ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 12 บทที่ 345 เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง
หลงเทียนอวี้ยืนชิดกำแพง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
แม้แสงสว่างจะน้อยนิด แต่เขากลับมองเห็นกระจกมากมายในตำหนักหลิวซิน
ตำแหน่งของกระจกหาได้หันไปหาคนไม่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมิใช่ทิศทางสำหรับปัดเป่าความชั่วร้าย
ตกลงมีไว้เพื่ออะไรกัน?
ขณะเดียวกัน มุมปากของหลินเมิ้งหยาพลันหยักยกขึ้น
“ในเมื่อท่านอ๋องเสด็จมาแล้ว เช่นนั้นก็เผยตนออกมาเถิดเพคะ เหตุใดต้องหลบซ่อนอยู่หลังกำแพงด้วยเล่า?”
เสียงของหลินเมิ้งหยาทำให้หลงเทียนอวี้ประหลาดใจ
อันที่จริงก็น่าขำ ทุกครั้งที่มายังตำหนักหลิวซิน เขาชินกับการแอบตัวอยู่หลังกำแพงก่อนเสมอ
คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้จะถูกจับได้ ขณะเดียวกัน หลงเทียนอวี้รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ร่างสูงในชุดดำพลันปราฏต่อหน้าหลินเมิ้งหยา
ใบหน้าหล่อเหลาเจือไว้ซึ่งความสงสัย
“ประหลาดใจหรือเพคะ? อยากรู้ว่าหม่อมฉันกำลังทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาชิงเอ่ยถามเขา
จากนั้นนิ้วมือเรียวยาวพลันชี้ไปทางกระจก ก่อนจะอธิบายเสียงแผ่ว
“หม่อมฉันมองเห็นจากตรงนี้ แม้ทัศนวิสัยของตำหนักหลิวซินจะไม่เลว แต่ก็ยังมีมุมอับอยู่ แต่หากทำเช่นนี้ หม่อมฉันก็จะสามารถมองเห็นทุกส่วนของตำหนักหลิวซินได้เพคะ”
หลงเทียนอวี้เข้าใจสิ่งที่นางกำลังสื่อ เขากวาดสายตามองไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ก่อนจะพบว่าตำหนักหลิวซินเปลี่ยนแปลงไปมาก
แม้แต่ห้องของผอจื่อก็ถูกป๋ายซ่าวจัดการใหม่ทั้งหมด
ตอนนี้เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่ามีไว้เพื่อสิ่งใด
“หลังจากกลับมาจากวัง หม่อมฉันคิดว่าท่านอ๋องจะต้องอยากรู้พระอาการของฮ่องเต้อย่างแน่นอน หม่อมฉันต้องกราบทูลโดยตรงว่าพระอาการของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก ยาพิษฝังลึกถึงกระดูกแล้ว การถอนพิษมิใช่เรื่องง่าย ฉะนั้นหม่อมฉันจึงอยากปรุงยาถวายแด่ฮ่องเต้ด้วยตนเองเพคะ”
เขาเห็นด้านเย็นชาและโหดเหี้ยมของนางจนชิน แต่ท่าทางอ่อนโยนอ่อนหวานของนางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจนัก
พิศมองรอยยิ้มอ่อนหวานบนใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ หัวใจของหลงเทียนอวี้พลันรู้สึกอบอุ่น
เกรงว่าในจวนแห่งนี้จะมีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นคู่คิดและคู่ชีวิตของเขาอย่างแท้จริง
เรื่องของหมู่เฟย เรื่องของเสด็จพ่อ เรื่องของแว่นแคว้นเสมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กำลังกดทับหัวใจของเขา
หากมิใช่เพราะหญิงสาวตรงหน้าที่ช่วยแบกรับความกังวลเหล่านั้นไป เกรงว่าเขาคงต้องรู้สึกกดดันมากกว่านี้อย่างแน่นอน
ไม่ว่านางจะทำอะไร แต่เมื่อจวนอวี้แห่งนี้มีนางอยู่ บรรยากาศภายในจวนพลันรื่นเริงแจ่มใสน่าอยู่
“ทุกคนลำบากแล้ว ขอบใจมากที่มาช่วยเหลือ วันนี้ข้าขอตบรางวัลให้คนละสองตำลึงเพื่อตอบแทนน้ำใจ จงไปบอกโรงครัวให้เตรียมอาหารเย็นเพิ่มสำหรับทุกคน”
กวาดสายตามองสวนในตำหนัก ตอนนี้การตกแต่งทั้งหมดเป็นไปตามที่นางคิดเอาไว้ หลินเมิ้งหยาส่งเสียงอย่างพึงพอใจ บัดนี้สวนในตำหนักหลิวซินมีกระจกทั้งหมดสิบหกบานวางอยู่รอบๆ
หลินเมิ้งหยาอ้างกับคนภายนอกว่านี่เป็นเพียงการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ทว่าสิ่งนี้เป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่อวี้เฉียงมอบให้ก่อนจะออกจากวัง
ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน นางจะสามารถมองผ่านกระจกได้ว่าใครกำลังแฝงตัวหรือแอบเข้ามายังตำหนักหลิวซิน
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือนางต้องการห้องว่างเพื่อปรุงยา
ยาพิษที่อยู่ในพระวรกายของฮ่องเต้รุนแรงมาก ฉะนั้นนางต้องทำการรักษาอย่างเต็มรูปแบบ
เมื่อครู่นางลองคำนวณดูแล้ว ปรากฏว่านางต้องใช้ยาสมุนไพรหลายร้อยชนิด ยิ่งไปกว่านั้น ปริมาณของยาจะขาดหรือเกินไม่ได้เป็นอันขาด
การที่นางตกแต่งตำหนักใหม่ก็เพราะนางต้องการเพ่งสมาธิกับการปรุงยา ยิ่งไปกว่านั้น หากมีใครแอบเข้าไปในห้องยาของนาง นางจะสามารถจับกุมได้ในทันที
ตอนอยู่ในวัง นางเกือบตกหลุมพรางมาแล้ว
หากนางไม่ระมัดระวังตัว เกรงว่าคราวนี้ยาของฮ่องเต้จะต้องถูกคนทำเรื่องสกปรกใส่อย่างแน่นอน
สายตาของหลินเมิ้งหยาพลันหยุดอยู่ที่มุมอับสองสามที่
แม้ตำหนักของนางจะมีคนของกลุ่มสามสหายและหลงเทียนอวี้คอยคุ้มกัน แต่เสือก็ยังมีวันเผลอไผล นับตั้งแต่ตอนที่นางก้าวเข้ามาในตำหนักอีกครั้ง นางพบว่ามียอดฝีมือแฝงตัวอยู่ที่นี่
โชคดีที่คนเหล่านี้มีเหตุผลของตัวเองและไม่เข้ามาเอาชีวิตของนาง
แต่หากนางทำอะไรตอนนี้ เกรงว่าจะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก หากข่าวแพร่สะพัดออกไป บางทีอาจมีคนใจกล้าบ้าบิ่นเข้ามาเอาชีวิตของนางก็เป็นได้
ฉะนั้นนางจึงต้องเตรียมของขวัญไว้มากมายเพื่อรอต้อนรับ ‘แขก’
เชื่อว่าของขวัญของนางจะต้องทำให้พวกเขาพบกับประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน
“ท่านอ๋องจะอยู่เสวยด้วยกันที่นี่หรือไม่เพคะ?”
หลินเมิ้งหยาเชื้อเชิญ หลงเทียนอวี้ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
แม้เขาจะเคยกินอาหารรสเลิศมากมาย แต่อาหารหน้าตาธรรมดาไม่กี่อย่างบนโต๊ะกลับทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น
รับประทานอาหารเย็นอย่างสงบ หลินเมิ้งหยาเดินรอบจวนเหมือนเคย
น้อยครั้งนักที่หลงเทียนอวี้จะว่าง ทั้งสองเดินเคียงกันพลางพูดคุยเสมือนคู่รักหนุ่มสาวปกติ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะต้องเจอเรื่องมากมายเช่นนั้นในวังหลวง”
แม้จะมีเรื่องมากมายที่คนสอดแนมของเขาออกมารายงานให้ฟัง แต่พอได้ฟังคำบอกเล่าจากปากนาง เขายังอดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
ทว่าน้ำเสียงของหลินเมิ้งหยากลับราบเรียบ แต่หลงเทียนอวี้รู้ดีว่านางจะต้องผ่านความเป็นความตายมาอย่างมากมายแน่นอน ความกระวนกระวายจึงผุดขึ้นในหัวใจ
หากเขาสามารถหาวิธีอื่นได้ เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงไม่ต้องเจอกับเรื่องมากมายขนาดนี้
“เรื่องพวกนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กเพคะ หม่อมฉันต้องพูดบางอย่างกับพระองค์ให้ชัดเจน อันที่จริงพระสนมเต๋อ….”
หลินเมิ้งหยาไตร่ตรองดีแล้ว ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่พระสนมเต๋อเฟยถูกคนสวมรอยให้หลงเทียนอวี้ฟัง
แต่ทันทีที่นางอ้าปาก สายตาพลันเหลือบเห็นน้าจิ้งเยว่ที่กำลังประคองร่างพระสนมเต๋อเฟยเข้ามาทางประตูเยว่
สองสามีภรรยาก้มตัวถวายคำนับ แม้ฮองเฮาจะรับสั่งว่าพระสนมเต๋อเฟยในเวลานี้มิใช่ตัวจริง แต่คำพูดของฮองเฮาหาใช่สิ่งที่จะสามารถเชื่อถือได้ทั้งหมดไม่
ไม่ว่าจะเป็นกลอุบายหรือความจริง หลินเมิ้งหยาจำเป็นต้องพิสูจน์ให้มั่นใจเสียก่อน
วันนี้สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยขาวซีดเล็กน้อย
ขอบตาบวมแดง ราวกับมิได้นอนหลับพักผ่อนมานานหลายวัน
หลังจากได้เห็นหลินเมิ้งหยา ใบหน้างดงามชวนหลงใหลหาได้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ แต่สายตากลับเสมือนคนปลงทุกข์ ไร้ห้วงอารมณ์ใดๆ
หลินเมิ้งหยารู้สึกถึงความผิดปกติ
“อืม เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว เปิ่นกงเหนื่อย คงไม่อยู่สนทนากับพวกเจ้า”
รีบเดินจากไป หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้มองตามหลังพระสนมเต๋อเฟย
น่าแปลก วันนี้แขนขาของพระสนมเต๋อเฟยเสมือนคนไร้เรี่ยวแรงแตกต่างจากเมื่อก่อน
“เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นหยุนลั่วคอยรับใช้พระสนมเต๋อเฟยกันเล่า?”
เมื่อเห็นว่าคนติดตามของพระสนมเต๋อเฟยที่เดินลับหายไป หลินเมิ้งหยาจึงพึมพำขึ้นมา
หลงเทียนอวี้เองก็ไร้ซึ่งคำตอบ แม้ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขามักส่งคนเข้าไปจับตามองตำหนักหยาเสวียน แต่กลับไม่มีใครรายงานเขาถึงการหายตัวไปของสาวใช้ในตำหนัก
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากไปหาท่านอาจารย์สักหน่อย เชิญพระองค์ตามสบายเพคะ”
ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ หลินเมิ้งหยารีบเดินจากไป
ภายในสวนจึงเหลือเพียงหลงเทียนอวี้ที่กำลังขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นคนเดียว
ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองได้รับรู้ความจริงแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะมิได้เข้าใกล้ความจริงเลยแม้แต่น้อย
“หลินขุย จงส่งคนไปตรวจสอบหยุนลั่ว”
หลินขุยซึ่งอยู่ด้านข้างเดินจากไปเงียบๆ
ความเป็นไปได้มากมายถูกวาดขึ้นในใจของหลงเทียนอวี้
เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของหยุนลั่วหลายอย่าง หากนางเป็นเพียงนางในธรรมดา เช่นนั้นทำไมหมู่เฟยจึงรักและเอ็นดูนางนัก?
หลังจากผ่านการตรวจสอบทุกวัน เขาพอจะสรุปบางอย่างได้คร่าวๆ
ผู้หญิงในตำหนักหยาเสวียนคนนั้นหาใช้หมู่เฟยตัวจริงไม่ แต่กลับเป็นคนที่คุ้นชินกับพฤติกรรมและรู้ทุกรายละเอียดของหมู่เฟย
หากเป็นเช่นนั้นจริง หยุนลั่วที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจะต้องรู้เรื่องหมู่เฟยตัวจริงและตัวปลอมอย่างแน่นอน
ถ้าหมู่เฟยในตำหนักหยาเสวียนเป็นตัวปลอม เช่นนั้นหมู่เฟยของเขาอยู่ที่ใด?
หลงเทียนอวี้รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก หากมิใช่เพราะกลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ป่านนี้เขาคงจับตัวพระสนมเต๋อเฟยคนนี้ไปแล้ว
“ท่านอาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้เจอกันหลายวัน ท่านผ่ายผอมลงมากเหลือเกิน”
ภายในห้องศิลา เพียงหลินเมิ้งหยาเปิดประตูก็ได้เห็นท่านอาจารย์ที่มีผมเผ้ารกรุงรัง กระทั่งหนวดก็ไม่ได้โกน เนื้อตัวมอมแมม ดวงตาลึกโหลเสมือนคนอดหลับอดนอน
“อืม กลับมาก็ดีแล้ว เจ้าลองมาดูนี่ นี่คือสิ่งที่อาจารย์ใส่ใจทำขึ้นมาเป็นพิเศษ อีกไม่นานก็จะสำเร็จแล้ว!”
หลินเมิ้งหยาถูกป๋ายหลี่รุ่ยลากตัวไปยังส่วนลึกของห้อง
เพียงเดินเข้าไป กลิ่นคาวเลือดพลันลอยเตะจมูก
ทว่าป๋ายหลี่รุ่ยกลับแสดงท่าทางปกติเสมือนไม่รู้สึกอันใด
กลับกัน ท่าทางของเขาเหมือนกำลังมองคนรัก ขอบตาร้อนผ่าวขณะมองไปยังสมุนไพรตรงหน้า
“นี่คือ…โสมโลหิตมนุษย์! ท่านอาจารย์เคยบอกว่ามันเป็นของอัปมงคล ฉะนั้นจึงไม่ปลูกแล้วมิใช่หรือ?”
หลินเมิ้งหยาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาเบิกกว้าง สายตาจ้องไปทางอ่างหยกสีขาว
เพราะเหตุนี้นางจึงได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นสินะ
เหตุเพราะดินที่อยู่ในอ่างหยกกลายเป็นสีแดงเข้มเพราะเลือดไปแล้ว
สัญชาตญาณกำลังร้องบอกนางว่าเลือดที่อยู่ในอ่างนี้เป็นเลือดของมนุษย์!
เป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดท่านอาจารย์จึงทำเรื่องผิดมนุษย์มนาเช่นนี้?
“ไม่มีทางเลือก…ของสิ่งนี้เลอค่ายิ่งนัก มันช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน เมิ้งหยา เจ้ารู้หรือไม่ว่าโสมโลหิตมนุษย์มีความหมายเช่นใดกับอาจารย์?”
ใบหน้าซูบเผยอาการคลั่งไคล้เมื่อได้เห็นโสมโลหิตมนุษย์
หลินเมิ้งหยาหันมองอาจารย์ด้วยความหวาดระแวงเสมือนกำลังมองชายแปลกหน้าคนหนึ่ง