ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 386 เพียงขยะคนหนึ่ง
อาหารเช้าสำหรับพวกพ่อค้าค่อนข้างเรียบง่าย ถั่วแดงต้มน้ำเปล่า โจ๊กธัญพืช ทั้งยังมีแตงกวาดองและผักดอง
หลังจากเห็นหลินเมิ้งหยา ท่านกัวทำเพียงเหลือบมองหนึ่งครั้งแล้วก้มหน้าลงกินข้าวต่อ
บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย ป๋ายซ่าวแอบกระตุกชายเสื้อของหลินเมิ้งหยาในมุมที่ไม่มีใครเห็น เหตุเพราะกลัวว่านางจะไม่อาจปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ได้
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไร้ท่าทางอึดอัดใจ กลับกันนางเข้าไปร่วมโต๊ะเพื่อกินอาหารเช้ากับพวกเขา
ริมฝีปากบางอ้าออกกว้างเพื่อกินอาหารคำโต ทุกคนล้วนมองนางเป็นตาเดียว
ป๋ายซ่าวมองเจ้านายด้วยอาการตกตะลึง ปกติเวลาอยู่ที่จวน นายหญิงไม่แม้แต่จะแตะต้องอาหารเหล่านี้
แต่ตอนนี้นายหญิงกำลังดื่มกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย หากเถียนมามาได้มาเห็นเข้าจะต้องร้องไห้จนสลบไปอย่างแน่นอน
ทว่าท่านกัวและลูกน้องอีกสองคนกลับมองนางด้วยสายตาชื่นชม
หลินเมิ้งหยาไม่เกรงใจที่จะกินอาหารกับพวกเขาจนเกลี้ยงชาม
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสามคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะกินอาหารได้มากมายถึงเพียงนี้
มองเขาที่กำลังยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปาก ใบหน้าถมึงทึงของคนทั้งสามพลันหยักยิ้มพึงพอใจ
ท่านกัวซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางอายุราวห้าสิบปี
เหตุเพราะเคยเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันภัยมาก่อน ฉะนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มากมาย ร่างกายของเขามิได้อ่อนล้าเหมือนอย่างคนแก่ทั่วไป อีกทั้งยังมีท่าทางเด็ดขาดเหมือนทหารผ่านศึก
ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาผ่อนคลายเล็กน้อย แต่กลับมองทะลุถึงจิตใจคน
หนวดเคราสีเทาขาวบนคางรกรุงรังแสดงให้เห็นว่าเขามิเคยตัดตกแต่งมันมาก่อน คนประเภทนี้จะต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความป่าเถื่อนอย่างแน่นอน
คนที่มีประสบการณ์การค้าขายคงไม่กล้ากระตุกหนวดชายผู้นี้เป็นแน่ เขามิต่างอันใดจากมีดล้ำค่าที่ถูกใช้งานมาอย่างเนิ่นนาน แม้ความแวววาวจะหายไป แต่มิอาจลบความคมที่ทำให้หัวใจคนสั่นระรัวไปได้
แต่ถึงกระนั้นคนเหล่านั้นต่างรู้ดีว่าชายคนนี้เป็นคนใจกว้างและมีความยุติธรรม
คนที่สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้ย่อมรู้ซึ้งถึงคำว่าปักมีดเข้าเอวสองข้าง เหตุเพราะเขาเป็นคนรู้คุณและรู้โทษในเวลาเดียวกัน
ดูเหมือนตอนนี้ท่านกัวจะรู้สึกดีต่อหลินเมิ้งหยาไม่มากก็น้อย
ท่านกัวหยิบกล้องยาสูบของตนเองขึ้นมา ท่วงท่าลื่นไหลคุ้นเคย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนักสูบตัวยง
หลินเมิ้งหยาหยิบกล้องยาสูบข้างเอวขึ้นมา ก่อนจะประกบมือสองข้างเข้าหากัน
“นี่คือ…”
ท่านกัวเลิกคิ้วขึ้นมอง ตั้งใจเอ่ยถาม
“นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้น้อยต้องการมอบให้ท่านกัวขอรับ พวกเราเพิ่งเคยพบกันครั้งแรก เช่นนั้นต้องรบกวนท่านกัวดูแลพวกเราด้วย”
ปลายของกล้องยาสูบทำจากหยกขาว ก้านทำจากทองคำงดงามล้ำค่ายิ่งนัก ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมองเป็นเพียงของธรรมดาชิ้นหนึ่ง ใบหน้าหาได้แสดงท่าทางหยิ่งผยองหรืออ่อนน้อมถ่อมตนแต่อย่างใด
สีหน้าราบเรียบแต่กลับทำให้ผู้ใหญ่เคารพนาง
ท่านกัวเหลือบมองนางหนึ่งครั้ง ก่อนจะเคาะกล้องยาสูบของตนเองลงบนโต๊ะสามครั้งแล้วยื่นมือไปรับของขวัญจากหลินเมิ้งหยา
กล้องยาสูบอันเก่าถูกเหน็บลงที่ข้างเอวของเขา แม้จะรับของใหม่มา แต่เขากลับเหลือบมองมันเพียงครั้งเดียว
หยิบยาสูบของตนเองวางลงแล้วจุดไฟ จากนั้นจึงสูบเข้าไปเต็มปอดก่อนจะเอ่ย
“ดี ข้าขอบใจเจ้ามาก นั่งพักผ่อนก่อนเถิด อีกเดี๋ยวพวกพ่อค้าก็มากันครบแล้ว”
บรรยากาศพลันอบอุ่นขึ้น
ชายหน้าคล้ำสองคนซึ่งนั่งขนาบข้างท่านกัวหยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับหลินเมิ้งหยา
ป๋ายซ่าวยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนายหญิงจึงมีความอดทนถึงขนาดนี้
ทว่าหยวนซานซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกลับเผยรอยยิ้มมีเลศนัย เมื่อครู่เขาลืมเตือนเจ้านายคนใหม่เกี่ยวกับกฎระเบียบที่นี่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้านายคนใหม่ของเขาจะเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้
เพราะเหตุนี้ก่อนออกเดินทางรองเจ้าสำนักจึงกำชับเขาว่าจะต้องปกป้องดูแลเจ้านายคนใหม่ให้ดี
ดูเหมือนนางจะมิใช่เพียงเจ้าของร้านยาสามสหายธรรมดาๆ เสียแล้ว
“น้องชาย เมื่อครู่พวกเราทำผิดต่อเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”
ชายผู้ที่อยู่ทางซ้ายสวมชุดสีดำ ใบหน้าถมึงทึงเคร่งขรึม เขามีนามว่าจ้าวเฟย แม้ท่าทางจะดุดัน แต่เพียงเอ่ยปากก็รับรู้ถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนจากเขาได้
ส่วนชายเครายาวทางด้านขวามีนามว่าเหวินสือ ท่าทางเคร่งขรึมและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ขณะที่ท่านกัวนั่งสูบยาก็มีคนเข้ามาทักทายเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นจ้าวเฟยจึงเป็นคู่บทสนทนาของหลินเมิ้งหยาแทน
“พี่จ้าวเฟยอย่าเกรงใจไปเลย ชายหญิงในยุทธภพแห่งนี้จะคิดเล็กคิดน้อยได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าไม่มีท่านกัวและพวกพี่ชายทั้งสองคอยดูแล เกรงว่าข้าคงกลายเป็นอาหารสุนัขระหว่างทางอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยายิ้มกว้าง นางใจกว้างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้แต่งกายเป็นชาย ข้อจำกัดในการแสดงออกจึงลดลง
ฉะนั้นนางจึงแสดงความใจกว้างออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่นานจ้าวเฟยและเหวินสือต่างก็รู้สึกดีต่อนาง
ทั้งสามเรียกขานกันและกันว่าพี่น้อง ทว่าป๋ายซ่าวกลับแอบหวั่นใจ เหตุเพราะนางกลัวว่านายหญิงของตนเองจะมีนิสัยหยาบกระด้างติดมาด้วย
ไม่นานพวกพ่อค้าก็รวมตัวกันครบ พวกเขาล้วนเคยเดินทางจากเหนือจรดใต้ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นคนของกลุ่มสามสหาย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่รู้สึกคุ้นเคยกันเลยแม้แต่น้อย
ฉากหน้าของพวกเขาคือพ่อค้าจริงๆ หากมิใช่เพราะหยุนจู๋ส่งมอบรายชื่อให้นางก่อนหน้า นางก็คงจะมองไม่ออก
ในใจแอบโห่ร้องด้วยความดีใจ ดูเหมือนนางจะตัดสินใจถูกแล้วที่ให้หยุนจู๋ดูแลกลุ่มสามสหาย หากมีคนเหล่านี้ช่วยขยับขยายอำนาจไปยังดินแดนแห่งใหม่แล้วล่ะก็ ไม่ช้าก็เร็วอำนาจของกลุ่มสามสหายจะต้องแผ่กระจายไปทั่วหล้า
ทุกคนล้วนเข้ามาทักทายท่านกัว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมสังเกตเห็นนางที่กำลังพูดคุยกับลูกน้องทั้งสองของท่านกัว
แต่กลับไม่มีใครถามไถ่สิ่งใดมากมายนัก พวกเขาทำเพียงยิ้มและเอ่ยทักทายเท่านั้น
เหตุเพราะคนที่สามารถเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับท่านกัวได้จะต้องเป็นคนโปรดของเขาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังต้องพึ่งพาท่านกัวอีกมากในการเดินทางคราวนี้ ฉะนั้นอย่าไปหาเรื่องเพื่อนของเขาจะดีกว่า
หลินเมิ้งหยาล่วงรู้ถึงจิตใจของท่านกัว นางจึงพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ทุกคน
คนเหล่านี้ล้วนเป็นพ่อค้า เป็นมิตรกันไว้ก็มิใช่เรื่องเสียหายอันใด
แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เปรียบเสมือนรังนก ย่อมมีนกทุกชนิดบินผ่านมา
ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังชื่นชมความฉลาดเฉลียวของพ่อค้าเหล่านั้น พวกขยะเดนตายพลันส่งสายตาหื่นกระหายไปทางป๋ายซ่าว
พ่อค้าส่วนใหญ่ต่างส่งสายตาขุ่นเคืองแต่กลับมิกล้าเอ่ยปากห้ามปรามคนเหล่านั้น
ขณะเดียวกัน พวกเขาเริ่มปาดเหงื่อแทนคุณชายผู้มีท่าทางเป็นมิตรคนนั้น
“โอ๊ย…”
ป๋ายซ่าวซึ่งยืนเงียบตลอดเวลาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นจึงส่งสายตาคมกริบไปทางพวกขยะเหล่านั้น
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองตาม ก่อนจะได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของป๋ายซ่าวและชายคนหนึ่งซึ่งกำลังสูดดมมือของตนเอง
“หอมยิ่งนัก แม่นางคนนี้กำลังรอพี่ชายเช่นข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?”
ขยะย่อมเป็นขยะ ทั้งที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ขัดหูขัดตา กลับยังคิดว่าตนเองหล่อเหลาเสียเต็มประดา
แต่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา แม้เขาจะมีใบหน้าโดดเด่น แต่ความเลวทรามทำให้เขาอัปลักษณ์น่ารังเกียจ
คนที่อยู่รอบๆ ล้วนชี้มือชี้ไม้พลางใช้สายตานึกสนุกจ้องมอง
พวกเขาล้วนคิดว่าจะได้เห็นฉากอันธพาลยลโฉมงามแต่เช้า ดังนั้นจึงรู้สึกสนุกสนานขึ้นมา
ป๋ายซ่าวหาใช่คนที่จะยอมนิ่งเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายเอารัดเอาเปรียบตัวเองแต่ฝ่ายเดียว หลังจากตั้งสติได้ว่าตนเองถูกเขาหาเศษหาเลยกับร่างกายของนาง มือเล็กจึงตวัดฟาดลงบนริมฝีปากหนาของเขา
ทุกคนล้วนชื่นชมลูกตบของนาง เสียงหัวเราะโห่ฮาพลันดังขึ้น
“โอ้โหว แม่นางคนนี้เร่าร้อนยิ่งนัก เป็นอะไรไป อยากจะเล่นกับพี่ชายคนนี้อย่างนั้นหรือ?”
ไอ้ขยะคนนั้นแสดงท่าทางหยิ่งผยองพองขน ราวกับตนเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา
ดวงตาหื่นกระหายจับจ้องมองหน้าอกของป๋ายซ่าวเขม็ง ทว่าอีกเสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างในชุดเทาพลันเข้ามาขวางหน้าป๋ายซ่าวเอาไว้
“เป็นอะไรหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยากระซิบถาม ป๋ายซ่าวส่ายหน้า ทว่าดวงตาเปี่ยมโทสะ
อยู่จวนอ๋องมาตั้งนาน ไม่มีใครกล้าทำตัวหยาบคายกับนางถึงเพียงนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดวงตาโกรธเกรี้ยวระคนอับอายของป๋ายซ่าว
แต่นางกลับทำอะไรชายคนนั้นไม่ได้
“เสี่ยวซานจื่อ เจ้าจงพาฮูหยินไปพักผ่อนบนรถม้า ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
หยวนซานรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่เขารู้ดีว่าป๋ายซ่าวกำลังรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
ชายท่าทางเหมือนขยะเปียกตรงหน้าก้มๆ เงยๆ มองชายหนุ่มตรงข้ามเขา ผิวพรรณของชายหนุ่มคนนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น
ลูบเคราเล็กน้อย เขาที่สามารถมีสัมพันธ์ได้ทั้งชายและหญิงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เมื่อครู่เจ้าใช้มือข้างไหนแตะต้องฮูหยินของข้า?”
พยายามระงับโทสะ หลินเมิ้งหยาแสยะยิ้มเย็นชา
แม้รูปร่างของนางจะบอบบางมิอาจสู้ชายร่างกำยำตรงหน้าได้ แต่นางกลับไม่หวั่นเกรง ซ้ำยังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“โอ้ คุณชายคนนี้รูปงามยิ่งนัก หรือเจ้าเหงาก็เลยอยากเข้ามาล้อมวงรับใช้ข้าเหมือนฮูหยินของเจ้า?”
ชายคนนั้นอ้าปากหัวเราะร่วน หลินเมิ้งหยางอนิ้ว ก่อนจะตั้งใจเหยียดยิ้มให้กับชายคนนั้น
“เจ้ามานี่สิ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
ทุกคนล้วนคิดว่าคุณชายผู้นี้กำลังหวาดกลัว ฉะนั้นจึงคิดจะยอมจำนน
แต่ยังไม่ทันทีพวกเขาจะส่งสายตาเหยียดหยามไปทางคุณชายผู้นั้น สถานการณ์พลันพลิกผันอย่างกะทันหัน
เห็นเพียงอันธพาลคนนั้นกำลังยื่นมือเข้าไปจะจับบ่าของคุณชาย แต่เขากลับเอี้ยวตัวหลบ จากนั้นท่อนขาเรียวยาวของคุณชายพลันวาดขึ้นแล้วเตะเข้าที่ชายคนนั้นเต็มแรง
ขณะที่ชายอันธพาลคิดจะเอาตัวรอดจากการโจมตี มือเล็กของนางพลันบีบคอของเขาเอาไว้
‘ตึง’ เสียงดังขึ้น ศีรษะของชายคนนั้นถูกเหวี่ยงกระแทกโต๊ะอย่างแรง