ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 346 โสมโลหิตมนุษย์
“ข้างในนั้นคือสิ่งใด? เลือดคนหรือเจ้าคะ?”
หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่อยากรับฟังความจริงที่อาจารย์กำลังจะบอกนาง
แต่เมื่อเห็นท่าทางของอาจารย์ นางรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่ตนเองกำลังกังวลได้เกิดขึ้นแล้ว
พรสวรรค์และความบ้าคลั่งต่างกันเพียงเส้นคั่นบางๆ
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าวิชาแพทย์พิษของป๋ายหลี่รุ่ยอยู่ในระดับปรมาจารย์
แต่ปรมาจารย์เช่นเขาในเวลานี้กลับดูอันตรายเหลือเกิน
มุมปากของหลินเมิ้งหยาหยักยิ้มขมขื่น เมื่อก่อนนางอยู่ข้างกายเขา อย่างน้อยนางก็ยังสามารถปลอบโยนท่านอาจารย์ได้
แต่ตอนนี้อาจารย์เสียสติไปแล้ว เขา…กลายเป็นคนไร้ประโยชน์
“เข้ามา”
หลินเมิ้งหยาค่อยๆ ขยับตัวออกจากห้อง สายตาเย็นชาขึ้นกว่าเดิม เดิมทีนางสั่งคนที่ดูแลท่านอาจารย์เอาไว้แล้วว่าอย่าปล่อยให้เขาทำเรื่องเช่นนี้
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
“พระชายา ข้าน้อยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างหนึ่งพลันปรากฏบนทางเดิน
แม้จะก้มหน้าอยู่ แต่หลินเมิ้งหยาจำเสื้อผ้าของเขาได้ คนคนนี้คือคนที่นางฝากฝังให้ดูแลท่านอาจารย์
“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดท่านอาจารย์จึงกลายเป็นเช่นนี้?”
น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาเจือความกระวนกระวายโดยไม่รู้ตัว
ก่อนนางเข้าวัง ท่านอาจารย์ยังคงปกติดี เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น อาจารย์กลับเป็นไปถึงขนาดนี้ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“คือ…”
ชายคนนั้นลังเล ขณะที่กำลังจะตอบ เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งพลันดังขัดขึ้น
“นี่คือสิ่งที่ท่านอ๋องรับสั่งมา พระชายาอย่าได้ถามอีกเลย”
หันหน้าไปตามเสียง หลินเมิ้งหยาเห็นเป็นร่างสูงโปร่งสง่างามของใครคนหนึ่ง
สิ่งที่หลินเมิ้งหยาได้เห็นคือใบหน้าขาวนวลอมชมพู
ทว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับเปล่งประกายไปด้วยความเย็นชา
เขาสวมชุดสีม่วงอ่อน เอวคอดบางได้รูป แม้เขาจะเป็นชาย แต่กลับมีรูปร่างราวกับผู้หญิง
เขามาอยู่ที่จวนแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“เจ้าเป็นใคร?”
นับตั้งแต่วินาทีที่เห็นชายคนนี้ หลินเมิ้งหยาร้องเตือนตัวเองให้ระมัดระวัง
มิใช่เพียงเพราะท่าทางหยิ่งยโสโอหังของเขา
แต่ชายที่จะบอกว่าเป็นชายก็ไม่ใช่ เป็นหญิงก็ไม่เชิงคนนี้ทำให้เปลวไฟในดวงตาของนางลุกโชน
“กระหม่อมนามว่าเมิ่งจวินหลาน กระหม่อมมาทำหน้าที่แทนเจ้าคนไร้ประโยชน์ป๋ายหลี่อู๋เฉิน ที่นี่เป็นสถานที่คุมขัง หากพระชายาไม่มีธุระอันใด เช่นนั้นอย่าย่างกรายเข้ามาดีกว่าเพื่อที่จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือพวกคนทรยศจะสบโอกาสทำร้ายพระองค์”
เอ่ยปากอย่างไม่ไว้หน้าหลินเมิ้งหยา สายตาของเมิ่งจวินหลานไร้ซึ่งความเป็นมิตร ซ้ำยังดูแคลนนางอีกด้วย
หลินเมิ้งหยาไม่ต่อปากต่อคำกับเขา ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการจิกกัดเล็กๆ น้อยๆ
แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจและอดรนทนไม่ได้ก็คือหากหลงเทียนอวี้สั่งให้คนทำเรื่องนี้ นั่นเท่ากับว่าจะต้องมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ควรไปถามหลงเทียนอวี้ให้ชัดเจน
คิดจะเดินอ้อมตัวเมิ่งจวินหลาน หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะมองใบหน้าจะว่าหญิงก็ไม่ใช่ จะว่าชายก็ไม่เชิงของเขา
ขณะเดินผ่านร่างเขาไป จมูกของหลินเมิ้งหยาพลันได้กลิ่นหอมบางอย่างจากเรือนร่างของเขา
มุมปากจุดรอยยิ้มเย็นชา หลินเมิ้งหยายืนอยู่ข้างกายเมิ่งจวินหลาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบเย็น
“ตอนแรกข้าก็คิดว่าใคร ที่แท้ก็เถ้าแก่เมิ่งผู้เลื่องชื่อนั่นเอง อะไรกัน? ท่านมิได้หนีไปกับลูกสาวของท่านเสนาบดีไปแล้วหรือ? หรือลูกน้องจะหมดความเลื่อมใสในตัวเจ้า เช่นนั้นจึงคิดจะมาข่มขู่ข้า? ดี วันนี้ข้าจะไว้หน้าเจ้า แต่คราวหน้าเจ้าคงไม่ได้ยืนพูดจาอย่างไร้กังวลเช่นนี้แน่”
ดวงตาของเมิ่งจวินหลานฉายให้เห็นความตกตะลึง
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชื่อเสียงของเขาจะเสียไปเพราะข่าวลือเมื่อห้าปีก่อน
วันนี้กลับถูกเปิดเผยหลังจากพระชายามองเขาเพียงปราดเดียว
มือกำหมัดแน่น สุดท้ายเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าดังมากพอที่คนทั้งคู่จะได้ยิน
“ขอบพระทัย”
เมื่ออกมาที่ประตูคุก ตอนนี้ท้องฟ้ามีดวงดาวพร่างพราว
หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จึงจะสามารถล้างกลิ่นเลือดที่ยังคงติดจมูกของนางได้
ไม่ไกลกันนั้น ร่างสูงโปร่งของหลงเทียนอวี้ยืนนิ่งอยู่กับที่
ทว่าเขาหันหลังให้นาง นางจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
“ท่านเป็นคนทำเรื่องเช่นนั้นกับท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ?”
บรรยากาศบริเวณรอบๆ เงียบกริบ
ราวกับดวงเดือนและดวงดาราล่วงรู้ว่าถึงเวลาเร้นกายแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าจึงมีเพียงม่านรัตติกาล ก้อนเมฆลอยบดบังแสงสว่าง
“ข้ามีส่วนรับผิดชอบต่อท่านป๋ายหลี่ เลือดและเนื้อที่เขาใช้ล้วนเป็นของที่ข้าช่วยเขาหามา”
หลงเทียนอวี้ไม่ได้อธิบาย เขาทำเพียงเล่าความจริงบางส่วนเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง อันที่จริงนางคาดเดาเอาไว้แล้ว
ความคลั่งไคล้หลงใหลในการปรุงยาของอาจารย์หาใช่สิ่งที่นางจะเข้าใจได้
หากเขาทำโสมโลหิตมนุษย์ไม่สำเร็จ เกรงว่าท่านอาจารย์จะต้องทำร้ายตัวเองอย่างแน่นอน
ลอบถอนหายใจ นางรู้ดีว่าหลงเทียนอวี้เป็นคนเช่นไร
หากเป็นสิ่งที่เขาทำ เช่นนั้นเขาไม่มีวันผลักความรับผิดชอบให้ผู้อื่น
แต่ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของหลงเทียนอวี้ เช่นนั้นใครคือผู้อยู่เบื้องหลังกันแน่?
หลุดเข้าสู่ห้วงความคิดของตัวเอง หลินเมิ้งหยาไม่รู้ตัวเลยว่ากลุ่มก้อนเมฆจางหายไปตั้งแต่ตอนไหน
แสงจันทร์สาดส่องกระทบใบหน้าครึ่งเสี้ยวส่งให้นางดูงดงามน่าหลงใหล
หลงเทียนอวี้สาวเท้าเข้าไปใกล้นางโดยไม่รู้ตัว สายตาสับสนว้าวุ่น
“กำลังคิดอะไร?”
เสียงดังใกล้แค่คืบหยุดความคิดของหลินเมิ้งหยา
เงยหน้ามองหลงเทียนอวี้ที่เข้ามาหยุดตรงหน้าตนเอง
เรียวขาพลันขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว สายตาพลันเหลือบเห็นตัวเองที่กำลังจะตกลงไปเบื้องล่าง ทว่ามีมือหนาเอื้อมเข้ามารั้งร่างบางเอาไว้
“ไม่…ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันแค่กำลังคิดว่าใครที่บีบบังคับท่านอาจารย์ให้ปลูกโสมโลหิตมนุษย์กันแน่”
หลินเมิ้งหยากลับไม่สังเกตเห็นระยะห่างที่อยู่ใกล้จนลมหายใจของพวกเขาแทบจะสามารถหลอมรวมกันได้ หลงเทียนอวี้ก่นด่าตัวเองในใจที่คิดจะขยับเข้าใกล้นางมากขึ้นอีกนิด
ทว่า…
เมื่อเห็นท่าทางเป็นปกติ มิได้ต่อว่าหรือบ่ายเบี่ยงหนีเขาที่กำลังยืนแนบชิดตัวนาง ความรู้สึกดีใจพลันแล่นพล่านขึ้นมา
“ก็แค่โสมชนิดหนึ่งเท่านั้น หากใช้เลือดมนุษย์ในการหล่อเลี้ยงแล้วจะแตกต่างจากโสมชนิดอื่นอย่างไรเล่า?”
หลงเทียนอวี้ถามเสียงเบาชิดข้างหูของหลินเมิ้งหยา
ใบหูร้อนผ่าว หลินเมิ้งหยารีบเบี่ยงหลบ แต่นางกลับยังไม่สังเกตเห็นถึงระยะห่างของพวกเขา
“ไม่ โสมชนิดนี้มีชื่อว่าโสมโลหิตมนุษย์ อันที่จริงมันไม่ใช่โสม พระองค์รู้หรือไม่ว่าหากนำมนุษย์มาหล่อเลี้ยงสมุนไพรชนิดนี้จะเกิดอะไรขึ้น?”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาเหมือนเป็นการเตือนสติหลงเทียนอวี้
ทุกครั้งป๋ายหลี่รุ่ยร้องขอศพที่เพิ่งตายได้ไม่นาน
ฉะนั้นเขาจึงนำร่างของนักโทษที่ตายแล้วมาให้เขา
ทว่าช่วงนี้ป๋ายหลี่รุ่ยเริ่มร้องขอสิ่งที่มากยิ่งกว่านั้น เขาต้องการมนุษย์ที่มีชีวิตมาหล่อเลี้ยงสมุนไพรของเขา หากมิใช่เพราะหลงเทียนอวี้ปฏิเสธ เกรงว่าโสมเหล่านั้นคงกินมนุษย์ไปแล้ว
“เพราะเหตุนี้ช่วงนี้เขาถึงต้องการเลือดเนื้อของคนเป็น แต่พอข้าปฏิเสธ เขาจึงเงียบไปอยู่หลายวัน ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ทั้งสองเริ่มคุยกันอย่างจริงจังมากขึ้น หลงเทียนอวี้เลิกแนบลำตัวติดกับหลินเมิ้งหยา
ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ได้เชยชมเพียงพอแล้ว เขา…ไม่ควรทำเกินกว่าเหตุ เหตุเพราะหลินเมิ้งหยามิได้เจอเรื่องหนักใจมากขนาดนี้ทุกวัน
“โสมโลหิตมนุษย์ อันที่จริงถูกเลี้ยงอยู่ในภูเขาน้ำแข็ง ได้ยินมาว่ามันสามารถทำให้คนเราเป็นอมตะ ไม่แก่เฒ่า แน่นอนว่าอันที่จริงก็ไม่ได้มีฤทธิ์มหัศจรรย์เช่นนั้น แม้จะเป็นของวิเศษหายาก แต่เพราะมันเติบโตในหมู่มวลหิมะ และชอบอากาศหนาว ฉะนั้นหากคิดจะใช้ยาสมุนไพรตัวนี้ เช่นนั้นจะต้องหล่อเลี้ยงมันให้ดี ถ้าหล่อเลี้ยงด้วยเลือดเนื้อของชายเต็มวัย เช่นนั้นความเย็นของมันจะหายไป สิ่งที่เหลือไว้คือประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำมาฆ่าคนโดยไร้ร่องรอยและควบคุมจิตใจของคนได้อีกด้วย”
มองสีหน้าหนักใจของหลินเมิ้งหยา เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องธรรมดา
แต่…ควบคุมจิตใจ? เรื่องนี้ไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ? ถึงแม้จะเป็นสมุนไพรวิเศษ แต่ก็เป็นเพียงโสมเท่านั้น
มองสีหน้าที่ยากจะเชื่อของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาจึงอธิบายต่อ
“อันที่จริงบนโลกใบนี้ยังมียาสมุนไพรอีกมากที่มีคุณสมบัติที่เราไม่อาจคาดได้ ส่วนโสมโลหิตมนุษย์ชนิดนี้มีฤทธิ์ในการทำให้คนลุ่มหลง เกสรของมันจะส่งกลิ่นที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน ฉะนั้นหม่อมฉันคิดว่าท่านอาจารย์จะต้องรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่เกรงว่าตอนนี้เขาน่าจะกำลังได้รับผลกระทบจากยาชนิดนี้ แต่ถึงกระนั้นหม่อนฉันก็ยังเชื่อว่าท่านอาจารย์ได้เตรียมการเอาไว้ มิเช่นนั้นป่านนี้เขาคงเสียสติไปแล้ว”
ถ้อยคำของหลินเมิ้งหยาทำให้หลงเทียนอวี้ตื่นตระหนก
“หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเรานำตัวอาจารย์ของเจ้าออกมาดีหรือไม่? คนในคุกมีมากมาย เกรงว่า…”
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ความขมขื่นเพิ่มมากขึ้น
“หากยังอยู่ในระยะแรก ยาชนิดนี้จะเป็นตัวช่วยท่านอาจารย์ แต่หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด ท่านอาจารย์จะต้องใช้ใบของโสมโลหิตมนุษย์ไปแล้ว มิอย่างนั้นท่านอาจารย์คงไม่ยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ แต่นี่เป็นเพียงการดื่มพิษเพื่อดับกระหายเท่านั้น หากท่านอาจารย์ออกห่างจากต้นโสมแล้วล่ะก็ ชีวิตของเขาคงดับสูญ พระองค์ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคนที่อยู่ในคุกหรอกเพคะ แม้ต้นโสมโลหิตมนุษย์จะมีอานุภาพรุนแรง แต่ก็มีข้อจำกัดในการแพร่กระจาย ขอเพียงคนของพระองค์ไม่เข้าไปภายในห้องของท่านอาจารย์นานจนเกินไป รับรองว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
หัวใจของหลงเทียนอวี้สงบลง หากคนเสียสติบ้าคลั่งทำให้เขาต้องเสียกำลังคน ดูท่าจะไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
ทว่าตอนนี้เขาเองก็เริ่มสงสัยเหมือนกันกับหลินเมิ้งหยา เหตุใดป๋ายหลี่รุ่ยจึงพยายามปลูกต้นโสมโลหิตมนุษย์โดยไม่สนใจความเป็นความตายของตัวเอง?