ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 357 ดั่งต้นหลิวเบ่งบาน
“เช่นนั้นต้องขอบใจเจ้ามาก หากเรามีต้นจิ้งซินเหลียน เช่นนั้นสูตรยาของเราก็สำเร็จเกินครึ่งแล้ว”
ในที่สุดใบหน้านิ่วของหลินเมิ้งหยาเริ่มคลายกังวล
ทว่าขณะที่ความสบายใจกำลังแล่นพล่าน นางพลันถูกประโยคของชิวอวี้ดึงความสนใจอีกครั้ง
“แต่แม้ตระกูลของข้าจะปลูกต้นจิ้งซินเหลียน ทว่าพวกเราหาได้รู้วิธีใช้งานสมุนไพรตัวนี้”
อะไรนะ? สมุนไพรชนิดนี้มีการใช้งานพิเศษอย่างนั้นหรือ?
หลังจากใช้ระบบเซินหนงในการสืบค้นข้อมูล หลินเมิ้งหยาเพิ่งพบว่าระบบเซินหนงมี BUG อันใหญ่ที่แสดงเพียงวิธีการใช้งานในสมัยปัจจุบัน
ซึ่งนั่นหมายถึงสูตรยาของระบบเซินหนงมิได้แสดงผลขั้นตอนการทำยาแต่ละชนิดออกมา
หลินเมิ้งหยาหัวเราะขมขื่นในใจ หากเป็นสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นยาชนิดใดก็สามารถนำมาสกัดเพื่อนำมาใช้งานได้
แต่ที่นี่ซับซ้อนกว่ามาก นอกจากใช้ยาชนิดอื่นเข้ามากระตุ้นและทำให้สมดุลกันแล้ว ยังต้องใช้วิธีพิเศษในการสกัดออกมา
นางครุ่นคิด แม้คนในสมัยโบราณจะไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูงคอยช่วย แต่กลับค้นพบวิธีที่คนสมัยปัจจุบันใช้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความฉลาดเฉลียวของคนสมัยโบราณไม่ธรรมดาเลย
“ข้าจะหาวิธีเอง เหตุเพราะข้าเป็นคนคิดค้นสูตรยานี้ขึ้น”
แม้จะไม่รู้วิธีการกระตุ้น แต่หลินเมิ้งหยาเชื่อว่าขอเพียงได้ทำการทดลอง นางจะต้องหาทางออกเจออย่างแน่นอน
อย่างน้อยหากรู้ทิศทางก็จะพบผลสำเร็จ
ทว่าชิวอวี้กลับก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวเสียงเคร่งขรึม
“บางทีตำราแพทย์ที่แม่ของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้อาจมีวิธีใช้งานก็เป็นได้ ความหมายของข้าก็คือในเมื่อตำราเล่มนั้นบันทึกชื่อสมุนไพรจิ้งซินเหลียนเอาไว้ บางทีมันอาจจะมีวิธีการใช้งาน เหตุเพราะหากไม่เคยใช้งานมันมาก่อน เช่นนั้นจะล่วงรู้คุณสมบัติของมันได้อย่างไร?”
มองสีหน้าเคร่งขรึมของชิวอวี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกอยากหัวเราะ
เมื่อลองคิดดู ท่านแม่ทิ้งตำราแพทย์เอาไว้มากมาย
ตอนที่ซ่างกวนชิงแต่งงานเข้ามา นางเคยแอบนำข้าวของของท่านแม่ไปทำลายทิ้ง
มีเพียงหนังสือตำราแพทย์เหล่านั้นที่ท่านพ่อนำไปเก็บเอาไว้ในห้องอ่านหนังสือของตัวเอง
อย่าว่าแต่ซ่างกวนชิงเลย ท่านพ่อไม่ให้พวกบ่าวไพร่เข้าไปแตะต้องเสียด้วยซ้ำ
สมัยยังเด็ก แม้นางจะโง่เขลาสติฟั่นเฟือน แต่นางก็รักสิ่งของของท่านแม่มาก
อาจเพราะเหตุนี้นางจึงได้อ่านตัวอักษรเหล่านั้น จะว่าแปลกก็ใช่ นางจำเรื่องอื่นไม่ได้ แต่กลับจำเนื้อหาในหนังสือได้มิลืมเลือน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางทีอาจเพราะรู้คุณสมบัติของยาเหล่านั้น ฉะนั้นนางจึงสามารถหลบเลี่ยงยาพิษที่ซ่างกวนชิงเอามาให้กินได้อยู่หลายครั้ง
แปลก? ทั้งที่ตอนสติเลอะเลือนนางสามารถแยกยาพิษและยาบำรุงร่างกายได้ แต่เพราะเหตุใดนางจึงกินพุทราอาบยาพิษเข้าไปเล่า?
ร่องรอยของความสงสัยวาดผ่านดวงตาของหลินเมิ้งหยา
ดูเหมือนจะยังมีอีกหลายเรื่องที่นางยังไม่เข้าใจ ไม่ว่าซ่างกวนชิงหรือหลินเมิ้งหวู่ พวกนางล้วนอยากทำร้ายหลินเมิ้งหยาทั้งสิ้น
“เจ้าพูดถูก ในตำราจะต้องมีบันทึกเอาไว้แน่ เอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปหาที่บ้านสกุลหลิน ส่วนงานที่นี่คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
หนังสือที่ท่านพ่อเก็บเอาไว้รังแต่จะทำให้เขาโศกเศร้า
ถ้าหากตำราเหล่านั้นเขียนเรื่องต้นสมุนไพรจิ้งซินเหลียนเอาไว้ เช่นนั้นอาจจะช่วยได้มาก
จะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่วันที่ท่านพ่อและพี่ชายจากบ้านไปอีกครั้ง นางก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านสกุลหลินนานแล้ว
ทั้งที่นางต้องยุ่งวุ่นวายกับงานที่นี่ แล้วเหตุใดนางต้องปล่อยให้สองแม่ลูกอยู่อย่างสงบสุขด้วยเล่า?
ความชั่วร้ายพลันปรากฏขึ้นในหัวใจของหลินเมิ้งหยา
หยักยิ้มมีเลศนัย ชิวอวี้และป๋ายจีที่กำลังมองนางพลันสะดุ้งเฮือก
ดูเหมือนจะมีคนซวยแน่แล้ว!
“อะไรนะ? เจ้าจะกลับบ้าน? เช่นนั้น…เจ้าพาพ่อบ้านเติ้งไปด้วยเถิด จำเอาไว้ว่ารีบกลับมาก่อนค่ำ”
ตามกฎแล้ว หากหลงเทียนอวี้ไม่ไปด้วย หลินเมิ้งหยาจะไม่สามารถกลับไปที่บ้านของตนเองได้
ทว่าพวกเขาแต่งงานกันมานานแล้ว ดังนั้นเพียงได้รับความยินยอมจากหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาจะไปไหนก็ได้ตามใจปรารถนา
บางทีอาจเพราะช่วงก่อนเคยพบปะกัน ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงรู้สึกไม่ดีกับสองแม่ลูกคู่นั้น
เพียงได้ยินว่าหลินเมิ้งหยาจะกลับบ้าน แม้เขาจะห้ามนางไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น
เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับสกุลซ่างกวนล้วนมิใช่เรื่องดี
“เพคะ หม่อมฉันจะรีบกลับ ท่านอ๋องยังมีสิ่งใดรับสั่งอีกหรือไม่?”
แม้หลงเทียนอวี้จะยังรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องตอนกลางวัน แต่หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
นวดหว่างคิ้ว หลังจากต้องศึกษาสมุนไพรมาทั้งวัน นางเริ่มรู้สึกเบลอและกินอะไรไม่ลง
โชคดีที่ระบบเซินหนงช่วยทำให้งานของนางในวันนี้สำเร็จเกินครึ่ง หากสามารถแก้ปัญหาเรื่องต้นจิ้งซินเหลียนได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นนางจะได้ยกภูเขาออกจากอกเสียที
คาดว่าชิวอวี้จะต้องจัดการงานที่เหลือได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาวิธีใช้งานต้นจิ้งซินเหลียน
ขอเพียงแก้ปัญหานี้ได้ พิษของฮ่องเต้ก็จะทุเลา
“ข้า….เจ้าระมัดระวังตัวให้มากก็พอ ช่วงนี้สกุลซ่างกวนอาจมีการเคลื่อนไหว ฮองเฮาที่เป็นที่พึ่งของพวกเขาไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน ซ่างกวนชิงเป็นถึงน้องสาวของฮองเฮา ฉะนั้นเจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก”
หลงเทียนอวี้ไม่สะดวกพูดเรื่องในราชสำนักให้หลินเมิ้งหยาฟัง แต่ถึงกระนั้นก็สามารถเผยบางอย่างให้นางรับรู้ได้
“แต่หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้ซ่างกวนชิงคงไม่ฟังคำพูดพี่สาวของตัวเองเท่าไหร่หรอกเพคะ”
หลินเมิ้งหยายิ้มกว้าง อันที่จริงนางก็เพิ่งนึกออก
ในเมื่อสกุลซ่างกวนสร้างความเสียหายให้สกุลหลินได้ เช่นนั้นทำไมนางจึงไม่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งกลับไปเล่า?
หลงเทียนอวี้มองนาง สายตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“เหตุเพราะฮองเฮาเสนอให้หลินเมิ้งหวู่ไปแต่งงาน แม้ซ่างกวนชิงจะใจดำอำมหิต แต่นางรักและเอ็นดูลูกสาวของตัวเองมาก หากมิใช่เพราะความรักจากมารดา เช่นนั้นหลินเมิ้งหวู่คงไม่กล้าแสดงความโอหังมากมายถึงเพียงนี้ นางกับฮองเฮาไม่เหมือนกัน หลินเมิ้งหวู่เปรียบเสมือนความหยิ่งยโสและจุดอ่อนของนาง ฉะนั้นขอเพียงหม่อมฉันยั่วยุนาง รับรองว่าซ่างกวนชิงจะต้องไม่ยอมมีศัตรูคนเดียวกันกับฮองเฮาอย่างแน่นอน”
หากเทียบกันแล้ว หลงเทียนอวี้เชื่อมั่นในการต่อสู้ของตนเอง แต่ถ้าเรื่องปั่นประสาท เขายังไม่อาจเทียบชั้นกับหลินเมิ้งหยาได้
เรื่องภายในครอบครัวอาจดูเหมือนเป็นเรื่องของพวกผู้หญิง แต่ถึงกระนั้นบางครั้งก็ส่งผลต่อราชสำนัก เมื่อพิจารณาดูแล้ว ดูเหมือนชายาของเขาคนนี้จะไม่ต่างจากแม่ทัพหญิง
หากมีนางอยู่ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องในบ้านเลยแม้แต่น้อย
“หากฮูหยินหลินรู้ นางคงดีใจ”
อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็เอ่ยขี้น
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองเขา ก่อนจะส่ายหน้า
สำหรับแม่ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกว่านางเป็นคนแปลกหน้า
แต่กลับ…ขอบคุณเสียด้วยซ้ำ
“ท่านพ่อพูดถึงเรื่องของท่านแม่หม่อมฉันนับครั้งได้ บางทีอาจเพราะสมัยเด็กหม่อมฉันโง่เขลาสติฟั่นเฟือน แต่หม่อมฉันรับรู้ได้ว่าหากท่านแม่ยังอยู่ ชีวิตของหม่อมฉันคงไม่ต้องพบกับความลำบากยากเข็ญเช่นนี้”
ไม่มีแม่คนไหนยอมปล่อยให้ลูกของตนเองต้องถูกปองร้ายนับครั้งไม่ถ้วน
ตอนนั้นได้ยินมาว่าแม่ของหลินเมิ้งหยายอมสละชีพเพื่อนาง แม้จะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับนางเลยแม้แต่น้อย แต่หลินเมิ้งหยาเดาได้ว่าแม่ของนางจะต้องเป็นคนสมบูรณ์เพียบพร้อม
“ข้าเคยได้ยินคนเก่าคนแก่เล่าเรื่องฮูหยินหลิน ตอนนั้นพวกหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าร้องเล่นเต้นระบำหรือเก่งกาจในกาพย์กลอนก็ยังมิอาจเทียบกับแม่ของเจ้าได้”
เมื่อลองนับดูแล้ว หลงเทียนอวี้อายุมากกว่าหลินเมิ้งหยาหลายปี
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่คอยรับใช้เขาล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของวัง ฉะนั้นเขาจึงรู้เรื่องในตอนนั้นมากกว่านาง
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกสนใจมารดาที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนคนนี้
ท่านพ่อเองก็เป็นหนุ่มหล่อมากความสามารถที่หาตัวจับยาก เหตุใดเขาจึงพร่ำเพ้อหาแต่ภรรยาที่ตายจากไปนานแล้วกันเล่า?
น้อยครั้งนักที่หลงเทียนอวี้จะได้เห็นท่าทางเหม่อลอยของหลินเมิ้งหยา
ดูเหมือนคนที่กำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง
แม้สมัยยังเด็กเขาจะต้องพบเจอกับกลอุบายมากมายในวังหลวง แต่ถึงกระนั้นหมู่เฟยก็คอยปกป้องเขาอยู่ข้างกายเสมอ
ทว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีใครคอยปกป้อง บางครั้งป๋ายจื่อก็หลุดปากออกมาว่าชีวิตของพวกนางสองนายบ่าวล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เขาครุ่นคิด เด็กผู้หญิงสองคน คนหนึ่งต้องดูแลอีกคน เช่นนั้นชีวิตของพวกนางจะต้องลำบากตรากตรำถึงเพียงไหนจึงจะมีวันนี้ได้
อยู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดแทนหลินเมิ้งหยาพลันแล่นพล่านเข้ามาในหัวใจ
เขาที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าอยากรู้หรือ?”
สติสัมปชัญญะกำลังร้องบอกเขาว่าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้นเขากลับมิอาจทนเห็นสายตาผิดหวังของนางได้
หลินเมิ้งหยารีบพยักหน้า ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความคาดหวัง
แม้แต่นางยังคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะอยากรู้เรื่องของผู้หญิงที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเช่นนี้
บางทีนี่อาจเป็นความหวังลึกๆ ของหญิงสาวผู้น่าสงสารจากส่วนลึกของหัวใจ
“ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก แต่ข้ารู้ว่าตอนนั้นแม่ของเจ้ามิใช่คนของเมืองหลวง นางหาใช่คุณหนูของสกุลใดในต้าจิ้น ทว่าหลังจากที่พ่อของเจ้าทำสงครามกลับมา เป็นครั้งแรกที่คนทั้งเมืองหลวงได้รู้จักกับคำว่านวลนางโฉมสะคราญ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของหลงเทียนอวี้ที่เอื้อนเอ่ยทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกเสมือนกำลังหลุดเข้าไปในห้วงแห่งความฝัน