ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 13 บทที่ 369 โฉมงามและวีรบุรุษ
ตกใจจนเสียสติ? ความสงสัยพลันปะทุขึ้นในหัวใจของหลินเมิ้งหยา
จิตใจของเด็กค่อนข้างบอบบาง หากได้รับการกระตุ้นรุนแรงอาจเกิดผลกระทบที่ไม่คาดฝัน
หากเพราะสาเหตุนี้ทำให้นางกลายเป็นเด็กสติฟั่นเฟือนก็นับว่ามีเหตุผล
เพียงแต่….ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? อะไรทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งตกใจจนเสียสติได้?
“เถียนมามา ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดข้าจึงตกใจหวาดผวาเช่นนั้น?”
หลินเมิ้งหยากระซิบถาม เถียนมามาหันมามองนาง ปากอ้าออกก่อนจะหุบลง สีหน้าท่าทางลังเล
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หากท่านไม่รู้ก็ไม่เป็นไร”
หลินเมิ้งหยาไม่อยากทำให้เถียนมามาลำบากใจ เหตุเพราะนางทำให้เถียนมามาต้องเหนื่อยมามาก หากเถียนมามาไม่อยากพูด นางก็ไม่คิดบังคับ
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าอายุปูนนี้แล้ว ยังจะมีสิ่งใดมิอาจพูดได้อีกเล่า? อันที่จริงข้าได้ยินพวกคนรับใช้คุยกันว่าวันนั้นคุณหนูเห็นวิญญาณของฮูหยินก็เลยตกใจ แต่เพราะตอนนั้นท่านป่วยหนัก ข้าก็เลยมิได้เข้าไปสอบถามเรื่องนี้อีก ดังนั้นจนกระทั่งตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตกลงคืนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หลินเมิ้งหยาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการตัดความเป็นไปได้บางอย่างทิ้ง
ต่อให้วิญญาณมีจริง แต่แม่ผู้ให้กำเนิดจะมาหลอกหลอนลูกสาวตนเองอย่างนั้นหรือ?
จะต้องมีคนกุเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอนเพื่อปิดบังเรื่องที่หลินเมิ้งหยาพบเจอในคืนนั้น
แต่น่าเสียดาย ตอนนั้นท่านพ่อออกรบอยู่ที่ชายแดน ส่วนพี่ชายก็เป็นเพียงเด็กหนุ่ม เมื่อไร้ซึ่งที่พึ่ง ความจริงจึงถูกปกปิด
ทว่าเท่าที่นางรู้ในตอนนี้ เหตุการณ์นั้นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
นางค่อยๆ ครุ่นคิด เถียนมามาต้องดูแลเด็กถึงสามคน ฉะนั้นนางไม่มีทางดูแลหลินเมิ้งหยาได้ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเถียนมามาอยู่ที่จวน นางไม่มีวันปล่อยให้เด็กน้อยคนหนึ่งออกมาเดินเที่ยวเล่นยามค่ำคืนอย่างแน่นอน
เหตุใดวิญญาณจึงไม่ปรากฏก่อนหน้าหรือหลังจากนี้ แต่กลับปรากฏออกมาตอนที่เถียนมามาไม่อยู่จวน? เพียงเท่านี้นางก็ได้กลิ่นของแผนการร้ายบางอย่าง
“เช่นนั้นท่านจำได้หรือไม่ว่าหลังจากที่ท่านอุ้มข้ากลับมาแล้ว ตอนนั้นข้าเป็นเช่นไร? ข้าหมายถึง…ข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”
แม้เถียนมามาจะอายุมากแล้ว แต่ความทรงจำกลับยังชัดเจน
ครุ่นคิด บางทีตอนนั้นอาจตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก ฉะนั้นตอนนี้จึงจำได้มิลืมเลือน
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นคุณหนูเหมือนคนที่เพิ่งถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำ ข้าลองสอบถามทุกคนแล้ว แต่กลับไม่มีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือเลยแม้แต่คนเดียว อีกอย่าง ตอนนั้นข้าจำได้ว่าริมฝีปากและเล็บของท่านกลายเป็นสีม่วง ตอนแรกข้าคิดว่าท่านถูกแช่แข็งเสียอีก แต่ต่อมาราวครึ่งเดือนสีม่วงเหล่านั้นก็เริ่มจางหายไป ข้าลองถามหมอแล้ว หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรข้าจึงมิได้ตามเรื่องนี้ต่อ”
สีหน้าของเถียนมามาเจือไว้ซึ่งความรู้สึกผิด
ตอนนั้นหากนางใส่ใจกว่านี้ คุณหนูใหญ่คงไม่กลายเป็นเด็กสติฟั่นเฟือน
“เรื่องนี้โทษท่านไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่าน ข้ากับท่านพี่คงถูกซ่างกวนชิงทรมานจนตายไปแล้ว จริงสิ ก่อนท่านแม่ของข้าจากไป นางเคยสั่งเสียอะไรไว้บ้างหรือไม่?”
ทุกคนล้วนเล่าว่าฮูหยินหลินผู้เป็นมารดาของหลินเมิ้งหยาเป็นคนฉลาด
หากนางเป็นไปตามคำบอกเล่า เช่นนั้นนางจะไม่วางแผนเพื่ออนาคตของลูกๆ ตนเองเลยหรือ?
ส่วนเถียนมามาเป็นผู้ปกป้องดูแลชีวิตของนางและพี่ชาย ฉะนั้นหากมีคัมภีร์วิชาแพทย์ที่เป็นความลับ เชื่อว่าจะต้องถูกเก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี
เถียนมามาพยายามหวนนึกถึงความทรงจำในอดีต ทว่าก่อนที่ฮูหยินจะจากไป นางหาได้พูดเรื่องสำคัญกับตนไม่
“ก่อนฮูหยินจะจากไป นางฝากฝังให้ข้าดูแลคุณหนูและคุณชาย แต่มิเคยพูดถึงเรื่องอื่น หยาเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยากลับยิ้มพลางส่ายหน้า ความรู้สึกผิดหวังผุดขึ้นในใจ
บางทีชิวอวี้อาจเดาส่งๆ เพียงเท่านั้น อันที่จริงหาได้มีอะไรในกอไผ่
ส่วนคัมภีร์โบราณอาจเป็นเพียงความคิดเพ้อเจ้อของนางเท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะกลับจวนมาหาของไม่พบแล้วยังถูกคนจับกุมตัวเอาไว้อีก ตอนนี้นางไม่ต่างอะไรจากแกะที่รอวันถูกเชือด
รถม้าแล่นโคลงเคลง แต่เมื่อถึงทางแยกสองสาย รถม้าพลันหยุดกึก
หลินเมิ้งหยาแหวกผ้าม่านออก ก่อนจะเห็นเป็นเหล่าทหารหลวงวิ่งเข้ามาล้อมรถม้าถึงสามแถว
ภายนอกหน้าต่าง ดวงจันทราทอแสงริบหรี่ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเห็นเงาดำร่างหนึ่งปรากฏที่หน้ารถม้า
“ปล่อยนาง”
เสียงทุ้มต่ำชวนหลงใหลพลันดังขึ้น ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาเผยให้เห็นผ่านแสงจันทร์ทีละน้อย
เมื่อหลินเมิ้งหยาได้เห็นใบหน้าของเขา รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า
ใบหน้านวลงามแย้มยิ้มกว้าง ทว่ารอยยิ้มนี้มีไว้เพื่อชายคนนั้นเพียงผู้เดียว
“ข้ามารับเจ้ากลับบ้าน”
เขาทอดมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน
ราวกับมีลมร้อนในฤดูวสันต์พัดผ่าน รอยยิ้มอบอุ่นของเขาค่อยๆ ทลายแผ่นน้ำแข็งเหนือผืนน้ำจนแตกร้าว
ทั้งสองสบตากันเนิ่นนาน ราวกับลืมเลือนการมีอยู่ของทหารหลวงเหล่านั้น
“เพคะ”
ตอบรับคำพูดของเขาโดยไม่ลังเล ไม่รู้ว่าความเชื่อใจเช่นนี้ได้มาจากที่ใด
ทว่าหลินเมิ้งหยาเชื่อมั่น ขอเพียงถ้อยคำนั้นออกจากปากของหลงเทียนอวี้ เขาจะทำจนสำเร็จ
สายตาอิจฉาระคนเคียดแค้นของป๋ายหลี่อู๋เฉินจ้องหลงเทียนอวี้เขม็ง
ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่กลับทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหลงเทียนอวี้ลงอย่างง่ายดาย หากไม่นับเรื่องความรู้สึกที่พร้อมจะตายแทน สิ่งที่เขาทนไม่ได้มากที่สุดก็คือหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง เพียงเพราะความฉลาดเฉลียวเล็กน้อย แต่เขากลับปล่อยให้นางยื่นมาเข้ามายุ่งเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน!
ทั้งหมดเป็นเพราะนาง หลงเทียนอวี้จึงกลายเป็นคนอ่อนแอ
สุดท้ายเขาจึงต้องผันตัวมาทำสิ่งที่ผิด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อกำจัดนาง
“ท่านอ๋อง ข้าประหลาดใจยิ่งนัก เพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว พระองค์ถึงขั้นยอมเป็นศัตรูกับทหารหลวงเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชาและบ้าคลั่ง
ทว่าหลงเทียนอวี้ใช้สายตาเย็นชาเหลือบมองป๋ายหลี่อู๋เฉินราวกับเขาเป็นคนแปลกหน้า
“ปล่อยนาง ส่วนพวกเจ้ากลับไปได้”
ท่าทางน่าเกรงขามทำให้พวกทหารหลวงรู้สึกหวาดหวั่น
วันนี้นอกจากจะได้ปะทะกับเทพเจ้าแห่งสงครามอย่างหลินหนานเซิงแล้ว พวกเขายังต้องเจอกับอ๋องอวี้ผู้มีอำนาจค้ำฟ้าอีก
ดูเหมือนพวกเขากำลังจะได้เจอวีรบุรุษแห่งต้าจิ้นมากมายเหลือเกิน
พวกเขาล้วนรู้ดี หากเอ่ยว่าแม่ทัพหลินหนานเซิงมอบความหวาดกลัวให้พวกเขาได้ เช่นนั้นสิ่งที่อ๋องอวี้กำลังมอบให้ก็คือความทรมานเจียนตาย
“อย่าได้ฝันไปเลย ท่านอ๋องอวี้ พวกเขาล้วนเป็นพยานสำคัญของกระหม่อม หากท่านพาตัวพวกเขาไป เช่นนั้นเท่ากับว่าพระองค์ทรงเป็นกบฏ !”
ป๋ายหลี่อู๋เฉินกัดฟันร้องตะโกน ดวงตาของเขาวาวโรจน์ ใบหน้าขาวซีดเริ่มแดงก่ำเพราะความโกรธเกรี้ยว
ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าเขาตัดใจจากเจ้านายเก่าผู้นี้แล้ว
จากนี้ไปพวกเขาจะกลายเป็นศัตรูที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
“กบฏ?”
ดวงตาของหลงเทียนอวี้ไร้ซึ่งอารมณ์
มือล้วงเข้าไปหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วโยนไปที่ป๋ายหลี่อู๋เฉิน
“นี่คือตราพยัคฆ์ที่ท่านพ่อมอบให้ข้า ตอนนี้ข้ามีตำแหน่งสูงที่สุดในกรมกลาโหม ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าทั้งหมดปล่อยรถม้าคันนี้ไป หากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตามกฎของทหาร !”
ไม่มีใครคาดคิดว่าตราพยัคฆ์ซึ่งควรจะอยู่ในการครอบครองของฮ่องเต้จะอยู่ในมือของหลงเทียนอวี้
พวกทหารต่างหันไปมองหน้ากัน ก่อนเลือกที่จะเงียบ
ป๋ายหลี่อู๋เฉินแค่นหัวเราะเสียงเย็น แต่หัวใจของเขากำลังเกิดเพลิงพิโรธ
แม้พวกเขาจะเป็นคนของไท่จื่อ แต่ทุกสองปีทหารจะถูกผลัดเวรหนึ่งครั้ง
หากไม่มีตราพยัคฆ์ คนเหล่านี้จะกลายเป็นองครักษ์ประจำตัวของไท่จื่อ แต่เมื่อตราพยัคฆ์อยู่ในมือของหลงเทียนอวี้ เช่นนั้นพวกเขาจำต้องเคารพในอำนาจของชายตรงหน้า
แต่สิ่งที่ทำให้ป๋ายหลี่อู๋เฉินโกรธเกรี้ยวที่สุดก็คือแม้เขาจะทำงานกับหลงเทียนอวี้มาตลอดหลายปี เขากลับไม่เคยรู้เรื่องตราพยัคฆ์เลย
โทสะพลุ่งพล่านในใจ กระตุ้นให้โลหิตสีแดงฉานกระอักออกมา
“เจ้า…ท่านไม่เคยเชื่อใจข้า !”
ดวงตาวาวโรจน์ของป๋ายหลี่อู๋เฉินจ้องหลงเทียนอวี้ราวกับต้องการจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เขาเดินอ้อมตัวป๋ายหลี่อู๋เฉินไป
ก้าวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเมิ้งหยา หลงเทียนอวี้ยื่นมือออกไป แม้ใบหน้าจะปรากฏเพียงรอยยิ้มที่มุมปาก แต่กลับทำให้สีสันของท้องฟ้าสว่างไสว
“มาเถิด ข้ามารับเจ้ากลับบ้านแล้ว”
มืองดงามราวกับหยกวางลงบนฝ่ามือหนาของเขา
หลินเมิ้งหยาก้าวลงจากรถม้า สายตาไม่เคลื่อนออกจากร่างของหลงเทียนอวี้แม้แต่น้อย
“เพคะ พวกเรากลับบ้านกันเถิด”
ภายในรถม้า หลินเมิ้งหยาหน้าแดงก่ำเพราะรอยยิ้มหยอกล้อของเถียนมามา
รถม้าแล่นฉิวบนถนนใหญ่ ทิศทางที่ไปหาใช่คุกของทหารหลวง แต่กลับเป็นสกุลหลิน
“หากฮูหยินรู้คงจะดีใจมากเลยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องไม่เพียงหล่อเหลาเก่งกล้าสามารถ แต่ยังมีใจให้กับคุณหนูอีกด้วย เท่านี้ฮูหยินคงวางใจแล้ว”
ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าแม่ยายมักชื่นชอบลูกเขย
ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็เข้าใจความรู้สึกนี้แล้ว นับตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มา ทุกคำพูดของเถียนมามาล้วนชื่นชมหลงเทียนอวี้
ขนาดคนหน้าหนาอย่างหลินเมิ้งหยายังหน้าแดงก่ำ แต่ถึงกระนั้นนางก็นั่งฟังคำพูดของเถียนมามาอย่างว่านอนสอนง่าย
“หยาเอ๋อร์ ยินดีด้วย”
เถียนหนิงเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม น้องสาวผู้แสนน่ารักตอนนี้เติบใหญ่และแต่งงานกลายเป็นฮูหยินที่โชคดียิ่งคนหนึ่งไปแล้ว
ทว่าสิ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือความเชื่อใจของหลินเมิ้งหยาที่มีต่อพวกเขาสองแม่ลูก