่งหน้ากลับไปยังโรงเตี๊ยม
เพียงผ่านประตูเข้ามา จ้าวเฟยรีบวิ่งมาหยุดตรงหน้านาง สีหน้าเสมือนต้องการขอความช่วยเหลือ
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที เสี่ยวหยวนเอ๋ย พี่ชายกับญาติผู้พี่ของเจ้ากำลังทะเลาะกัน!”
หา? หลินเมิ้งหยากลืนขนมลงคอ นี่เขาป่วยหรือไม่?
นอกจากจะจับโจรไม่ได้แล้วยังมาทะเลาะกันอีกหรือ?
หลินเมิ้งหยารีบวิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยม ผลปรากฏว่าห้องโถงที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อยพังพินาศไม่เป็นท่า
ส่วนหลงเทียนอวี้และชิวอวี้กำลังแลกหมัดกันอยู่ตรงกลาง
สิ่งที่ทำให้นางหงุดหงิดใจก็คือพวกเขาล้วนทิ้งอาวุธคู่กายแล้วใช้ร่างกายปะทะกันโดยตรง
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลินเมิ้งหยาหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง ช่วงเช้านางเกือบถูกโจรหื่นกามลวนลาม ช่วงบ่ายพบอาซิ่วที่อยู่ๆ ก็หายตัวไป ซ้ำเมื่อครู่ยังถูกนักพรตข้างถนนทำให้จิตใจของนางสับสนวุ่นวายอีก
กว่าจะกลับถึงโรงเตี๊ยมไม่ง่ายเลย แต่กลับต้องมาเห็นพวกเขาทะเลาะเบาะแว้งกันอีก
น่าขายหน้าเหลือเกิน!
คำพูดของนางเสมือนคำตัดสินอันทรงพลัง ชายทั้งสองที่ไม่ว่าใครห้ามก็ไม่ฟังพลันผละตัวออกจากกัน
ทว่าคนหนึ่งหน้าตาปูดบวม ส่วนอีกคนสภาพเละเทะมิต่างกัน
พวกเขามีท่าทางเสมือนคุณชายสูงศักดิ์เสียที่ไหน?
“หากจะตีกันก็ไสหัวกลับไป! ตอนนี้อารมณ์ข้าไม่ดีเป็นที่สุด หากใครกล้าทำให้ข้าหงุดหงิดอีกล่ะก็ ไสหัวกลับบ้านไปให้หมด!”
หลินเมิ้งหยาตะคอกเสียงดัง ก่อนจะพาป๋ายซ่าวขึ้นไปยังห้องพักผ่อนของตนเอง
ทว่าสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือชายทั้งสองที่เพิ่งจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเมื่อครู่มีสภาพเสมือนหมาหงอยขึ้นมาทันที
แม้พวกเขาจะยังคงไม่สบตากัน แต่ถึงกระนั้นก็เดินนำหน้าตามหลังคุณชายน้อยไปแต่โดยดี
“คิก เสี่ยวหยวนแข็งแกร่งยิ่งนัก”
จ้าวเฟยมองตามร่างที่หายไปจากชั้นสองด้วยรอยยิ้มขบขัน
ทว่าความเจ็บปวดเพราะโดนลูกหลงพลันแล่นพล่านบริเวณเหนือหน้าท้อง
“สกุลหยวนอบรมสั่งสอนลูกหลานได้เป็นอย่างดี ข้าคิดว่าพวกเขาคงรักน้องชายคนนี้ด้วยใจจริง”
เหวินสือที่นั่งเงียบตลอดเวลาเอ่ยสรุปเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมด
แต่เขาเองก็มิต่างอันใดจากจ้าวเฟย เหตุเพราะเข้าไปห้ามปรามทั้งคู่จึงโดนลูกหลงเข้าเต็มเปา
หันไปสบตากันพลางกระตุกยิ้มขมขื่น
เฮ้อ ไม่ว่าจะห้ามด้วยวิธีไหนก็มิอาจเทียบได้กับเสียงตะคอกของเสี่ยวหยวน
ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ หลินเมิ้งหยาจ้องพวกเขาอย่างไม่สบอารมณ์
นางไม่รู้ว่าหลงเทียนอวี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ช่วงนี้เขามักมองชิวอวี้เป็นศัตรูอยู่เสมอ
เรื่องราววุ่นวายมากมายที่เกิดขึ้นทำให้นางปวดหัวมากพอแล้ว แต่พวกเขายังต่อยตีสร้างความอับอายให้นางอีก
ดวงตาคมกริบเย็นชาจ้องชายทั้งสองที่กำลังถลึงตาใส่กัน
มือเล็กฟาด ‘ปัง’ ลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะเค้นเสียงถาม
“พูดมา”
หลงเทียนอวี้และชิวอวี้จ้องกันตาเขียวปัด ก่อนจะหันหน้าหนีไปคนละทาง
“เขายั่วยุข้าก่อน!”
ชิวอวี้ร้องออกมา ฝีมือการต่อสู้ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งยิ่งนัก เขารู้สึกราวกับว่ากระดูกของตนกำลังจะหักอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าพูดใหม่เดี๋ยวนี้!”
หลงเทียนอวี้ที่ชิงพูดตัดหน้าไม่ทันตะเบ็งเสียงออกจากลำคอ
“เจ้านั่นแหละยั่วยุข้าก่อน เจ้าใช้ดาบฟันคนไม่มีอาวุธ! เจ้ายังกล้าพูดว่าตนเองเป็นบุรุษได้อีกหรือ!”
สิ่งที่ตอบกลับชิวอวี้คือสายตาเย็นชาคมกริบประหนึ่งใบมีด มือที่กำแน่นตลอดมาพลันเหวี่ยงพุ่งไปทางเขา
ชิวอวี้ไม่ยอมเสียเปรียบ เขารีบเอี้ยวตัวหลบแล้วออกแรงถีบเต็มแรง